การเรียนรู้แบบโครงงานเป็นกระบวนการแสวงหาความรู้ หรือการค้นคว้าหาคำตอบในสิ่งที่ผู้เรียนอยากรู้หรือสงสัยด้วยวิธีการต่างๆ เป็นวิธีการเรียนรู้ที่ผู้เรียนได้เลือกศึกษาตามความสนใจของตนเองหรือของกลุ่ม เป็นการตัดสินใจร่วมกัน จนได้ชิ้นงานที่สามารถนำผลการศึกษาไปใช้ได้ในชีวิตจริง
การเรียนรู้แบบโครงงาน เป็นการเรียนรู้ที่ใช้เทคนิคหลากหลายรูปแบบนำมาผสมผสานกัน ได้แก่ กระบวนการกลุ่ม การฝึกคิด การแก้ปัญหา การเน้นกระบวนการ การสอนแบบปริศนาความคิด และการสอนแบบร่วมกันคิด ทั้งนี้มุ่งหวังให้ผู้เรียนเรียนรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่งจากความสนใจอยากรู้อยากเรียนของผู้เรียนเอง โดยใช้กระบวนการและวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ผู้เรียนจะเป็นผู้ลงมือปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ เพื่อค้นหาคำตอบด้วยตนเอง เป็นการเรียนรู้ที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรงกับแหล่งความรู้เบื้องต้น ผู้เรียนสามารถสรุปความรู้ได้ด้วยตนเอง ซึ่งความรู้ที่ผู้เรียนได้มาไม่จำเป็นต้องตรงกับตำรา แต่ผู้สอนจะสนับสนุนให้ผู้เรียนศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมจากแหล่งการเรียนรู้และปรับปรุงความรู้ที่ได้ให้สมบูรณ์
และยังเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญในทุกขั้นตอนของการเรียนรู้ ตั้งแต่การวางแผนการเรียนรู้ การออกแบบการเรียนรู้ การสร้างสรรค์ประยุกต์ใช้ผลผลิต และการประเมินผลงาน โดยผู้สอนมีบทบาทเป็นผู้จัดการเรียนรู้
ตัวอย่าง
แนวทางการเขียนรายงานโครงงานตามรูปแบบวัฏจักรวิจัย 2 รอบ
ชื่อโครงงาน
..........
ผู้จัดทำโครงงาน นักเรียนชั้นอนุบาลปีที่
.. โรงเรียน
....
ครูที่ปรึกษา
.......
ระยะเวลาในการจัดทำ
ที่มาของโครงงาน
.
( ได้
ที่มาของภาพรวมของคำถามจากเหตุการณ์หรือสถานการณ์ที่จัดขึ้น ที่จะนำมาจัดทำโครงงานตามรูปแบบวัฏจักรวิจัย ซึ่งมีหลายๆคำถามที่เด็กอยากรู้ )
ขั้นที่ 1 ตั้งคำถามที่อยากรู้ ( ลักษณะคำถาม ต้องสามารถสำรวจตรวจสอบได้เหมาะกับวัยของเด็กและเป็นสิ่งที่เด็กเข้าใจได้ อยู่บนพื้นฐานความรู้เดิมของเด็ก )
.
( เป็นขั้นสรุปทบทวนจากที่มาโครงงาน เพื่อให้เห็นที่มาและการเลือกคำถาม 1 คำถามของเด็กที่จะนำมาทำการสำรวจตรวจสอบรอบที่ 1 )
จุดประสงค์
.ขั้นที่ 2 รวบรวมความคิดและคาดคะเนคำตอบ ( ศึกษาความรู้พื้นฐานเดิม /ประสบการณ์เดิมของเด็ก และคาดคะเนคำตอบ )
.
ขั้นที่ 3 ดำเนินการสำรวจตรวจสอบ ( วางแผนขั้นตอนการสำรวจตรวจสอบ ออกแบบแบบบันทึกผล กำหนดวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ ดำเนินการสำรวจตรวจสอบ/ทดลอง/หาคำตอบ )
.
ขั้นที่ 4 สังเกตและการบรรยาย ( เด็กสังเกตสิ่งที่ทดลอง / หาคำตอบ พูด/เล่า/บรรยาย สิ่งที่เกิดขึ้น / สิ่งที่เปลี่ยนแปลงจากการสำรวจตรวจสอบ )
.
ขั้นที่ 5 บันทึกผล ( เด็กบันทึกผลการทดลอง/สำรวจตรวจสอบ )
.
ขั้นที่ 6 สรุปและอภิปรายผล ( เด็กสรุปผลการทดลอง/การสำรวจตรวจสอบ )
.
ผลการพัฒนาความสามารถของเด็กปฐมวัย
1. ผลการพัฒนาความสามารถพื้นฐาน 4 ด้าน
1.1 ด้านการเรียนรู้
.
1.2 ด้านภาษา
.
1.3 ด้านสังคม
.
1.4 ด้านการเคลื่อนไหว
.
2. ผลการพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
2.1 ทักษะการสังเกต
.
2.2 ทักษะการวัด
.
2.3 ทักษะการจำแนกประเภท
.
2.4 ทักษะการคำนวณ
.
2.5 ทักษะการพยากรณ์หรือการคาดคะเนคำตอบ
.
2.6 ทักษะการหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปส และสเปสกับเวลา
.
2.7 ทักษะการจัดกระทำและสื่อความหมายข้อมูล
.
2.8 ทักษะการลงความคิดเห็นจากข้อมูล
.
ขั้นที่ 1 ตั้งคำถามที่อยากรู้ ( ลักษณะคำถาม ต้องสามารถสำรวจตรวจสอบได้เหมาะกับวัยของเด็กและเป็นสิ่งที่เด็กเข้าใจได้ อยู่บนพื้นฐานความรู้เดิมของเด็ก )
.
( เป็นการเชื่อมโยงจากขั้นตอนที่ 6 สรุปและอภิปรายผลจากวัฏจักรวิจัยรอบที่ 1 ที่เด็กอยากรู้เพิ่มเติมต่อเนื่องจากวัฏจักรรอบที่ 1 หรือถ้าไม่มีคำถามต่อเนื่อง อาจเป็นคำถามที่เกิดขึ้นจากที่มาของโครงงานที่มีหลายคำถาม แล้วให้เด็กเลือกคำถามมาอีก 1 คำถาม )
จุดประสงค์
.ขั้นที่ 2 รวบรวมความคิดและคาดคะเนคำตอบ ( ศึกษาความรู้พื้นฐานเดิม /ประสบการณ์เดิมของเด็ก และคาดคะเนคำตอบ )
.
ขั้นที่ 3 ดำเนินการสำรวจตรวจสอบ ( วางแผนขั้นตอนการสำรวจตรวจสอบ ออกแบบแบบบันทึกผล กำหนดวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ ดำเนินการสำรวจตรวจสอบ/ทดลอง/หาคำตอบ )
.
ขั้นที่ 4 สังเกตและการบรรยาย ( เด็กสังเกตสิ่งที่ทดลอง / หาคำตอบ พูด/เล่า/บรรยาย สิ่งที่เกิดขึ้น / สิ่งที่เปลี่ยนแปลงจากการสำรวจตรวจสอบ )
.
ขั้นที่ 5 บันทึกผล ( เด็กบันทึกผลการทดลอง/สำรวจตรวจสอบ )
.
ขั้นที่ 6 สรุปและอภิปรายผล ( เด็กสรุปผลการทดลอง/การสำรวจตรวจสอบ )
.
ผลการพัฒนาความสามารถของเด็กปฐมวัย
1. ผลการพัฒนาความสามารถพื้นฐาน 4 ด้าน
1.1 ด้านการเรียนรู้
.
1.2 ด้านภาษา
.
1.3 ด้านสังคม
.
1.4 ด้านการเคลื่อนไหว
.
2. ผลการพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
2.1 ทักษะการสังเกต
.
2.2 ทักษะการวัด
.
2.3 ทักษะการจำแนกประเภท
.
2.4 ทักษะการคำนวณ
.
2.5 ทักษะการพยากรณ์หรือการคาดคะเนคำตอบ
.
2.6 ทักษะการหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปส และสเปสกับเวลา
.
2.7 ทักษะการจัดกระทำและสื่อความหมายข้อมูล
.
2.8 ทักษะการลงความคิดเห็นจากข้อมูล
.
โครงงาน ความลับของพืชผัก
โครงงาน ความลับของพืชผัก เป็นโครงงานที่เด็กสนใจอยากรู้ว่าพืชผักชนิดต่างๆเกิดขึ้นได้อย่างไร จึงได้ไปสอบถามพ่อแม่ ผู้ปกครอง นำเมล็ดมาจากบ้าน และสืบค้นข้อมูลจากหนังสือในห้องสมุดโดยแบ่งเด็กออกเป็น 3 กลุ่ม แต่ละกลุ่มเลือกผักที่ตนเองรู้จักและสนใจมา 2 ชนิดแล้วคาดคะเนว่าพืชผักทั้ง 2 ชนิดใช้ส่วนใดในการเพาะปลูก เด็กหาคำตอบได้จากการไปสอบถามผู้ปกครอง จากหนังสือในห้องสมุดและทางอินเตอร์เน็ต ผลจากการสืบค้นข้อมูลได้เรียนรู้ว่าพืชผักต่างๆเกิดขึ้นได้โดยนำเมล็ดไปเพาะปลูก และใช้ส่วนอื่นๆของลำต้นไปขยายพันธุ์พืช เด็กสังเกตเมล็ดพืชแต่ละชนิดมีส่วนแตกต่างกัน เด็กอยากรู้อีกว่าพืชที่ปลูกในที่มีแสงแดดกับในที่ร่มจะเจริญเติบโตอย่างไร จึงได้ทดลองนำเอาเมล็ดถั่วฝักยาวและข้าวโพดมาปลูกในที่มีแสงแดดและปลูกในที่ร่ม สังเกตการเจริญเติบโตของพืชทั้งสองแห่งเป็นเวลา 14 วัน ปรากฏว่าพืชที่ปลูกในที่มีแสงแดดเจริญเติบโตเร็วกว่าพืชที่ปลูกในร่ม เด็กๆยังอยากรู้ต่ออีกว่าถ้าปลูกในที่ไม่มีแสงแดดจะเจริญเติบโตหรือไม่ จึงได้ทำการทดลองปลูกถั่วฝักยาวในที่มีแสงแดดและไม่มีแสงแดดโดยใช้กล่องกระดาษคลุมไว้ไม่ให้แสงแดดส่องได้ในเวลา 7 วัน พบว่าต้นถั่วฝักยาวที่ปลูกในที่ไม่มีแสงแดดงอกออกมาได้แต่ลักษณะลำต้นไม่แข็งแรงต้นเรียวยาว ใบมีขนาดเล็กสีเขียวอมเหลือง เพราะไม่ได้รับการสังเคราะห์แสงจากดวงอาทิตย์
โครงงานความลับของพืชผัก ได้บูรณาการเข้ากับวิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี คือ ด้านวิชาวิทยาศาสตร์-เด็กได้ปฏิบัติกิจกรรมการทดลองปลุกผักเองโดยสังเกต เปรียบเทียบการเจริญเติบโตของพืช ด้านคณิตศาสตร์-เด็กได้เรียนรู้การนับเลขจากการนับเมล็ดให้เท่าๆกันเพื่อนำไปปลูกและการวัดความสูงของต้นพืชด้วยไม้บรรทัดแล้วนำมาบันทึกผลการเจริญเติบโตตามขั้นตอนที่เด็กๆได้วางแผนไว้ ด้านเทคโนโลยี-เด็กได้มีการสืบค้นข้อมูลจากทางอินเตอร์เน็ต และจากสื่อสิ่งพิมพ์ต่างในห้องสมุดโดยมีครูคอยแนะนำและช่วยเหลือ
แผนการดำเนินงาน / ระยะเวลาในการดำเนินงาน
ดำเนินการจัดกิจกรรมในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2558 กับเด็กชั้นอนุบาลปีที่ 1 , 2 ช่วงกิจกรรมเสริมประสบการณ์ , เวลาว่างจากการรับประทานอาหารกลางวัน
การเผยแพร่ผลงาน
- www.โครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย
- ครูในโรงเรียนโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อยประเทศไทย สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต 4
ผลการปฏิบัติงาน
ผลที่เกิดกับเด็ก
1. เด็กมีทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ ภาษา
เรียนรู้จากการกระทำ ( Learning by Doing ) ที่ยึดเด็กเป็นศูนย์กลางจากการทำจริงในสถานการณ์จริง
คิดเป็นร้อยละ 95
2. เด็กมีความกล้าแสดงออก มีพัฒนาการทางด้านร่างกาย อารมณ์-จิตใจ สังคมและสติปัญญา คิดเป็นร้อยละ 100
3. เด็กมีจิตวิทยาศาสตร์ รักและตระหนักในคุณค่าของสิ่งแวดล้อมใช้ชีวิตอย่างพอเพียง คิดเป็นร้อยละ 95
4. เด็กได้รับเกียรติบัตรในการจัดกิจกรรมสัปดาห์วิทยาศาสตร์ 2015 เรื่อง ท่องโลกแห่งกาลเวลา TIME คิดเป็นร้อยละ 100
ผลที่เกิดขึ้นกับครู
1. คณะครูมีความรู้ความสามารถการจัดกิจกรรมที่เน้นการจัดการเรียนรู้แบบ STEM
2. ครูร่วมนำเสนอผลงานและผ่านเกณฑ์การประเมินในระดับดีเยี่ยม
ผลที่เกิดขึ้นกับโรงเรียน
โรงเรียนจัดกิจกรรมการสอนแบบ STEM Education มาใช้ให้สอดคล้องกับนโยบายการจัดการศึกษาของชาติรองรับการพัฒนาทุกด้านในอนาคต
ผลที่เกิดขึ้นกับชุมชน
1. ชุมชนมีความภาคภูมิใจในตัวเด็ก ครู ผู้บริหารโรงเรียน
2. ชุมชนและผู้ปกครองมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมการจัดการเรียนการสอน แหล่งเรียนรู้ในชุมชน
ปัจจัยที่ทำให้วิธีการประสบผลสำเร็จ
1. กิจกรรมบรรลุตามวัตถุประสงค์และเป็นกิจกรรมที่ครูต้องวัดเพราะเป็นโครงการต่อเนื่องของโรงเรียน
2. ผู้บริหารโรงเรียนให้การสนับสนุนครูเข้าร่วมการอบรมและจัดกิจกรรมอย่างหลากหลายสนองความต้องการของเด็ก
3. ขอความร่วมมือคณะครูในโรงเรียน เช่น ครูวิทยาศาสตร์ ครูผู้สอนการงานอาชีพในการจัดกิจกรรมการสอนวิทยาศาสตร์ การทำโครงงาน
4. ผู้ปกครอง ชุมชน มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น ร่วมกิจกรรมและประเมินผล
5. เด็กปฐมวัยทุกคนร่วมกิจกรรมด้วยความสนุกสนานเรียนรู้อย่างมีความสุข
บทเรียนที่ได้รับ
การจัดกิจกรรมที่สอดคล้องกับมาตรฐานด้านคุณภาพผู้เรียน มาตรฐานที่ 1 -4 และเป็นกิจกรรมที่ปฏิบัติต่อเนื่องตรวจความต้องการของเด็ก ทำให้เด็กสนใจเข้าร่วมกิจกรรม เรียนรู้อย่างมีความสุข การมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายทั้งคณะครู ผู้ปกครอง ชุมชน และเครือข่ายท้องถิ่น ส่งผลให้การดำเนินกิจกรรมบรรลุผลตามวัตถุประสงค์ คิดเป็นร้อยละ 100