ชื่อเรื่อง รายงานผลการใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เรื่อง การบวก การลบ และการคูณทศนิยม กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์
ผู้รายงาน นางสาวมัลทิกา พิเคราะห์
ปีที่ศึกษา ปีการศึกษา 2558
บทคัดย่อ
วัตถุประสงค์ของการวิจัย เพื่อหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เรื่อง การบวก การลบ และการคูณทศนิยม เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนและหลังการใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เรื่อง การบวก การลบ และการคูณทศนิยม เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อ
การใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เรื่อง การบวก การลบ และการคูณทศนิยม
กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการศึกษา เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ของโรงเรียนบ้านน้ำโค้ง อำเภอเมือง จังหวัดน่าน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2558 จำนวน 31 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ได้แก่ แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เรื่อง การบวก การลบ และการคูณทศนิยม จำนวน 8 เล่ม แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เป็นแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก ซึ่งครอบคลุมจุดประสงค์การเรียนรู้และเนื้อหาของ
แบบฝึกทักษะทั้ง 8 เล่ม จำนวน 30 ข้อและแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง การบวก การลบ และการคูณทศนิยม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย (µ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ( ) และ t-test (Dependent Samples)
ผลการวิจัยพบว่า
1. แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง การบวก การลบ และการคูณทศนิยม มีประสิทธิภาพ
ระหว่างเรียน E1 และประสิทธิภาพหลังเรียน E2 ของแบบฝึกทักษะแต่ละเล่ม เป็นดังนี้ เล่ม 1 เท่ากับ 80.03/82.86 เล่ม 2 เท่ากับ 84.38/80.97 เล่ม 3 เท่ากับ 80.01/81.29 เล่ม 4 เท่ากับ 80.05/82.90 เล่ม 5 เท่ากับ 81.14/82.58 เล่ม 6 เท่ากับ 80.47/84.84 เล่ม 7 เท่ากับ 84.61/84.19 และเล่ม 8 เท่ากับ 86.38/83.87 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 80/80
2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังเรียนด้วย แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เรื่อง การบวก การลบ และการคูณทศนิยม สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
3. ความพึงพอใจต่อการเรียนด้วยแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
เรื่อง การบวก การลบ และการคูณทศนิยม ของนักเรียนพบว่าในภาพรวมมีระดับความพึงพอใจ
อยู่ในระดับมากที่สุด (µ = 4.56)