ชื่อเรื่อง การพัฒนาแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง อัตราส่วนตรีโกณมิติ
โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
ชื่อผู้วิจัย นางอรชร โคตพันธ์
โรงเรียน ไพรบึงวิทยาคม อำเภอไพรบึง จังหวัดศรีสะเกษ
ปีที่วิจัย ปีการศึกษา 2556 - 2557
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์เรื่อง อัตราส่วนตรีโกณมิติ โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 2) เพื่อพัฒนาและหาประสิทธิภาพแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง อัตราส่วนตรีโกณมิติ โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 3) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน ด้วยการใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง อัตราส่วนตรีโกณมิติ โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 และ 4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อการพัฒนาแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง อัตราส่วนตรีโกณมิติ โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
การดำเนินการวิจัยมี 4 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 การศึกษาข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง อัตราส่วนตรีโกณมิติ โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ขั้นตอนที่ 2 พัฒนาและหาประสิทธิภาพแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง อัตราส่วนตรีโกณมิติ โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ขั้นตอนที่ 3 เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียน ด้วยการใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง อัตราส่วนตรีโกณมิติ โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ขั้นตอนที่ 4 การศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่เรียนด้วยการพัฒนาแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง อัตราส่วนตรีโกณมิติ โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 โรงเรียนไพรบึงวิทยาคม อำเภอไพรบึง จังหวัดศรีสะเกษ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2557 จำนวน 36 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ประกอบด้วย 1) แบบสอบถาม 2) แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ 6 ชุด 3) แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 6 แผน 4) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำนวน 40 ข้อ มีค่าความยาก 0 .60 - 0.67 ค่าอำนาจจำแนก 0.40 - 0.60 และค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.87 5) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน จำนวน 20 ข้อ มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.82 วิเคราะห์สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าร้อยละ และสถิติทดสอบ t-test แบบ dependent samples
ผลการวิจัยพบว่า
1. ผลจากการศึกษาข้อมูลพื้นฐาน
1.1 สภาพการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของครูชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยรวมปฏิบัติอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณารายข้อ พบว่า การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยยึดเนื้อหาเป็นสำคัญและพยายามจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้จบเนื้อหา ปฏิบัติอยู่ในระดับมากที่สุด รองลงมา คือ จัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้นักเรียนจำสูตร หลักการ และวิธีการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก ส่วนการสอนที่ใช้สื่อหรืออุปกรณ์แทนการหาคำตอบจากรูปธรรมแบบง่าย ๆไปสู่การคิดแบบนามธรรมที่ยากขึ้นเป็นการเรียนที่ทำให้นักเรียนมีความสุขและอยากเรียน ปฏิบัติอยู่ในระดับน้อย
1.2 ปัญหาในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่เป็นปัญหาของครู โดยภาพรวม มีปัญหามาก ได้แก่ ครูขาดนวัตกรรมในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ และ ครูขาดการพัฒนาเทคนิคการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบใหม่ ๆ ปัญหาที่เกิดจากนักเรียน โดยภาพรวมมีปัญหาในระดับมาก ได้แก่ นักเรียนมีความรู้พื้นฐานทางคณิตศาสตร์ต่ำ นักเรียนขาดความรับผิดชอบ ขาดระเบียบวินัย และนักเรียนขาดทักษะการคิดวิเคราะห์ คิดสังเคราะห์ คิดแก้ปัญหา สรุปความคิดอย่างเป็นระบบและคิดแบบองค์รวม
1.3 ความต้องการของครูผู้สอนในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ วิชาคณิตศาสตร์ สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด โดยครูต้องการพัฒนานวัตกรรมการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ ที่ทันสมัย ต้องการพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ในหัวข้อใหม่ๆ อย่างหลากหลาย โดยเน้นให้สามารถนำไปใช้ได้จริง และต้องการสื่อ วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเป็นรูปธรรม เหมาะสมและเพียงพอ โดยมีข้อแนะนำให้ครูใช้นวัตกรรมการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทั้งสื่อและเทคนิคประกอบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เพื่อให้นักเรียนสนใจ สามารถประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน ครูเลือกใช้สื่อให้เหมาะกับวิชา เลือกใช้สื่อที่หาง่ายในท้องถิ่น
1.4 ปัญหาในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียน ได้แก่ ครูสอนจริงจัง ไม่ใช้สื่อในการสอน ให้ทำแบบฝึกหัดส่งทุกครั้ง ทำให้เครียด ครูเข้มงวดทำให้บรรยากาศในการเรียนเครียด ไม่อยากเรียน นักเรียนได้เสนอความต้องการที่จะเรียนวิชาคณิตศาสตร์อย่างมีความสุข โดยให้ครูจัดหาสื่อการสอนที่หลากหลาย เพื่ออธิบายเนื้อหาวิชาให้เข้าใจ และครูควรสร้างบรรยากาศในการเรียนให้สนุกสนาน เช่น เล่นเกม และครูควรมีวิธีการสอนที่หลากหลายไม่น่าเบื่อ
2. ประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง อัตราส่วนตรีโกณมิติ โดยใช้รูปแบบ
การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีผลการประเมินประสิทธิภาพ
ด้านกระบวนการ (E1) ได้ค่าประสิทธิภาพ 80.87 และผลการประเมินประสิทธิภาพด้านผลลัพธ์ (E2)
ได้ค่าประสิทธิภาพ 82.57 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดไว้คือ 75/75 แสดงว่าแบบฝึกทักษะ
คณิตศาสตร์ เรื่อง อัตราส่วนตรีโกณมิติ โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 4 นี้สามารถนำไปใช้ในการจัดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง อัตราส่วน
ตรีโกณมิติ โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 พบว่า
หลังเรียนมีผลสัมฤทธิ์สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
4. ความพึงพอใจของนักเรียนหลังเรียนด้วยแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง อัตราส่วนตรีโกณมิติ
โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยรวมอยู่ในระดับ
มากที่สุด