ชื่อผลงาน : การวิจัยเพื่อพัฒนาการส่งเสริมนิสัยรักการอ่านของนักเรียน
โรงเรียนสงขลาวิทยาคม ปีการศึกษา 2557- 2558
ผู้วิจัย : นางจันทนีย์ เนาวรัตน์
ครู โรงเรียนสงขลาวิทยาคม อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 16
บทคัดย่อ
การวิจัยเพื่อพัฒนาการส่งเสริมนิสัยรักการอ่านของนักเรียนโรงเรียนสงขลาวิทยาคม
ปีการศึกษา 2557- 2558 มีวัตถุประสงค์
1. เพื่อศึกษาคุณภาพการส่งเสริมนิสัยรักการอ่านของนักเรียนโรงเรียนสงขลาวิทยาคม หลังการพัฒนา ปีการศึกษา 2557 -2558
2. เพื่อศึกษาพฤติกรรมการมีนิสัยรักการอ่านของนักเรียนโรงเรียนสงขลาวิทยาคม
หลังการพัฒนา ปีการศึกษา 2557 -2558
3. เพื่อศึกษาคุณภาพผู้เรียน ตามมาตรฐานคุณภาพการศึกษา มาตรฐานที่ 3 ผู้เรียน
มีทักษะในการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง รักการอ่านการเรียนรู้และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง
4. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียน ครู ผู้ปกครอง และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานต่อการวิจัยเพื่อพัฒนาการส่งเสริมนิสัยรักการอ่านของนักเรียน โรงเรียนสงขลาวิทยาคม หลังการพัฒนา ปีการศึกษา 2557-2558
ในการวิจัยครั้งนี้ศึกษาจากกลุ่มตัวอย่าง ปีการศึกษา 2557 นักเรียน จำนวน 285 คนกลุ่มตัวอย่างครู จำนวน 66 คน กลุ่มตัวอย่างผู้ปกครอง จำนวน 285 คนและกลุ่มตัวอย่างคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 13 คน ปีการศึกษา 2558 นักเรียน จำนวน 278 คนกลุ่มตัวอย่างครู จำนวน 56 คน กลุ่มตัวอย่างผู้ปกครอง จำนวน 278 คนและกลุ่มตัวอย่างคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 13 คน เครื่องมือที่ใช้ในการประเมินมี 2 ลักษณะ ได้แก่แบบสอบถามที่มีลักษณะเป็นมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 3 ฉบับ และแบบบันทึกผลการประเมินมาตรฐานคุณภาพการศึกษาระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน มาตรฐานที่ 3 ผู้เรียนมีทักษะในการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง รักการเรียนรู้และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ตามสภาพจริง จำนวน 1 ฉบับรวมทั้งสิ้น 4 ฉบับ มีการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือทุกฉบับ ได้ค่าความเชื่อมั่นแต่ละฉบับระหว่าง 0.89 - 0.93
ผลการวิจัยพบว่า
1. ผลการวิเคราะห์ข้อมูลด้านคุณภาพการส่งเสริมนิสัยรักการอ่านของนักเรียน โรงเรียนสงขลาวิทยาคม หลังการพัฒนา ปีการศึกษา 2557 ตามความคิดเห็นของนักเรียน ครูและผู้ปกครอง โดยรวมมีคุณภาพอยู่ในระดับมาก ( X-bar = 3.79, S.D. = 0.73) เมื่อพิจารณาเป็นรายกลุ่มการประเมินพบว่า ผู้ปกครองเห็นว่าการพัฒนาการส่งเสริมนิสัยรักการอ่านของนักเรียนโรงเรียนสงขลาวิทยาคม มีคุณภาพอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ( X-bar = 3.84, S.D. = 0.76) รองลงมาคือนักเรียนเห็นว่าการพัฒนาการส่งเสริมนิสัยรักการอ่านของนักเรียนโรงเรียนสงขลาวิทยาคม มีคุณภาพอยู่ในระดับมาก ( X-bar = 3.79, S.D. = 0.74) ส่วนครูมีความเห็นต่อคุณภาพการพัฒนาการส่งเสริมนิสัยรักการอ่านของนักเรียน อยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด ( X-bar = 3.74, S.D. = 0.76) หลังการพัฒนา ปีการศึกษา 2558 โดยรวมมีคุณภาพอยู่ในระดับมาก ( X-bar = 4.04, S.D. = 0.61) เมื่อพิจารณาเป็นรายกลุ่ม พบว่า ครูมีความเห็นต่อคุณภาพการพัฒนาการส่งเสริมนิสัยรักการอ่านของนักเรียน อยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ( X-bar = 4.07, S.D. = 0.63) รองลงมาคือนักเรียน เห็นว่าการพัฒนาการส่งเสริมนิสัยรักการอ่านของนักเรียนโรงเรียนสงขลาวิทยาคม มีคุณภาพอยู่ในระดับมาก ( X-bar = 4.06, S.D. = 0.72) ส่วนผู้ปกครอง มีความเห็นต่อคุณภาพการพัฒนาการส่งเสริมนิสัยรักการอ่านของนักเรียน อยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด ( X-bar = 4.01, S.D. = 0.50) สอดคล้องตามสมติฐาน
2. ผลการวิเคราะห์ข้อมูลด้านพฤติกรรมการมีนิสัยรักการอ่านของนักเรียนโรงเรียนสงขลาวิทยาคม หลังการพัฒนา ปีการศึกษา 2557 ตามความคิดเห็นของครูและผู้ปกครอง โดยรวมมีคุณภาพอยู่ในระดับมาก ( = 3.75, S.D. = 0.73) เมื่อพิจารณาแต่ละรายการพบว่า ครูมีความเห็นต่อพฤติกรรมการมีนิสัยรักการอ่านของนักเรียนอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ( = 3.76, S.D. = 0.77) ส่วนผู้ปกครองมีความเห็นต่อพฤติกรรมการมีนิสัยรักการอ่านของนักเรียนอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด ( = 3.74, S.D. = 0.70) หลังการพัฒนา ปีการศึกษา 2558 โดยรวมมีคุณภาพอยู่ในระดับมาก ( = 4.00, S.D. = 0.70) เมื่อพิจารณาแต่ละรายการพบว่าครูและผู้ปกครอง มีความเห็นต่อพฤติกรรมการมีนิสัยรักการอ่านของนักเรียนอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ( = 4.00, S.D. = 0.71 และ 0.69) สอดคล้องตามสมติฐาน
3. ผลการวิเคราะห์ข้อมูลผลการประเมินมาตรฐานคุณภาพการศึกษาระดับการศึกษา
ขั้นพื้นฐานโรงเรียนสงขลาวิทยาคม หลังการพัฒนา ปีการศึกษา 2557 มาตรฐานที่ 3 ผู้เรียนมีทักษะ
ในการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง รักการอ่านการเรียนรู้และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง โดยรวม
มีคุณภาพอยู่ในระดับดีมาก (ร้อยละ 81.50) เมื่อพิจารณาตามตัวชี้วัดพบว่า ตัวชี้วัด 3.1 มีนิสัยรักการอ่านและแสวงหาความรู้ด้วยตนเองจากห้องสมุด แหล่งเรียนรู้และสื่อต่าง ๆรอบตัว ) มีคุณภาพอยู่ในระดับดีมาก มีค่าเฉลี่ยสูงสุด (ร้อยละ 83.00) รองลงมาได้แก่ ตัวชี้วัด 3.4ใช้เทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้และนำเสนอผลงาน มีคุณภาพอยู่ในระดับดีมาก (ร้อยละ 82.00) ส่วนตัวชี้วัด 3.2 มีทักษะในการอ่าน ฟัง ดู พูด เขียนและตั้งคำถามเพื่อค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติม มีคุณภาพอยู่ในระดับดีมาก มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด (ร้อยละ 80.00) หลังการพัฒนา ปีการศึกษา 2558 โดยรวมมีคุณภาพอยู่ในระดับดีมาก (ร้อยละ 91.00) เมื่อพิจารณาตามตัวชี้วัดพบว่า ตัวชี้วัด 3.1 มีนิสัยรักการอ่านและแสวงหาความรู้ด้วยตนเองจากห้องสมุด แหล่งเรียนรู้และสื่อต่าง ๆรอบตัว มีคุณภาพอยู่ในระดับดีมาก มีค่าเฉลี่ยสูงสุด (ร้อยละ 92.00) รองลงมาได้แก่ ตัวชี้วัด 3.4 ใช้เทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้และนำเสนอผลงาน มีคุณภาพอยู่ในระดับดีมาก (ร้อยละ (91.00) ส่วนตัวชี้วัด 3.2 มีทักษะในการอ่าน ฟัง ดู พูด เขียนและตั้งคำถามเพื่อค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติม มีคุณภาพอยู่ในระดับดีมาก มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด (ร้อยละ 90.00) สอดคล้องตามสมติฐาน
4. ผลการวิเคราะห์ข้อมูลด้านความพึงพอใจของครู ผู้ปกครองและคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานต่อการดำเนินการพัฒนาการส่งเสริมนิสัยรักการอ่านของนักเรียนโรงเรียนสงขลาวิทยาคม หลังการพัฒนา ปีการศึกษา 2557 โดยรวมมีความพึงพอใจระดับมาก ( X-bar=3.81, S.D = 0.74) เมื่อพิจารณาแต่ละกลุ่ม พบว่านักเรียนมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ( X-bar =3.83, S.D = 0.75) รองลงมาคือคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน มีความ พึงพอใจอยู่ในระดับมาก ( X-bar =3.82, S.D. = 0.78) ส่วนครูและผู้ปกครองมีความพึงพอใจระดับมาก มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด ( X-bar =3.80, S.D = 0.69 และ0.75) หลังการพัฒนา ปีการศึกษา 2558 โดยรวมมีความพึงพอใจระดับมาก ( X-bar =4.09, S.D = 0.56) เมื่อพิจารณาแต่ละกลุ่ม พบว่านักเรียน มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยสูงสุด( X-bar =4.15, S.D = 0.17) รองลงมาคือครู มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก ( X-bar =4.14, S.D. = 0.73) ส่วนผู้ปกครองมีความ พึงพอใจระดับมาก มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด ( X-bar =4.05, S.D = 0.66)
สอดคล้องตามสมมติฐาน
ข้อเสนอแนะ
ข้อเสนอแนะสำหรับการนำผลการวิจัยไปใช้
1.ควรมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมนิสัยรักการอ่านอย่างต่อเนื่อง
2.ควรส่งเสริมให้ผู้ปกครองได้มีส่วนร่วมในการประเมินพฤติกรรมการมีนิสัยรักการอ่านของนักเรียนอย่างต่อเนื่อง
3.ควรส่งเสริมให้ผู้ปกครองเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
4.ควรมีการประกาศเกียรติคุณผู้ปกครอง และชุมชนที่มีส่วนร่วมกับโรงเรียนอย่างต่อเนื่องและเป็นแบบอย่าง
ข้อเสนอแนะสำหรับการวิจัยครั้งต่อไป
1.ควรศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการใฝ่รู้ใฝ่เรียนและการมีนิสัยรักการอ่านของนักเรียน
2.ควรมีการศึกษาหรือพัฒนารูปแบบการส่งเสริมนิสัยรักการอ่านของนักเรียนของโรงเรียนที่ประสบผลสำเร็จในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน