ค้นหาทุกอย่างในเว็บครูบ้านนอก :
ชุมชนครู บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียน แหล่งความรู้สำหรับครู นักเรียน ข่าวการศึกษา ห้องสมุดความรู้ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ และความรู้ทั่วไป เผยแพร่ผลงานวิชาการ ที่นี่


ค้นหากระทู้
ตั้งกระทู้คำถามใหม่ กลับหน้าที่แล้ว
 
เผยแพร่วิจัยในชั้นเรียน เรื่อง พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะเศษส่วนและการบวก ลบ ค

บทที่ 1

บทนำ

ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา

นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวัดสวนดอก ยังขาดทักษะการคิดคำนวณและหาผลลัพธ์การบวก ลบ คูณและหารเศษส่วน หรือบางคนทำได้แต่ทำได้ช้ามาก บางคนทำได้เร็วแต่คำตอบไม่ถูกต้อง เป็นเหตุให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนไม่ดีเท่าที่ควร

ผู้วิจัยได้จัดทำ วิจัยในชั้นเรียน เรื่อง พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะเศษส่วนและการบวก ลบ คูณ หารเศษส่วน ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ขึ้น

วัตถุประสงค์ของการวิจัย

1. เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องเศษส่วน

2. ให้นักเรียนหาผลบวก ลบ คูณ หารเศษส่วน ได้อย่างถูกต้อง และรวดเร็วขึ้นสามารถนำไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน

ขอบเขตของการวิจัย

- การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5

โรงเรียนวัดสวนดอก ปีการศึกษา 2556 จำนวน 48 คน

- เนื้อหาในการวิจัย เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับเศษส่วนและการบวก ลบ คูณ หารเศษส่วน

- ระยะเวลาการศึกษา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2556

คำนิยามศัพท์

ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คะแนนที่ได้จากการทดสอบของนักเรียน ที่ครูผู้สอนเป็นผู้วัดผลหลังการเรียนแต่ละเรื่อง

สมมุติฐานของการวิจัย

นักเรียนสามารถมีความเข้าใจเรื่องเศษส่วน จากการใช้แบบฝึกเสริมทักษะเศษส่วนและการบวก ลบ คูณ หารเศษส่วน

ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย

- นักเรียนสามารถหาผลบวก ลบ คูณ หารเศษส่วน ได้อย่างถูกต้อง และรวดเร็วขึ้นสามารถนำไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน

บทที่ 2

แนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

การวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียนเรื่อง พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะเศษส่วนและการบวก ลบ คูณ หารเศษส่วน ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์และนักเรียนสามารถคำนวณได้เร็วถูกต้อง นำไปใช้ในชีวิต ประจำวัน ได้ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ดังนี้

1. หลักการคิดคณิตคิดเร็ว

2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน

3. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

4. กรอบความคิดในการศึกษาวิจัย

โดยมีรายละเอียดดังนี้

ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน เป็นผลลัพธ์ของการ

ดำเนินการจัดการศึกษาเป็นตัวบ่งชี้ ( Lnden ) ถึงความรู้ ความสามารถทางสติปัญญาของผู้เรียน และด้านอื่นๆที่สามารถกำหนดขึ้นได้ นอกจากนี้ยังแสดงถึงคุณค่าของหลักสูตร การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ตลอดจนความรู้ ความสามารถของผู้บริหาร ครูผู้สอนและผู้ที่เกี่ยวข้องอื่นๆ

ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีผู้ให้ไว้

หลากหลาก ที่น่าสนใจและสอดคล้องกับการวิจัยครั้งนี้ได้แก่ ความหมายของอายส์เนค และไมลี (Eysneck and Meile 1986 : 16 อ้างในนพดล เจนอักษร , 2544 : 143- 146 ) ก็คือ ดัชนีชี้ประสิทธิภาพและคุณภาพการจัดการศึกษา ผลสัมฤทธิ์ในการเรียนอาจเกิดกระบวนการวัดผล หลังกิจกรรมการเรียนการสอน หรือระหว่างจัดกิจกรรมการเรียนการสอนก็ได้ สอดคล้องกับความหมายที่ ไพศาล หวังพานิช (2536 : 139) ให้ไว้ว่า คือคุณลักษณะความสามารถของบุคคลอันเกิดจากการเรียนการสอน เป็นผลของการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและประสบการณ์การเรียนรู้ที่เกิดจากการอบรมหรือการสั่งสอน

จากความหมายที่กล่าวมาแล้ว เราอาจจะประมวลความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนได้ว่า คือความรู้ ความเข้าใจ ทักษะ และทัศนคติอันเกิดจากการเรียนรู้ ซึ่งอาจวัดได้จากการทดสอบระหว่างหรือหลังจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ด้วยการทดสอบหรือวิธีการอื่นๆนอกจากผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจะบอกคุณภาพของผู้เรียนแล้วยังแสดงให้เห็นถึงคุณค่าของหลักสูตร คุณภาพในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ตลอดจนความรู้ความสามารถของครูผู้สอนและผู้บริหารอีกด้วย

องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ในการเรียน

การที่ผู้เรียนจะเกิดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในการเรียนเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ

หลายปัจจัยอยู่เหมือนกัน ดังที่มีนักวิชาการได้ให้ความเห็นไว้ต่างๆดังต่อไปนี้ ในปี ค.ศ. 1969 ฮาวิกเฮิร์ส และนูกาเทน (Harvighurst and Neugarten 1969 : 157 ) ได้กล่าวถึงองค์ประกอบของผลสัมฤทธิ์ในการเรียนว่าประกอบด้วยความสามารถที่ติดตัวมาแต่กำเนิดชีวิตและการอบรมในครอบครัว ประสิทธิภาพของโรงเรียน และความเข้าใจเกี่ยวกับตนเองและการมุ่งหวังในอนาคต เจ็ดปีต่อมา ปลูม (Bloom 1976 : 160 ) เสนอว่าองค์ประกอบที่มีอิทธิต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนได้แก่ตัวแปรสำคัญสามตัว คือ คุณสมบัติด้านความรู้คุณลักษณะด้านจิตพิสัยและคุณภาพของการสอน ซึ่งประกอบด้วยการชี้แนะ การบอกจุดมุ่งหมายของการเรียน การมีส่วนร่วมในการเรียนการสอนการเสริมแรงจากคุณครู การให้ข้อมูลย้อนกลับถึงความบกพร่องหรือความเหมาะสม และการแก้ไขข้อบกพร่อง

งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

เยาวลักษณ์ โทณผลิน (2547) การสอนคณิตศาสตร์ เรื่อง การพัฒนาทักษะการหาผลคูณของนักเรียนระดับชั้นประถมปีที่ 3 จากผลการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่าระหว่างการใช้แบบฝึกทักษะทั้ง 2 ชุดซึ่งเกี่ยวกับแบบฝึกทักษะการหาผลคูณของจำนวนต่างๆ นักเรียนได้คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 67.4 และ 74.6 ตามลำดับ นับว่าเป็นคะแนนเฉลี่ยร้อยละที่สูงในระดับที่น่าพอใจ นอกจากนี้ จากการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังการใช้แบบฝึกทักษะการหาผลคูณทั้ง 2 ชุด พบว่านักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยร้อยละเพิ่มขึ้น 54 .00 โดยที่ก่อนการใช้แบบฝึกทักษะ นักเรียนได้คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 36.00 แต่ภายหลังการใช้แบบฝึกทักษะ นักเรียนได้คะแนนร้อยละ 90.00 แสดงว่าแบบฝึกทักษะการหาผลคูณทั้ง 2 ชุด ที่จัดทำขึ้น เป็นแบบฝึกทักษะที่สามารถพัฒนาทักษะของนักเรียนในการหาผลคูณของจำนวนที่มากกว่าสามหลักกับจำนวนที่มากกว่าสามหลักได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้เพราะเป็นแบบฝึกทักษะที่สร้างขึ้นโดยอาศัยหลักการเรียนรู้ที่เริ่มจากง่ายไปหายาก เป็นการฝึกซ้ำๆ และมีรูปแบบการฝึกเป็นลำดับขั้นตอนที่ดี นักเรียนสามารถใส่ผลคูณได้ถูกที่ และรวมผลคูณได้ถูกต้อง

อรอุมา ฟุ้งขจร (2547) จากการใชวิธีสอนโดยใชกิจกรรมแบบกลุมเกมแขงขัน เพื่อพัฒนาทักษะการเรียนวิชาคณิตศาสตร ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปที่ 6/1 ผลปรากฎวาได้ คะแนนที่คิดเปนรอยละสูงที่สุด คือ ร้อยละ87 รองลงมาไดแก กลุมที่ 3 ไดคะแนนคิดเปนรอยละ 81 ,กลุมที่ 2 ไดคะแนนคิดเปนรอยละ 78 , กลุมที่ 4 ไดคะแนนคิดเปนรอยละ 75 ,กลุมที่ 1 ไดคะแนนคิดเปนรอยละ 74 , กลุมที่ 6 ไดคะแนนคิดเปนรอยละ 65 และกลุมที่ 5 ไดคะแนนคิดเปนรอยละ 54 ดังนั้นกลุมที่ 7 จึงไดรับรางวัลจากการทํากิจกรรมกลุมเกมการแขงขันทางคณิตศาสตรในครั้งนี้จากการทํากิจกรรมของนักเรียนในแตละกลุมมีพัฒนาการไปในทางที่ดีขึ้น ทั้งนี้แสดงใหเห็นวาการใชวิธีสอนโดยใชกิจกรรมแบบกลุมเกมแขงขันเปนการพัฒนาทักษะการเรียนรูทางคณิตศาสตรใหกับผูเรียนอีกทั้งยังเปนกิจกรรมที่สงเสริมและกระตุนใหผูเรียนมีเจตคติที่ดีตอวิชาคณิตศาสตรมากยิ่งขึ้น

รุ่งตะวัน โพธิ์ไทร (2548) การสอนคณิตศาสตร เรื่อง โจทยปญหาโดยใชกิจกรรมเกมเพื่อ

พัฒนาทักษะทางคณิตศาสตรของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 1/4 พบวาในการจัดกิจกรรมดังกลาวทําใหนักเรียนมีความสนใจการเรียน รูสึกสนุกสนาน มีความรับผิดชอบ รูจักทํางานเปนกลุม มีการเคลื่อนไหว ทําใหไมเบื่อหนายตอการเรียน สงเสริมทักษะในดานตางๆ เกิดความเขาใจบทเรียน เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ในทางบวก และทําใหผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น ตามลําดับ จากการเลนเกมครั้งที่1 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคิดเปนรอยละ 70.00 และเมื่อถึงการเลนเกมครั้งที่4 ซึ่งเปนครั้งสุดทาย มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคิดเปนรอยละ 85.00 ซึ่งเปนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สูงขึ้น

กรอบความคิดในการศึกษาวิจัย

แผนภูมิที่ 1 กรอบความคิดในการศึกษาวิจัย

ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม

แบบฝึกเสริมทักษะ

ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน

วิชา คณิตศาสตร์ เรื่องเศษส่วน

ของนักเรียนระดับชั้น ป.5

บทที่ 3

วิธีการดำเนินการวิจัย

การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องเศษส่วน วิชาคณิตศาสตร์ และหาผลบวก ลบ คูณ หารเศษส่วน ได้อย่างถูกต้อง และรวดเร็วขึ้นสามารถนำไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีวิธีดำเนินการวิจัย ดังนี้

ขั้นตอนและวิธีดำเนินการวิจัย

การวิจัยประเภทการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research ) เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์

1. ขั้นวางแผน ดำเนินตามขั้นตอนดังต่อไปนี้

ผู้วิจัยเคราะห์สภาพปัญหาการเรียนการสอน วิเคราะห์สาเหตุวิเคราะห์หลักสูตรเกี่ยวกับหลักสูตรคณิตศาสตร์ระดับชั้น ป.5 กำหนดเนื้อหาที่ใช้สอนศึกษาค้นคว้าเอกสารที่เกี่ยวข้องสร้างแบบฝึกเสริมทักษะ

2. ขั้นปฏิบัติการ

ผู้วิจัยนำแบบฝึกเสริมทักษะใช้กับผู้เรียน

3. สะท้อนผลจากการปฏิบัติจริง

นำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์และศึกษาสิ่งที่ต้องปรับปรุงแก้ไข เพื่อนำมาปรับปรุงการเรียนการสอน

ครั้งต่อไป

ประชากร

1. ประชากร ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวัดสวนดอก จำนวน 48 คน

ตัวแปรที่ใช้ในการศึกษาวิจัย

ตัวแปรต้น การสอนโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะ

ตัวแปรตาม ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา คณิตศาสตร์ เรื่องเศษส่วน ของนักเรียนระดับชั้น ป.5

เครื่องมือที่ใช้วิจัย

- แบบฝึกเสริมทักษะเศษส่วนและการบวก ลบ คูณ หารเศษส่วน ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5

การวิเคราะห์ข้อมูล

แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

- การเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพ

นำข้อมูลที่ได้จากการตรวจผลแบบฝึกเสริมทักษะของผู้เรียนและสังเกตจากพฤติกรรมของนักเรียนมาวิเคราะห์ สรุปแล้วรายงานผลในลักษณะการบรรยาย

- การเก็บข้อมูลเชิงปริมาณ

การวิเคราะห์ข้อมูลจากแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน โดย คำนวณหาร้อยละ ค่าเฉลี่ย ( )

การนำเสนอข้อมูล

นำเสนอโดยความเรียง ประกอบตารางและแผนภูมิ

บทที่ 4

ผลการวิเคราะห์ข้อมูล

การวิจัยเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องเศษส่วน โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะเศษส่วนและ

การบวก ลบ คูณ หารเศษส่วน ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวัดสวนดอก จ.เชียงใหม่ ปรากฏผลวิจัยดังนี้

ผลการวิจัย

ตารางที่ 1 แสดงผลการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน

รายการประเมิน ค่าเฉลี่ยของร้อยละ

ก่อนเรียน หลังเรียน

แบบทดสอบก่อนเรียน-หลังเรียน 44.79 77.60

จากตารางที่ 1 แสดงว่า กิจกรรมการเรียนการสอนโดย ใช้แบบฝึกเสริมทักษะเศษส่วนและการบวก

ลบ คูณ หารเศษส่วน ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น กล่าวคือ นักเรียนมีพัฒนาการทางทักษะ กระบวนการคิดคำนวณเรื่องเศษส่วน และถูกต้องมากขึ้นตามลำดับ จากการทดสอบก่อนเรียน นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคิดเป็นร้อยละ 44.79 หลังจากที่นักเรียนได้ใช้แบบฝึกเสริมทักษะเศษส่วนและการบวก ลบ คูณ หารเศษส่วน ทำให้ผลการทดสอบหลังเรียนเพิ่มขึ้น เป็น 77.60 ซึ่งเป็นผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สูงขึ้น ตามสมมุติฐานที่ตั้งไว้

บทที่ 5

สรุป อภิปราย และข้อเสนอแนะ

จากการวิจัยเรื่องการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องเศษส่วน โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะ

เศษส่วนและการบวก ลบ คูณ หารเศษส่วนของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวัดสวนดอก

สามารถสรุปผล อภิปรายผลและข้อเสนอแนะได้ดังนี้

สรุปผลการวิจัย

การสอนคณิตศาสตร์ เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้ทักษะคณิตคิดเร็วของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 พบว่าในการใช้แบบฝึกดังกล่าวทำให้ผู้เรียนได้ทบทวนและเสริมทักษะและนักเรียนมีความสนใจ ไม่เบื่อหน่ายต่อการเรียน ส่งเสริมให้นักเรียนมีความเข้าใจในบทเรียน และมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้นจากการทดสอบก่อนเรียน นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคิดเป็นร้อยละ 44.79 หลังจากที่นักเรียนได้ใช้แบบฝึกเสริมทักษะเรียนคณิตคิดเร็วนักเรียนมีทักษะการคิดคำนวณมากขึ้นเมื่อมาถึงทดสอบหลังเรียน ซึ่งเป็นครั้งสุดท้าย นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ ร้อยละ 77.60 ซึ่งเป็นผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สูงขึ้น

อภิปรายผล

การศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ เป็นการศึกษาผลของการใช้แบบฝึกเสริมทักษะ เรื่องเศษส่วน ในรายวิชา คณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2556 โรงเรียนวัดสวนดอก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ปรากฏผลการศึกษาค้นคว้าดังนี้

เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ด้วยแบบทดสอบก่อนเรียน นักเรียนส่วนใหญ่ทำคะแนนได้น้อย (ร้อยละ 44.79 ) และทดสอบหลังเรียน (ร้อยละ 77.60 ) คะแนนของผู้เรียนเพิ่มขึ้นตามลำดับ การสอนโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะพบว่าผู้เรียนมีทักษะในการคิดคำนวณดีขึ้น และได้คำตอบที่ถูก ทำให้ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น เป็นไปตามสมมุติฐาน อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มทักษะการคิดคำนวณ ให้คิดคำนวณได้รวดเร็ว ถูกต้อง แม่นยำ เพิ่มความชำนาญในการในการคิดคำนวณ ส่งผลให้นักเรียนพัฒนาศักยภาพของตนเอง ทำให้ผู้เรียนมีความสามารถในการเรียนสูงขึ้น สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน

ผลการศึกษาค้นคว้าครั้งนี้สรุปได้ว่า หลังจากการเรียนโดยใช้วิธีสอนโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนสูงขึ้น

ระยะเวลา

ปฏิทินการวิจัย

กิจกรรม ระยะเวลา

1. สร้างเครื่องมือ

- นวัตกรรม

- แบบประเมิน

2. จัดกิจกรรม

3. ประเมิน

4. สรุปผล

5. เขียนรายงาน

9-11 ธันวาคม 2556

14-18 ธันวาคม 2556

21-22 ธันวาคม 2556

23-24 ธันวาคม 2556

25-29 ธันวาคม 2556

ข้อเสนอแนะ

1. ผู้สอนวิชาคณิตศาสตร์ สามารถนำผลที่ได้จากการศึกษาครั้งนี้ไปหาแนวทางในการจัด

การเรียนการสอน

2. ควรมีการวิจัยเรื่องอื่นๆ ในวิชาคณิตศาสตร์ต่อไป

กิตติกรรมประกาศ

งานวิจัยฉบับนี้สำเร็จได้รับการสนับสนุนจาก นายยงยุทธ ขัดผาบ ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดสวนดอก ที่ได้ให้คำแนะนำและติดตามการทำงานวิจัยอย่างใกล้ชิด ผู้วิจัยรู้สึกซาบซึ้ง และขอขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

ขอขอบพระคุณคณะครูระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 และท่านอื่นๆ ที่สนับสนุนและให้กำลังใจในการดำเนินการวิจัยและขอขอบใจนักเรียนในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวัดสวนดอก จังหวัดเชียงใหม่ ที่ได้ช่วยตอบแบบสอบถามด้วยความเต็มใจ เพื่อให้เห็นถึงปัญหาและวิธีการแก้ไขปัญหาอันเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการนำไปปรับปรุงและพัฒนาการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ผู้วิจัยขอแสดงความขอบคุณไว้ ณ โอกาสนี้

นายชัชวาล ธิมา

โพสต์โดย Kru MuD : [13 ต.ค. 2559 เวลา 09:58 น.]
อ่าน [7433] ไอพี : 49.229.105.132
หากข้อความนี้ไม่เหมาะสม คลิก คลิกปุ่มนี้ หากเห็นว่าข้อความนี้ไม่เหมาะสม
 
 

โพสต์โดย

คุณ -

≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡

เปิดอ่าน 17,989 ครั้ง
เทคนิคการอ่านเพื่อให้เกิดทักษะ
เทคนิคการอ่านเพื่อให้เกิดทักษะ

เปิดอ่าน 88,657 ครั้ง
โรงเรียนร่วมพัฒนา(Partnership School)
โรงเรียนร่วมพัฒนา(Partnership School)

เปิดอ่าน 12,093 ครั้ง
13 ความเชื่อที่ควรรู้เกี่ยวกับมะเร็งเต้านม
13 ความเชื่อที่ควรรู้เกี่ยวกับมะเร็งเต้านม

เปิดอ่าน 16,214 ครั้ง
ปลูกผักหวานป่าในพื้นที่ราบ
ปลูกผักหวานป่าในพื้นที่ราบ

เปิดอ่าน 2,529 ครั้ง
"วิศวกรเสียง สจล." แนะ 5 เทคนิคเลือกหูฟังถนอมหู
"วิศวกรเสียง สจล." แนะ 5 เทคนิคเลือกหูฟังถนอมหู

เปิดอ่าน 9,380 ครั้ง
องค์กรของคุณใช้เครื่องมืออัตโนมัติด้านไอทีที่เหมาะสมหรือไม่
องค์กรของคุณใช้เครื่องมืออัตโนมัติด้านไอทีที่เหมาะสมหรือไม่

เปิดอ่าน 21,513 ครั้ง
ทฤษฎีสำหรับ E-Learning
ทฤษฎีสำหรับ E-Learning

เปิดอ่าน 18,909 ครั้ง
อาการของมะเร็งที่อวัยวะต่าง ๆ
อาการของมะเร็งที่อวัยวะต่าง ๆ

เปิดอ่าน 17,522 ครั้ง
สวมแหวนนิ้วไหนถึงจะมีโชค
สวมแหวนนิ้วไหนถึงจะมีโชค

เปิดอ่าน 8,857 ครั้ง
5เทคนิคสุขภาพดีสำหรับคุณแม่ที่ยุ่งตลอดเวลา
5เทคนิคสุขภาพดีสำหรับคุณแม่ที่ยุ่งตลอดเวลา

เปิดอ่าน 8,035 ครั้ง
ปัญหาอมตะครูไทย เร่งแก้ก่อนการศึกษาดำดิ่ง
ปัญหาอมตะครูไทย เร่งแก้ก่อนการศึกษาดำดิ่ง

เปิดอ่าน 8,493 ครั้ง
ผักตำลึง ผักข้างรั้วอินทรีย์ที่แท้จริง
ผักตำลึง ผักข้างรั้วอินทรีย์ที่แท้จริง

เปิดอ่าน 11,603 ครั้ง
เกาหลีแพลนสร้าง แดจังกึม 2
เกาหลีแพลนสร้าง แดจังกึม 2

เปิดอ่าน 7,660 ครั้ง
ความคิดสร้างสรรค์ (จบ)
ความคิดสร้างสรรค์ (จบ)

เปิดอ่าน 35,447 ครั้ง
มารยาทในการรับประทานอาหาร (table manners)
มารยาทในการรับประทานอาหาร (table manners)

เปิดอ่าน 11,719 ครั้ง
5 วิธีชวนขับรถประหยัดน้ำมัน
5 วิธีชวนขับรถประหยัดน้ำมัน
เปิดอ่าน 17,618 ครั้ง
"แก่นตะวัน" สมุนไพรที่คนไทยควรรู้จักพืชเพื่อสุขภาพ-เป็นพลังงานทดแทน
"แก่นตะวัน" สมุนไพรที่คนไทยควรรู้จักพืชเพื่อสุขภาพ-เป็นพลังงานทดแทน
เปิดอ่าน 16,400 ครั้ง
3 เทคนิควิเศษ ที่จะเสกให้คุณพูดอังกฤษเก่งเหมือนเจ้าของภาษา
3 เทคนิควิเศษ ที่จะเสกให้คุณพูดอังกฤษเก่งเหมือนเจ้าของภาษา
เปิดอ่าน 10,735 ครั้ง
ตูนส์ศึกษา : หลักฐานยอดฮิต ที่แสดงว่าเด็กไทยคิดเป็น
ตูนส์ศึกษา : หลักฐานยอดฮิต ที่แสดงว่าเด็กไทยคิดเป็น
เปิดอ่าน 9,659 ครั้ง
1 ปี "สตีฟ จ็อบส์" จากไป
1 ปี "สตีฟ จ็อบส์" จากไป

รายการหลัก

หน้าแรก
ข่าว/บทความ
สมุดเยี่ยม
กระดานสนทนา
เว็บลิงค์
ผู้จัดทำเว็บครูบ้านนอก
ข้อมูลบุคคล
ภาพกิจกรรม
ผู้สนับสนุน

สมาชิก

เข้าสู่ระบบ
คุณครูต้องรู้ไว้
รวมแบบฟอร์มต่างๆ

เว็บน่าสนใจ

เว็บไซต์ สพฐ.
กระทรวงศึกษาธิการ
เครื่องมือวิทยาศาสตร์
เครื่องมือวัด
เครื่องมืออุตสาหกรรม
เกมส์
แหล่งรวมเกมส์

แหล่งรวมเกมส์
สพป.มุกดาหาร



 เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ มากมาย
เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ คลายเครียด

เกมส์ รวมเกมส์ เกมส์แข่งรถ เกมส์ต่อสู้ เกมส์ภาษา เกมส์วางระเบิด เกมส์แต่งตัว เกมส์ท่องเที่ยว เกมส์หมากฮอส เกมส์ผจญภัย เกมส์เต้น เกมส์รถ เกมส์ดนตรี เกมส์ขายของ เกมส์ฝึกสมอง เกมส์เด็กๆ เกมส์ปลูกผัก เกมส์การ์ด เกมส์จับผิดภาพ เกมส์ตลก เกมส์ตัดผม เกมส์ก้านกล้วย เกมส์ทําอาหาร เกมส์เลี้ยงสัตว์ เกมส์ผี เกมส์จับคู่ เกมส์กีฬา เกมส์เศรษฐี เกมส์ฝึกทักษะ เกมส์วางแผน เกมส์จีบหนุ่ม เกมส์มาริโอ เกมส์ระบายสี เกมส์จีบสาว เกมส์เบ็นเท็น เกมส์ยิง เกมส์ยาน เกมส์สร้างเมือง เกมส์มันส์ๆ เกมส์แต่งบ้าน เกมส์ความรู้
      kroobannok.com

© 2000-2020 Kroobannok.com  
All rights reserved.


Design by : kroobannok.com


ครูบ้านนอกดอทคอม
การจัดอันดับของ Truehits Web Directory

วิธีนำแบนเนอร์ของครูบ้านนอก.คอมไปแปะในเว็บท่าน บันทึกภาพแบนเนอร์นี้และลิงค์มาที่เราครับ (มีแบนเนอร์ 2 แบบ)
 

ครูบ้านนอกดอทคอม เว็บไซต์ของครูตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ที่หวังเพียง ใช้เป็นช่องทางในการสื่อสาร แลกเปลี่ยน เพิ่มพูนความรู้ และให้ข่าวสาร ที่ทันสมัยต่อเหตุการณ์แก่คุณครู ผู้ปฏิบัติงานในทุกพื้นที่ของประเทศไทย เพื่อความเจริญงอกงามในปัญญา และเจริญก้าวหน้าในวิชาชีพ

เว็บนี้ถือกำเนิดเมื่อ 5 มกราคม 2548

Email : kornkham@hotmail.com
Tel : 096-7158383

สนใจสนับสนุนเรา โดยลงโฆษณา
คลิกดูรายละเอียดที่นี่ครับ