การจัดการเรียนรู้ภาษาไทยยังคงประสบปัญหาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนต่ำ นักเรียนขาดทักษะในการเรียนรู้ โดยเฉพาะทักษะด้านการอ่าน ทำให้นักเรียนไม่สามารถแสวงหาความรู้ได้ด้วยตนเองหรือสื่อสารให้คนอื่นเข้าใจ นอกจากนี้อาจเป็นเพราะครูขาดแคลนสื่อการเรียนการสอนที่ดีและวิธีสอนที่ไม่เหมาะสม ทั้งนี้แบบฝึกทักษะประกอบการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD เป็นวิธีการหนึ่งที่จะช่วยแก้ปัญหาการอ่านได้ ดังนั้นผู้ศึกษาจึงสร้างแบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความสำคัญด้วยกระบวนการกลุ่มแบบร่วมมือเทคนิค STAD ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยการศึกษาครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อ
1) เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความสำคัญด้วยกระบวนการกลุ่มแบบร่วมมือเทคนิค STADของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อศึกษาดัชนีประสิทธิผลของแบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความสำคัญด้วยกระบวนการกลุ่มแบบร่วมมือเทคนิค STADของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 3) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่เรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความสำคัญด้วยกระบวนการกลุ่มแบบร่วมมือเทคนิค STAD 4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อการเรียนรู้เรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความสำคัญด้วยกระบวนการกลุ่มแบบร่วมมือเทคนิค STAD เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์ อำเภอเมือง จังหวัดกาฬสินธุ์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 24 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2558 จำนวน 37 คน ซึ่งได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษามี 4 ชนิด ได้แก่ 1) แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความสำคัญด้วยกระบวนการกลุ่มแบบร่วมมือเทคนิค STAD
สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 7 เล่ม ใช้เวลา 14 ชั่วโมง มีค่าเฉลี่ยสอดคล้องเท่ากับ 4.84
2) แผนการจัดการเรียนรู้ประกอบการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความสำคัญด้วยกระบวนการกลุ่มแบบร่วมมือเทคนิค STAD สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 7 แผน ใช้เวลา 14 ชั่วโมง มีค่าเฉลี่ยสอดคล้องเท่ากับ 4.87 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ ซึ่งมีค่าอำนาจจำแนกตั้งแต่ 0.25 ถึง 0.89 มีค่าความยากง่ายตั้งแต่ 0.23 - 0.83 ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ0.82 และ 4) แบบวัดความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความสำคัญด้วยกระบวนการกลุ่มแบบร่วมมือเทคนิค STAD เป็นแบบมาตรส่วนประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 15 ข้อ ค่าอำนาจจำแนกตั้งแต่ 0.45 ถึง 0.81 ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.94 สถิติที่ใช้ในการ
วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมุติฐานด้วย t - test (Dependent Samples)
ผลการศึกษาปรากฏดังนี้
1. ประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความสำคัญด้วยกระบวนการกลุ่มแบบร่วมมือเทคนิค STAD ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 82.82/81.44 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่ตั้งไว้
2. แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความสำคัญด้วยกระบวนการกลุ่มแบบร่วมมือเทคนิค STAD ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีค่าดัชนีผลเท่ากับ 0.7319 แสดงว่านักเรียนมีความก้าวหน้าทางการเรียนรู้คิดเป็นร้อยละ 71.39
3. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่เรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความสำคัญด้วยกระบวนการกลุ่มแบบร่วมมือเทคนิค STAD มีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.5
4. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีความพึงพอใจต่อการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความสำคัญด้วยกระบวนการกลุ่มแบบร่วมมือเทคนิค STAD อยู่ในระดับมากที่สุดมีคะแนนเฉลียโดยรวมเท่ากับ 4.81
โดยสรุป การพัฒนาทักษะการอ่านภาษาไทย โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความสำคัญด้วยกระบวนการกลุ่มแบบร่วมมือเทคนิค STAD สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีประสิทธิภาพและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนรู้ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการเรียนการสอนได้