งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมทักษะการรำ นาฏศิลป์พื้นเมือง ระบำเวฬุเวลา โดยใช้ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีของซิมพ์ซัน สำหรับนักเรียนชมรมนาฏศิลป์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยหาประสิทธิภาพของรูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมทักษะการรำ นาฏศิลป์พื้นเมือง ระบำเวฬุเวลาตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อน หลังเรียน ทักษะการรำ และศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมทักษะการรำ นาฏศิลป์พื้นเมือง ระบำเวฬุเวลา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2558 โรงเรียนเทศบาล ๑ (สังขวิทย์) สังกัดสำนักการศึกษาเทศบาลนครตรัง จำนวน 35 คน การวิจัยครั้งนี้ใช้แบบกลุ่มเดียววัดก่อน และหลัง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ รูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมทักษะการรำ นาฏศิลป์พื้นเมือง ระบำเวฬุเวลา แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบประเมินวัดทักษะการรำ และแบบสอบถามความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาประสิทธิภาพของรูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมทักษะการรำ นาฏศิลป์พื้นเมือง ระบำเวฬุเวลา (E1/E2) ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t-test Dependentผลการวิจัยโดยสรุปมีดังนี้
1. รูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมทักษะการรำ นาฏศิลป์พื้นเมือง ระบำเวฬุเวลา โดยใช้ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีของซิมพ์ซัน สำหรับนักเรียนชมรมนาฏศิลป์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่พัฒนาขึ้นมีขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ 7 ขั้นตอน ได้แก่
ขั้นที่ 1 ขั้นการเรียนรู้ (Perception) เป็นขั้นการให้ผู้เรียนรับรู้ในสิ่งที่จะทำ โดยการให้ผู้เรียนสังเกตการทำงานนั้นอย่างตั้งใจ
ขั้นที่ 2 ขั้นการเตรียมความพร้อม (Readiness) เป็นขั้นการปรับตัวให้พร้อมเพื่อการทำงานหรือแสดงพฤติกรรมนั้น ทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ โดยการปรับตัวให้พร้อมที่จะทำการเคลื่อนไหวหรือแสดงทักษะนั้นๆ และมีจิตใจและสภาวะอารมณ์ที่ดีต่อการที่จะทำหรือแสดงทักษะนั้นๆ
ขั้นที่ 3 ขั้นการสนองตอบภายใต้การควบคุม (Guided Response) เป็นขั้นที่ให้โอกาสแก่ผู้เรียนในการตอบสนองสิ่งที่รับรู้ ซึ่งอาจใช้วิธีการให้ผู้เรียนเลียนแบบการกระทำ หรือการแสดงทักษะนั้น หรืออาจใช้ผู้เรียนลองผิดลองถูก (Trial and Error) จนกระทั่งสามารถตอบสนองได้อย่างถูกต้อง
ขั้นที่ 4 ขั้นการให้ลงมือกระทำจนกลายเป็นกลไกที่สามารถกระทำได้เอง (Mechanism) เป็นขั้นที่ช่วยให้ผู้เรียนประสบความสำเร็จในการปฏิบัติ และเกิดความเชื่อมั่นในการทำสิ่งนั้นๆ
ขั้นที่ 5 ขั้นการกระทำอย่างชำนาญ (Complex Over Response) เป็นขั้นที่ช่วยให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนการกระทำนั้นๆ จนผู้เรียนสามารถทำได้อย่างคล่องแคล่ว ชำนาญ เป็นไปโดยอัตโนมัติและด้วยความเชื่อมั่นในตนเอง
ขั้นที่ 6 ขั้นการปรับปรุงและประยุกต์ใช้ (Adaptation) เป็นขั้นที่ช่วยให้ผู้เรียนปรับปรุงทักษะหรือการปฏิบัติของตนให้ดียิ่งขึ้น และประยุกต์ใช้ทักษะที่ตนได้รับการพัฒนาในสถานการณ์ต่างๆ
ขั้นที่ 7 ขั้นการคิดริเริ่ม (Origination) เมื่อผู้เรียนสามารถปฏิบัติหรือกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างชำนาญ และสามารถประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ที่หลากหลายแล้ว ผู้ปฏิบัติจะเริ่มเกิดความคิดใหม่ๆ ในการกระทำหรือปรับการกระทำนั้นให้เป็นไปตามที่ตนต้องการ
2. รูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมทักษะการรำ นาฏศิลป์พื้นเมือง ระบำเวฬุเวลา โดยใช้ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีของซิมพ์ซัน สำหรับนักเรียนชมรมนาฏศิลป์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีประสิทธิภาพ E1/ E2 เท่ากับ 82.92/85.52 ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่ตั้งไว้
3. นักเรียนชมรมนาฏศิลป์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่เรียนด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมทักษะการรำ นาฏศิลป์พื้นเมือง ระบำเวฬุเวลา โดยใช้ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีของซิมพ์ซัน สำหรับนักเรียนชมรมนาฏศิลป์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
4. นักเรียนชมรมนาฏศิลป์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่เรียนด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมทักษะการรำ นาฏศิลป์พื้นเมือง ระบำเวฬุเวลา โดยใช้ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีของซิมพ์ซัน สำหรับนักเรียนชมรมนาฏศิลป์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีคะแนนทักษะการรำนาฏศิลป์พื้นเมือง ระบำเวฬุเวลา หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
5. นักเรียนชมรมนาฏศิลป์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่เรียนด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมทักษะการรำ นาฏศิลป์พื้นเมือง ระบำเวฬุเวลา โดยใช้ขั้นตอนการจัด การเรียนรู้ตามทฤษฎีของซิมพ์ซัน สำหรับนักเรียนชมรมนาฏศิลป์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีความพึงพอใจโดยรวมอยู่ในระดับมาก