ชื่อเรื่อง การพัฒนารูปแบบการจัดประสบการณ์โดยใช้สมองเป็นฐานของครู
โรงเรียนเทศบาล 2 (ถนนบำรุงเมือง)
ผู้วิจัย นางสุดวนิดา เหลือบุญชู ตำแหน่ง รองผู้อำนวยการสถานศึกษา
วิทยฐานะ รองผู้อำนวยการสถานศึกษาชำนาญการพิเศษ
ปีที่วิจัย 2558
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดประสบการณ์โดยใช้สมอง เป็นฐานโดยการวิจัยและพัฒนามี 4 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน เพื่อเป็นแนวทางในการกำหนดนิยาม ความสามารถ พฤติกรรมบ่งชี้และแนวทางการพัฒนาความพร้อมทั้ง 5 ด้านตามรูปแบบการจัดประสบการณ์โดยใช้สมองเป็นฐาน ขั้นตอนที่ 2 พัฒนารูปแบบการจัดประสบการณ์โดยใช้สมองเป็นฐาน เพื่อกำหนดกรอบแนวคิดโครงสร้างรูปแบบการจัดประสบการณ์โดยผู้เชี่ยวชาญ จากนั้นทำการศึกษานำร่องเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของรูปแบบการจัดประสบการณ์ก่อนนำไปทดสอบความเหมาะสมและความเป็นไปได้ ขั้นตอนที่ 3 ทดลองใช้รูปแบบการจัดประสบการณ์โดยใช้สมองเป็นฐาน โดยใช้แบบแผนการวิจัยแบบกำหนดกลุ่มควบคุม ทดสอบก่อนและหลังการจัดประสบการณ์ต่อเนื่องตามเวลาที่กำหนด (Control Group Interrupted Time Series Design) กลุ่มตัวอย่างเป็นครูปฐมวัย จำนวน 6 คน และเด็กปฐมวัย ชั้นอนุบาล 1 3 จำนวน 144 คน ของโรงเรียนเทศบาล 2 (ถนนบำรุงเมือง) ระยะเวลาการจัดประสบการณ์ 12 สัปดาห์ และขั้นตอนที่ 4 การประเมินประสิทธิผลของรูปแบบการจัดประสบการณ์โดยใช้สมองเป็นฐาน โดยการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และข้อมูลเชิงคุณภาพ โดยการวิเคราะห์เนื้อหา เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย เครื่องมือการจัดประสบการณ์ คือ รูปแบบการจัดประสบการณ์โดยใช้สมองเป็นฐาน เครื่องมือการประเมิน คือ 1) เครื่องมือประเมินครูปฐมวัย ได้แก่ แบบประเมินความรู้ความเข้าใจของครูปฐมวัยเกี่ยวกับรูปแบบการจัดประสบการณ์ แบบประเมินความสามารถในการเขียนแผนการจัดประสบการณ์ และแบบประเมินความสามารถใน การจัดประสบการณ์ของครูปฐมวัยตามรูปแบบการจัดประสบการณ์ และแบบประเมินความคิดเห็นของครูปฐมวัยที่มีต่อรูปแบบการจัดประสบการณ์ และ 2) เครื่องมือประเมินเด็กปฐมวัย ได้แก่ แบบทดสอบความสามารถด้านร่างกาย ด้านอารมณ์-จิตใจ ด้านศิลปะและการสร้างสรรค์ ด้านภาษา และด้านการคิด แบบสังเกตพฤติกรรม และแบบประเมินผลงานของเด็กปฐมวัย
ผลการวิจัย พบว่า
1) เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดประสบการณ์ตามรูปแบบการจัดประสบการณ์โดยใช้สมองเป็นฐาน มีพัฒนาการด้านร่างกาย ด้านอารมณ์-จิตใจ ด้านศิลปะและการสร้างสรรค์ ด้านภาษา และด้านการคิด หลังการจัดประสบการณ์สูงกว่าก่อนการจัดประสบการณ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
2) เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดประสบการณ์ตามรูปแบบการจัดประสบการณ์โดยใช้สมองเป็นฐาน มีพัฒนาการด้านร่างกาย ด้านอารมณ์-จิตใจ ด้านศิลปะและการสร้างสรรค์ ด้านภาษา และด้านการคิด หลังการจัดประสบการณ์สูงกว่าเด็กปฐมวัยที่ไม่ได้รับการจัดประสบการณ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
3) เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดประสบการณ์ตามรูปแบบการจัดประสบการณ์โดยใช้สมองเป็นฐาน มีพัฒนาการด้านร่างกาย ด้านอารมณ์-จิตใจ ด้านศิลปะและการสร้างสรรค์ ด้านภาษา และด้านการคิด ทั้ง 4 ระยะ คือ ก่อนการจัดประสบการณ์ครั้งที่ 1 หลังการจัดประสบการณ์ครั้งที่ 2 และติดตามผลการจัดประสบการณ์ มีพัฒนาการสูงขึ้นอย่างเป็นลำดับและมีความคงทนของพฤติกรรมความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย ในระยะติดตามผลการจัดประสบการณ์ พบว่า เด็กปฐมวัยเกิดจินตนาการ การคิดสร้างสรรค์ การคิดหาเหตุผลในการนำความรู้ ทักษะและประสบการณ์ตามระดับพัฒนาการมาใช้ในการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์
4) ครูปฐมวัยมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับรูปแบบการจัดประสบการณ์อยู่ในระดับดีมาก มีความสามารถในการเขียนแผน การจัดประสบการณ์และมีความสามารถในการจัดประสบการณ์ของครูปฐมวัยตามรูปแบบการจัดประสบการณ์ อยู่ในระดับมาก และมีความคิดเห็นของครูปฐมวัยที่มีต่อรูปแบบการจัดประสบการณ์ มีความเหมาะสมและอยู่ในระดับมาก เนื่องจากเป็นรูปแบบการจัดประสบการณ์ที่แสดงแนวคิด กระบวนการจัดประสบการณ์ สื่อและการจัดสภาพแวดล้อมและการประเมินที่ชัดเจน สามารถปฏิบัติได้ตามสภาพจริง