ค้นหาทุกอย่างในเว็บครูบ้านนอก :
ชุมชนครู บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียน แหล่งความรู้สำหรับครู นักเรียน ข่าวการศึกษา ห้องสมุดความรู้ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ และความรู้ทั่วไป เผยแพร่ผลงานวิชาการ ที่นี่


ค้นหากระทู้
ตั้งกระทู้คำถามใหม่ กลับหน้าที่แล้ว
 
รายงานการพัฒนาแบบฝึกทักษะ เรื่อง ทศนิยมและเศษส่วน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่

บทที่ 3

วิธีดำเนินการศึกษา

รายงานการพัฒนาแบบฝึกทักษะ เรื่อง ทศนิยมและเศษส่วน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผู้รายงานได้ดำเนินการศึกษาโดยมีขั้นตอนและรายละเอียด

ในการดำเนินการศึกษาดังนี้

ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง

เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา

แบบแผนการดำเนินการ

การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือ

การดำเนินการรวบรวมข้อมูล

การวิเคราะห์ข้อมูล

สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล

ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง

ประชากรที่ใช้ในการศึกษา คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนกาญจนาภิเษกวิทยาลัย อุทัยธานี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 42 ที่กำลังศึกษาภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2558 จำนวน 2 ห้องเรียน จำนวนนักเรียนทั้งระดับชั้น 36 คน

กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/2 โรงเรียนกาญจนาภิเษกวิทยาลัย อุทัยธานี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 42 ที่เรียนรายวิชา ค 21102 คณิตศาสตร์พื้นฐานในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2558 จำนวน 19 คน โดยการสุ่มอย่างง่าย ได้มาโดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยในการสุ่ม (Simple Random Sampling)

เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา

1. แบบฝึกทักษะ เรื่อง ทศนิยมและเศษส่วน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์

ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 7 เล่ม

2. แผนการจัดการเรียนรู้ประกอบการใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง ทศนิยมและเศษส่วน

กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ จำนวน 21 แผน 21 ชั่วโมง

3. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นข้อสอบแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ

4. แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนต่อการเรียนหลังการใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง ทศนิยมและเศษส่วน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1

แบบแผนการดำเนินการศึกษา

การทดลองใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง ทศนิยมและเศษส่วน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผู้รายงานใช้แบบแผนการพัฒนาแบบกลุ่มเดียวทดสอบก่อน-หลัง (The One Group, Pretest-Posttest Design) (พิสณุ ฟองศรี, 2550: 93) ซึ่งมีลักษณะดังนี้

T1 X T2

สัญลักษณ์ที่ใช้ในการศึกษา

T1 หมายถึง การทดสอบก่อนเรียน

X หมายถึง การจัดการเรียนการสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง ทศนิยมและเศษส่วน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1

T2 หมายถึง การทดสอบหลังเรียน

การสร้างและหาคุณภาพของเครื่องมือ

การสร้างแบบฝึกทักษะ เรื่อง ทศนิยมและเศษส่วน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแบบสอบถามความพึงพอใจ ผู้รายงานได้ให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบและให้ คำชี้แนะในการปรับปรุงพัฒนา จำนวน 5 คน (ดังแสดงรายนามในภาคผนวก ก) โดยมีขั้นตอนและรายละเอียดในการสร้างดังนี้

1. การสร้างแบบฝึกทักษะ เรื่อง ทศนิยมและเศษส่วน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1

การสร้างแบบฝึกทักษะ เรื่อง ทศนิยมและเศษส่วน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จัดทำขึ้นเพื่อเป็นสื่อประกอบการจัดการเรียนการสอน เพื่อมุ่งเน้นพัฒนาทักษะความรู้ในรายวิชาคณิตศาสตร์ ส่งเสริมความรู้ความเข้าใจ เพื่อให้นักเรียนสามารถพัฒนาและประยุกต์ใช้กับตนเองได้อย่างเต็มที่ อีกทั้งเพิ่มความมั่นใจและประสิทธิภาพในการเรียนรู้ของนักเรียนได้เป็นอย่างดีซึ่งผู้รายงานได้ดำเนินการสร้างและหาประสิทธิภาพดังนี้

1.1 ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ของกลุ่มสาระ การเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1

1.2 ศึกษาวิธีการ หลักการ ทฤษฎีและเทคนิควิธีการในการสร้างแบบฝึกทักษะ

เรื่อง ทศนิยมและเศษส่วน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1จากเอกสารต่างๆ และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นแนวทางในการจัดเนื้อหาและสร้างแบบฝึกทักษะได้อย่างถูกต้อง

1.3 ศึกษาและวิเคราะห์เนื้อหา จุดประสงค์ ให้สอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ ผลการเรียนรู้และตัวชี้วัดชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1

1.4 วางโครงเรื่องที่จะเขียนโดยเรียบเรียงและลำดับเนื้อหาขั้นตอนในแบบฝึกทักษะ

1.5 ดำเนินการสร้างแบบฝึกทักษะ เรื่อง ทศนิยมและเศษส่วน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ทั้งหมด 7 เล่ม จำนวน 19 แผน ใช้เวลา 21 ชั่วโมง

1.6 นำแบบฝึกทักษะดำเนินการสร้างแบบฝึกทักษะ เรื่อง ทศนิยมและเศษส่วน

กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 พร้อมทั้งแบบประเมินความเหมาะสมของ

แบบฝึกทักษะจำนวน 30 ข้อ มีลักษณะเป็นมาตราส่วนประมาณค่า (Rating scale) 5 ระดับ ให้ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 ท่าน ตรวจสอบความเหมาะสมให้ครอบคลุมจุดประสงค์ และสาระการเรียนรู้ของบทเรียน ที่ใช้ ในการศึกษา โดยพิจารณาระดับความเหมาะสมจากค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน โดยมีเกณฑ์ในการพิจารณาคือ ค่าเฉลี่ยมากกว่าหรือเท่ากับ 3.5 ขึ้นไป ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ไม่เกิน 1 จึงจะถือว่าแบบฝึกทักษะมีความเหมาะสม ซึ่งมีรายละเอียดของเกณฑ์การพิจารณาคะแนนดังนี้ (พิสณุ ฟองศรี, 2550: 35)

5 หมายถึง มีความเหมาะสมในระดับมากที่สุด

4 หมายถึง มีความเหมาะสมในระดับมาก

3 หมายถึง มีความเหมาะสมในระดับปานกลาง

2 หมายถึง มีความเหมาะสมในระดับน้อย

1 หมายถึง มีความเหมาะสมในระดับน้อยที่สุด

กำหนดการแปลความหมายค่าเฉลี่ยของข้อมูลใช้เกณฑ์ของเบสท์ (Best, 1970: 204-208) ดังนี้

ค่าเฉลี่ยระหว่าง 4.51-5.00 หมายถึง มีระดับความเหมาะสมมากที่สุด

ค่าเฉลี่ยระหว่าง 3.51-4.50 หมายถึง มีระดับความเหมาะสมมาก

ค่าเฉลี่ยระหว่าง 2.51-3.50 หมายถึง มีระดับความเหมาะสมปานกลาง

ค่าเฉลี่ยระหว่าง 1.51-2.50 หมายถึง มีระดับความเหมาะสมน้อย

ค่าเฉลี่ยระหว่าง 1.00-1.50 หมายถึง มีระดับความเหมาะสมน้อยที่สุด

ได้ค่าเฉลี่ยของความเหมาะสมเท่ากับ 4.17 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.12 ซึ่งอยู่ในระดับมีความเหมาะสมมาก แสดงว่าแบบฝึกทักษะ เรื่อง ทศนิยมและเศษส่วน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีความเหมาะสมในการที่จะนำไปจัดกระบวนการเรียน การสอนให้กับนักเรียน (ดังแสดงในภาคผนวก ข)

1.7 นำแบบฝึกทักษะ เรื่อง ทศนิยมและเศษส่วน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ผ่านการตรวจจากผู้เชี่ยวชาญเรียบร้อยแล้วนำไปทดลองกับนักเรียนที่ไม่ใช่ กลุ่มตัวอย่างโดยยึดตามแนวคิดของ วาโร เพ็งสวัสดิ์ (2551: 44) โดยไปทดลองใช้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2556 โรงเรียนกาญจนาภิเษกวิทยาลัย อุทัยธานี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 42 ในขั้นที่ 1 แบบเดี่ยว (1 : 1) คือ ทดลองกับนักเรียน 3 คน โดยใช้นักเรียนที่เรียนอ่อน จำนวน 1 คน ปานกลาง จำนวน 1 คน และเก่ง จำนวน 1 คน ผู้รายงานสังเกตและจดบันทึกข้อบกพร่องเพื่อนำไปปรับปรุง พบว่า สิ่งที่ควรปรับปรุงคือ คำสั่งในการปฏิบัติกิจกรรมไม่มีความชัดเจน ภาพที่ใช้ประกอบสื่อไม่มีความชัดเจน เนื้อหาในบทเรียนมีความสับสนไม่สัมพันธ์กับหัวข้อเนื้อเรื่อง กิจกรรมที่ได้กำหนดในแบบฝึกทักษะไม่มีความสัมพันธ์กับระยะเวลาที่ได้กำหนด ผลการประเมินแบบฝึกทักษะ เรื่อง ทศนิยมและเศษส่วน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 พบว่ามีประสิทธิภาพ เท่ากับ 67.37/69.05 (ดังแสดงในภาคผนวก จ)

1.8 นำแบบฝึกทักษะ เรื่อง ทศนิยมและเศษส่วน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ปรับปรุงแก้ไขจากการทดลองครั้งที่1 ไปทดลองกับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2556 โรงเรียนกาญจนาภิเษกวิทยาลัย อุทัยธานี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 42 ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างใน ขั้นที่ 2 แบบกลุ่ม (1: 10) คือ ทดลองกับผู้เรียน จำนวน 9 คน ในระดับกลุ่มโดยทดลองกับนักเรียนที่มีความสามารถแตกต่างกันเป็นนักเรียนที่เรียนเก่ง จำนวน 3 คน เรียนปานกลาง จำนวน 3 คน และเรียนอ่อน จำนวน 3 คน ผู้รายงานสังเกตและ จดบันทึกข้อบกพร่องเพื่อนำไปปรับปรุง พบว่า สิ่งที่ควรปรับปรุงคือ นักเรียนใช้เวลา ในการทำกิจกรรมในแบบฝึกทักษะนานเกินไปเนื้อหาในแบบฝึกทักษะยังพบการพิมพ์คำผิดอยู่บ้างในบางส่วนสีของภาพประกอบเนื้อหาในแบบฝึกทักษะมีสีที่ไม่ชัดเจนทำให้ผู้เรียนไม่สามารถมองเห็นและแปลความหมายได้ผลการประเมินแบบฝึกทักษะ เรื่อง ทศนิยมและเศษส่วน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 พบว่ามีประสิทธิภาพเท่ากับ 75.79/78.89 (ดังแสดงในภาคผนวก จ)

1.9 นำแบบฝึกทักษะ เรื่อง ทศนิยมและเศษส่วน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1ที่ปรับปรุงแก้ไขจากการทดลองครั้งที่ 2 แล้วไปใช้กับนักเรียนที่ไม่ใช่ กลุ่มตัวอย่าง ซึ่งเป็นการทดลองขั้นที่ 3 แบบภาคสนาม (1 : 100) โดยทดลองกับผู้เรียนทั้งชั้น

จำนวนไม่น้อยกว่า 30 คน โดยนำไปทดลองกับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2557

โรงเรียนกาญจนาภิเษกวิทยาลัย อุทัยธานี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 42

จำนวน 30 คน ผู้รายงานสังเกตและจดบันทึกข้อบกพร่องเพื่อนำไปปรับปรุง พบว่า ความชัดเจนของภาพประกอบ โดยเฉพาะในเรื่องสีของภาพที่ไม่มีความชัดเจน การฉีกคำ การเว้นวรรค ยังปรากฏอยู่ในแบบฝึกทักษะ เป็นบางเล่ม ผลการประเมินแบบฝึกทักษะ เรื่อง ทศนิยมและเศษส่วน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 พบว่ามีประสิทธิภาพ เท่ากับ 78.14/80.48 (ดังแสดงในภาคผนวก จ)

1.10 นำแบบฝึกทักษะ เรื่อง ทศนิยมและเศษส่วน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้ปรับปรุงด้านการจัดพิมพ์เรียบร้อยแล้ว ไปใช้กับกลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/2 โรงเรียนกาญจนาภิเษกวิทยาลัย อุทัยธานี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 42 ที่เรียนรายวิชา ค 21102 คณิตศาสตร์พื้นฐานในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2558 จำนวน 19 คนต่อไป

2. แผนการจัดการเรียนรู้ประกอบการใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง ทศนิยมและเศษส่วน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1

การสร้างคู่มือการใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง ทศนิยมและเศษส่วน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผู้รายงานได้ดำเนินการ ดังนี้

2.1 ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 ในกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1และแนวทางการจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้จากเอกสารที่เกี่ยวข้อง

2.2 จัดทำโครงสร้างของแผนการจัดการเรียนรู้แบบฝึกทักษะ เรื่อง ทศนิยมและเศษส่วน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ตามระยะเวลาที่กำหนด จำนวนรวม 21 ชั่วโมง

โดยผู้รายงานได้กำหนดโครงสร้างของแผนการจัดการเรียนรู้ดังนี้

แผนที่ ชื่อแผนการสอน เวลา / ชม.

1 ทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน 1

2 ค่าประจำหลักของทศนิยม 1

3 การเปรียบเทียบทศนิยม 1

4 การบวกทศนิยม 1

5 การบวกและการลบทศนิยม 1

6 โจทย์ปัญหาการบวกและการลบทศนิยม 1

7 การคูณทศนิยม 1

8 การหารทศนิยม 1

9 โจทย์ปัญหาการคูณและการหารทศนิยม 1

10 เศษส่วน 1

11 การเปรียบเทียบเศษส่วน 1 1

12

13 การเปรียบเทียบเศษส่วน 2

การบวกเศษส่วน 1

1

14 การลบเศษส่วน 1

15 โจทย์ปัญหาการบวกและการลบเศษส่วน 1

16 การคูณเศษส่วน 1

17 การหารเศษส่วน 1

18 โจทย์ปัญหาการคูณและการหารเศษส่วน 1

19 ความสัมพันธ์ระหว่างทศนิยมและเศษส่วน 1 1

20 ความสัมพันธ์ระหว่างทศนิยมและเศษส่วน 2 1

21 ทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน 1

รวม 21

2.3 นำแผนการจัดการเรียนรู้ประกอบการใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง ทศนิยมและเศษส่วน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่สร้างขึ้นไปให้ผู้เชี่ยวชาญ 5 คน ตรวจสอบความถูกต้อง

2.4 ปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญจนสมบูรณ์แล้วจัดทำเป็นรูปเล่ม เพื่อใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ประกอบการใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง ทศนิยมและเศษส่วน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 กับกลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/2 โรงเรียนกาญจนาภิเษกวิทยาลัย อุทัยธานี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 42 ที่เรียนรายวิชา ค 21102 คณิตศาสตร์พื้นฐานในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2558 จำนวน 19 คนต่อไป

3. การสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน

3.1 ศึกษาเอกสารเกี่ยวกับแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและเอกสาร ที่เกี่ยวกับการวัดผลและประเมินผลศึกษา

3.2 วิเคราะห์จุดประสงค์และเนื้อหาของศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษา ขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ใน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1

3.3 สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแบบปรนัยเลือกตอบ 4 ตัวเลือก

ให้ครอบคลุมจุดประสงค์และเนื้อหาของบทเรียนที่ใช้ในการศึกษา จำนวน 40 ข้อโดยตอบถูกให้ 1 คะแนน ตอบผิดให้ 0 คะแนน

3.4 นำแบบทดสอบที่สร้างขึ้นเป็นข้อสอบแบบปรนัย จำนวน 40 ข้อให้ผู้เชี่ยวชาญ ตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) โดยการหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) และพิจารณาข้อสอบที่ใช้ได้โดยมีค่า IOC มากกว่าหรือเท่ากับ 0.6 จึงถือว่าข้อสอบข้อนั้นใช้ได้ (เทียมจันทร์ พานิชย์ผลินไชย อ้างถึงใน ยุทธ ไกยวรรณ์, 2553: 181) โดยได้คัดเลือกข้อสอบที่ผ่านเกณฑ์ค่า IOC จำนวน 30 ข้อ แล้วนำมาปรับปรุงแก้ไขด้านภาษาในคำถามและตัวเลือกตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ

3.5 นำแบบทดสอบไปทดสอบกับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2557คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนกาญจนาภิเษกวิทยาลัย อุทัยธานี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 42 จำนวน 30 คน เพื่อหาค่าความยากง่าย (difficulty) ค่าอำนาจจำแนก (discrimination) โดยได้ค่าความเที่ยงทั้งฉบับ เท่ากับ .8431 ค่าความยากรายข้ออยู่ระหว่าง .33 - .73 และค่าอำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง .20 - .88

3.6 จัดพิมพ์แบบทดสอบให้มีจำนวนเพียงพอสำหรับใช้วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทั้งก่อนเรียนและหลังเรียนของกลุ่มตัวอย่างในการศึกษา คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/2 โรงเรียนกาญจนาภิเษกวิทยาลัย อุทัยธานี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 42 ที่เรียนรายวิชา ค 21102 คณิตศาสตร์พื้นฐานในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2558 จำนวน 19 คนต่อไป

4. การสร้างแบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนโดยใช้

แบบฝึกทักษะ เรื่อง ทศนิยมและเศษส่วน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1

4.1 ศึกษาวิธีการสร้างแบบประเมินความพึงพอใจสำหรับนักเรียน โดยพิจารณา การสร้างแบบสอบถามให้สอดคล้องกับ ช่วงวัย และระดับชั้นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1

4.2 สร้างแบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนโดยใช้

แบบฝึกทักษะ เรื่อง ทศนิยมและเศษส่วน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1

จำนวน 10 ข้อ แต่ละข้อกำหนดน้ำหนักในการให้คะแนนตามเกณฑ์ 5 ระดับ ตามวิธีของลิเคอร์ต (Likert) จากหนังสือคู่มือการสร้างเครื่องมือวัดคุณลักษณะด้านจิตพิสัยของสำนักทดสอบทางการศึกษา (กระทรวงศึกษาธิการ, 2552: 47-77) ดังนี้

5 หมายถึง พึงพอใจมากที่สุด

4 หมายถึง พึงพอใจมาก

3 หมายถึง พึงพอใจปานกลาง

2 หมายถึง พึงพอใจน้อย

1 หมายถึง พึงพอใจน้อยที่สุด

กำหนดการแปลความหมายค่าเฉลี่ยของข้อมูลใช้เกณฑ์ของเบสท์ (Best, 1970: 204-208) ดังนี้

ค่าเฉลี่ยระหว่าง 4.51-5.00 หมายถึง มีความพึงพอใจมากที่สุด

ค่าเฉลี่ยระหว่าง 3.51-4.50 หมายถึง มีความพึงพอใจมาก

ค่าเฉลี่ยระหว่าง 2.51-3.50 หมายถึง มีความพึงพอใจปานกลาง

ค่าเฉลี่ยระหว่าง 1.51-2.50 หมายถึง มีความพึงพอใจน้อย

ค่าเฉลี่ยระหว่าง 1.00-1.50 หมายถึง มีความพึงพอใจน้อยที่สุด

4.3 นำแบบสอบถามไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความถูกต้องเหมาะสม โดยพิจารณา ผลการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาของแบบสอบถามจากผู้เชี่ยวชาญ โดยพิจารณาค่าดัชนีความสอดคล้องของแบบสอบถาม (IOC) ของแต่ละข้อให้ได้ค่า IOC ระหว่าง 0.60 - 1.00

4.4 ปรับปรุงแบบสอบถามตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญนำแบบสอบถามไปทดลองใช้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2557 โรงเรียนกาญจนาภิเษกวิทยาลัย อุทัยธานี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 42 จำนวน 30 คน เพื่อหาค่าสัมประสิทธิ์ความเที่ยงหรือค่าความเชื่อมั่น (reliability) ตามสูตรสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบราค ด้วยการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป โดยมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .7836 (ดังแสดงในภาคผนวก ง)

4.5 ตรวจสอบความเรียบร้อยถูกต้องอีกครั้ง นำไปจัดพิมพ์ แล้วจึงนำไปใช้ใน การประเมินความพึงพอใจจากกลุ่มตัวอย่างในการศึกษา คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/2 โรงเรียนกาญจนาภิเษกวิทยาลัย อุทัยธานี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 42 ที่เรียนรายวิชา ค 21102 คณิตศาสตร์พื้นฐานในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2558 จำนวน 19 คน

การดำเนินการรวบรวมข้อมูล

ผู้รายงานดำเนินการเลือกกลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/2 โรงเรียนกาญจนาภิเษกวิทยาลัย อุทัยธานี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 42 ที่เรียนรายวิชา ค 21102 คณิตศาสตร์พื้นฐานในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2558 จำนวน 19 คน โดยการสุ่มอย่างง่ายจากการใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยในการสุ่ม (Simple Random Sampling) ซึ่งได้ดำเนินการศึกษาตามขั้นตอน ดังนี้

1. ขั้นเตรียมการ

ผู้รายงานได้เตรียมนักเรียนก่อนการทดลองโดยครูแจ้งขั้นตอน การดำเนินการให้คำแนะนำการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง ทศนิยมและเศษส่วน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และชี้แจงเกี่ยวกับกิจกรรมการเรียนการสอนให้นักเรียนเข้าใจ

2. ขั้นดำเนินการ

2.1 ทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียนโดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน

แบบฝึกทักษะ เรื่อง ทศนิยมและเศษส่วน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1

ที่ผู้รายงานสร้างขึ้น จำนวน 30 ข้อ

2.2 ดำเนินการสอนโดยผู้รายงานตามเนื้อหาของแบบฝึกทักษะ เรื่อง ทศนิยมและเศษส่วน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1ตามแผนการจัดการเรียนรู้และ

ให้นักเรียนทำกิจกรรมตามที่กำหนดไว้ในแต่ละชุด

2.3 เมื่อสิ้นสุดการสอนตามกำหนดแล้วทำการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์หลังเรียนโดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน จำนวน 30 ข้อ ผู้รายงานทำการตรวจผลการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน แล้วนำมาวิเคราะห์โดยใช้วิธีการทางสถิติเพื่อทดสอบสมมติฐาน

ด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน

2.4 ให้นักเรียนตอบแบบสอบถามความพึงพอใจต่อการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง ทศนิยมและเศษส่วน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผู้รายงานเก็บรวบรวมแล้วนำไปวิเคราะห์ทางสถิติ

การวิเคราะห์ข้อมูล

ผู้รายงานดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูล ดังต่อไปนี้

1. วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะ เรื่อง ทศนิยมและเศษส่วน

กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1ตามเกณฑ์ 75/75 โดยใช้ค่าเฉลี่ยและร้อยละ

2. วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อทดสอบสมมติฐานการศึกษา โดยการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ย โดยใช้สูตร t-test Dependent

3. วิเคราะห์แบบสอบถามวัดความพึงพอใจ โดยการหาค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน

สถิติใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล

ผู้รายงานได้ใช้สถิติเพื่อการวิเคราะห์ข้อมูล ดังต่อไปนี้

1. สถิติที่ใช้ในการประเมินความเหมาะสมของแบบฝึกทักษะ เรื่อง ทศนิยมและเศษส่วน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และค่าเฉลี่ยความพึงพอใจ (ไพฑูรย์ สินลารัตน์, 2553: 262)

1.1 การหาค่าเฉลี่ย

แทน ค่าเฉลี่ยของคะแนน

แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด

N แทน จำนวนผู้ตอบแบบประเมิน/แบบสอบถาม

แทน ความถี่

แทน คะแนนที่กำหนด

1.2 การหาค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของแต่ละข้อ โดยใช้สูตรของ ยุทธ ไกยวรรณ์ (2553: 119) ดังนี้

แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน

แทน จำนวนความถี่

แทน ค่าคะแนน

แทน จำนวนผู้ตอบแทนสอบถามทั้งหมด

2. สถิติที่ใช้ในการหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะตามเกณฑ์ 75/75

75 ตัวแรก หมายถึง คะแนนเฉลี่ยรวมของนักเรียนจากการทำกิจกรรมระหว่างเรียน ในแต่ละเรื่องของแบบฝึกทักษะโดยคิดเป็นร้อยละ

75 ตัวหลัง หมายถึง คะแนนเฉลี่ยรวมของนักเรียนจากการทำแบบทดสอบหลังเรียน

โดยคิดเป็นร้อยละโดยใช้สูตรของ ชัยยงค์ พรหมวงศ์ (2556: 25) ดังต่อไปนี้

75 ตัวแรก การหาคะแนนเฉลี่ยของนักเรียนจากการทำกิจกรรมระหว่างเรียน

=

แทน ประสิทธิภาพของกระบวนการ

แทน คะแนนรวมจากการทำกิจกรรมระหว่างเรียน

แทน จำนวนนักเรียน

แทน คะแนนเต็มทั้งหมดของการทำกิจกรรมระหว่างเรียน

75 ตัวหลัง การหาคะแนนเฉลี่ยของนักเรียนจากแบบทดสอบหลังเรียน

=

แทน ประสิทธิภาพของผลลัพธ์

แทน คะแนนรวมจากแบบทดสอบหลังเรียน

แทน จำนวนนักเรียน

แทน คะแนนเต็มของแบบทดสอบหลังเรียน

3. สถิติที่ใช้ในการหาคุณภาพของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์

3.1 หาค่าความตรงเชิงเนื้อหา (Content validity) โดยหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (เทียมจันทร์ พานิชย์ผลินไชย อ้างถึงใน ยุทธ ไกยวรรณ์, 2553: 181)

=

แทน ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างจุดประสงค์กับข้อสอบ

 แทน ผลรวมของคะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ

แทน จำนวนผู้เชี่ยวชาญ

3.2 ค่าความยากง่าย (Difficulty) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน

โดยใช้ สูตรของ บุญชม ศรีสะอาด (2553: 90)

=

แทน ค่าความยาก

แทน ผลรวมคะแนนรายข้อ

แทน จำนวนผู้เข้าสอบ

3.3 ค่าอำนาจจำแนก (Discrimination) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้สูตรของ บุญชม ศรีสะอาด (2553: 96)

=

แทน ค่าอำนาจจำแนก

แทน จำนวนนักเรียนที่ตอบถูกในกลุ่มเก่ง

แทน จำนวนนักเรียนที่ตอบถูกในกลุ่มอ่อน

แทน จำนวนนักเรียนในกลุ่มเก่งและกลุ่มอ่อน

3.4 สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมุติฐานของการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนการทดสอบสมมุติฐานของการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนใช้การทดสอบค่าที (t-test dependent) โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป

โพสต์โดย อ้อย : [11 มี.ค. 2560 เวลา 17:29 น.]
อ่าน [5435] ไอพี : 171.5.91.31
หากข้อความนี้ไม่เหมาะสม คลิก คลิกปุ่มนี้ หากเห็นว่าข้อความนี้ไม่เหมาะสม
 
 

โปรดอ่านกฎกติกาก่อนแสดงความเห็น
1. ข้อความของท่านจะขึ้นแสดงโดยอัตโนมัติทันทีที่ได้รับข้อมูล
2.
ห้ามโพสต์ ข้อความยั่วยุให้เกิดความรุนแรงทางสังคม ข้อความที่ก่อให้เกิดความเสียหายและเสื่อมเสียต่อบุคคลที่สาม, เบอร์โทรศัพท์,
รูปภาพที่ไม่เหมาะสมต่อเยาวชนหรือภาพลามกอนาจาร หรือกระทบถึงสถาบันอันเป็นที่เคารพ
ขอให้ผู้ตั้งกระทู้รับผิดชอบตัวเอง
และรับผิดชอบต่อสังคม ถ้ารูปภาพ หรือข้อความใดส่งผลกระทบต่อบุคคลอื่น ทีมงานพร้อมจะส่งรายละเอียดให้เจ้าหน้าที่
เพื่อตามจับตัวผู้กระทำผิดต่อไป

3.
สมาชิกที่โพสต์สิ่งเหล่านี้ อาจถูกดำเนินคดีทางกฎหมายจากผู้เสียหายได้
4. ไม่อนุญาตให้มีการโฆษณาสินค้าใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งทางตรงและทางอ้อม
5. ทุกความคิดเห็นเป็นข้อความที่ทางผู้เยี่ยมชมเข้ามาร่วมตั้งกระทู้ในเว็บไซต์ ทางเว็บไซต์ kroobannok.com ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น
6. ทางทีมงานขอสงวนสิทธิ์ในการลบกระทู้ที่ไม่เหมาะสมได้ทันที โดยไม่ต้องมีการชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของความเห็นนั้นทั้งสิ้น

7. หากพบเห็นรูปภาพ หรือข้อความที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งมาที่อีเมล์ kornkham@hotmail.com เพื่อทำการลบออกจากระบบต่อไป


 ** พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐**

ขออภัยในความไม่สะดวก เนื่องจากเราประสบปัญหา
มีผู้โพสต์ข้อความที่หมิ่นเหม่และไม่เหมาะสมเป็นจำนวนมาก
ครูบ้านนอกดอทคอมจึงขอความร่วมมือสมาชิก
กรุณาเข้าสู่ระบบก่อนแสดงความเห็นครับ


  

สมัครสมาชิกใหม่
 

 

Advertisement

≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡

เปิดอ่าน 21,487 ครั้ง
สุนัขบ้ากัด
สุนัขบ้ากัด

เปิดอ่าน 131,240 ครั้ง
สุดยอด! หนังสั้น"เดือนเพ็ญ"ผลงานนักเรียนยอดวิวกว่า2แสนวิวแล้ว
สุดยอด! หนังสั้น"เดือนเพ็ญ"ผลงานนักเรียนยอดวิวกว่า2แสนวิวแล้ว

เปิดอ่าน 2,278 ครั้ง
กินอย่างไรไม่ให้อ้วน
กินอย่างไรไม่ให้อ้วน

เปิดอ่าน 11,582 ครั้ง
กูเกิล เผยอันดับคำค้นสุดฮิตของไทย ประจำปี 2012
กูเกิล เผยอันดับคำค้นสุดฮิตของไทย ประจำปี 2012

เปิดอ่าน 4,404 ครั้ง
กว่าจะเป็นครู : สรุปให้รู้ตามทันโลกการศึกษา EP.2
กว่าจะเป็นครู : สรุปให้รู้ตามทันโลกการศึกษา EP.2

เปิดอ่าน 11,370 ครั้ง
รู้เท่าทัน ก่อนทานสมุนไพร-อาหารเสริม
รู้เท่าทัน ก่อนทานสมุนไพร-อาหารเสริม

เปิดอ่าน 146,843 ครั้ง
วิธีปฐมพยาบาลบาดแผลไฟไหม้หรือน้ำร้อนลวก
วิธีปฐมพยาบาลบาดแผลไฟไหม้หรือน้ำร้อนลวก

เปิดอ่าน 42,555 ครั้ง
6 ขั้นตอนเพื่อสร้างแรงจูงใจในการทำงานและความผูกพันในองค์กร เพื่อรักษาคนเก่งขององค์กร
6 ขั้นตอนเพื่อสร้างแรงจูงใจในการทำงานและความผูกพันในองค์กร เพื่อรักษาคนเก่งขององค์กร

เปิดอ่าน 42,726 ครั้ง
30 สุดยอดอาหาร ที่เป็นยาดีต่อสุขภาพ
30 สุดยอดอาหาร ที่เป็นยาดีต่อสุขภาพ

เปิดอ่าน 9,436 ครั้ง
เดนมาร์ก แชมป์โลกความสุข
เดนมาร์ก แชมป์โลกความสุข

เปิดอ่าน 103,487 ครั้ง
วิธีปฐมพยาบาลข้อต่อเคล็ดหรือแพลง
วิธีปฐมพยาบาลข้อต่อเคล็ดหรือแพลง

เปิดอ่าน 17,966 ครั้ง
เปลือกไข่ช่วยให้ผ้าขาว
เปลือกไข่ช่วยให้ผ้าขาว

เปิดอ่าน 29,622 ครั้ง
สัมภาษณ์ ดร.พิษณุ ตุลสุข เลขาธิการคณะกรรมการ สกสค. "ปัญหาหนี้สินครู"
สัมภาษณ์ ดร.พิษณุ ตุลสุข เลขาธิการคณะกรรมการ สกสค. "ปัญหาหนี้สินครู"

เปิดอ่าน 75,815 ครั้ง
กลอนปีใหม่ SMSปีใหม่ กลอนน่ารักๆ
กลอนปีใหม่ SMSปีใหม่ กลอนน่ารักๆ

เปิดอ่าน 3,962 ครั้ง
น้ำมันปลาและน้ำมันตับปลาต่างกันอย่างไร
น้ำมันปลาและน้ำมันตับปลาต่างกันอย่างไร

เปิดอ่าน 30,578 ครั้ง
5 อาหารกินแล้วอ้วนตามความเชื่อแบบผิด ๆ
5 อาหารกินแล้วอ้วนตามความเชื่อแบบผิด ๆ
เปิดอ่าน 15,759 ครั้ง
เสียว! ผลักเพื่อนลงทะเล เกือบถูกฉลามคาบไปกิน
เสียว! ผลักเพื่อนลงทะเล เกือบถูกฉลามคาบไปกิน
เปิดอ่าน 62,540 ครั้ง
ฟุตซอล(Futsal): กติกาข้อ 16 การเตะเข้าเล่น
ฟุตซอล(Futsal): กติกาข้อ 16 การเตะเข้าเล่น
เปิดอ่าน 26,443 ครั้ง
โลกออนไลน์แชร์ สุดยอดคุณครู! ตรวจการบ้านลูกศิษย์ละเอียดยิบ
โลกออนไลน์แชร์ สุดยอดคุณครู! ตรวจการบ้านลูกศิษย์ละเอียดยิบ
เปิดอ่าน 21,996 ครั้ง
การศึกษาความสัมพันธ์ของประสบการณ์การทำงานฯ ต่อวัฒนธรรมการทำงานของครู
การศึกษาความสัมพันธ์ของประสบการณ์การทำงานฯ ต่อวัฒนธรรมการทำงานของครู

รายการหลัก

หน้าแรก
ข่าว/บทความ
สมุดเยี่ยม
กระดานสนทนา
เว็บลิงค์
ผู้จัดทำเว็บครูบ้านนอก
ข้อมูลบุคคล
ภาพกิจกรรม
ผู้สนับสนุน

สมาชิก

เข้าสู่ระบบ
คุณครูต้องรู้ไว้
รวมแบบฟอร์มต่างๆ

เว็บน่าสนใจ

เว็บไซต์ สพฐ.
กระทรวงศึกษาธิการ
เครื่องมือวิทยาศาสตร์
เครื่องมือวัด
เครื่องมืออุตสาหกรรม
เกมส์
แหล่งรวมเกมส์

แหล่งรวมเกมส์
สพป.มุกดาหาร



 เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ มากมาย
เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ คลายเครียด

เกมส์ รวมเกมส์ เกมส์แข่งรถ เกมส์ต่อสู้ เกมส์ภาษา เกมส์วางระเบิด เกมส์แต่งตัว เกมส์ท่องเที่ยว เกมส์หมากฮอส เกมส์ผจญภัย เกมส์เต้น เกมส์รถ เกมส์ดนตรี เกมส์ขายของ เกมส์ฝึกสมอง เกมส์เด็กๆ เกมส์ปลูกผัก เกมส์การ์ด เกมส์จับผิดภาพ เกมส์ตลก เกมส์ตัดผม เกมส์ก้านกล้วย เกมส์ทําอาหาร เกมส์เลี้ยงสัตว์ เกมส์ผี เกมส์จับคู่ เกมส์กีฬา เกมส์เศรษฐี เกมส์ฝึกทักษะ เกมส์วางแผน เกมส์จีบหนุ่ม เกมส์มาริโอ เกมส์ระบายสี เกมส์จีบสาว เกมส์เบ็นเท็น เกมส์ยิง เกมส์ยาน เกมส์สร้างเมือง เกมส์มันส์ๆ เกมส์แต่งบ้าน เกมส์ความรู้
      kroobannok.com

© 2000-2020 Kroobannok.com  
All rights reserved.


Design by : kroobannok.com


ครูบ้านนอกดอทคอม
การจัดอันดับของ Truehits Web Directory

วิธีนำแบนเนอร์ของครูบ้านนอก.คอมไปแปะในเว็บท่าน บันทึกภาพแบนเนอร์นี้และลิงค์มาที่เราครับ (มีแบนเนอร์ 2 แบบ)
 

ครูบ้านนอกดอทคอม เว็บไซต์ของครูตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ที่หวังเพียง ใช้เป็นช่องทางในการสื่อสาร แลกเปลี่ยน เพิ่มพูนความรู้ และให้ข่าวสาร ที่ทันสมัยต่อเหตุการณ์แก่คุณครู ผู้ปฏิบัติงานในทุกพื้นที่ของประเทศไทย เพื่อความเจริญงอกงามในปัญญา และเจริญก้าวหน้าในวิชาชีพ

เว็บนี้ถือกำเนิดเมื่อ 5 มกราคม 2548

Email : kornkham@hotmail.com
Tel : 096-7158383

สนใจสนับสนุนเรา โดยลงโฆษณา
คลิกดูรายละเอียดที่นี่ครับ