รายงานผลการพัฒนาแบบฝึกทักษะ เรื่อง สมการและการแก้สมการ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อหาประสิทธิภาพ
ของแบบฝึกทักษะ เรื่อง สมการและการแก้สมการ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยแบบฝึกทักษะ
เรื่อง สมการและการแก้สมการ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6โรงเรียนวัดอัมพวัน
3) เพื่อหาค่าดัชนีประสิทธิผลของแบบฝึกทักษะ เรื่อง สมการและการแก้สมการ ของนักเรียน
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวัดอัมพวัน 4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้ด้วยแบบฝึกทักษะ เรื่อง สมการและการแก้สมการ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6โรงเรียนวัดอัมพวัน ประชากรที่ใช้ในการศึกษา คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวัดอัมพวัน สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตรัง เขต 1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2558 จำนวน 20 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาได้แก่ 1) แบบฝึกทักษะ เรื่อง สมการและการแก้สมการ จำนวน 4 ชุด 2) แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 16แผน 16 ชั่วโมง3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแบบปรนัย 4 ตัวเลือก 30 ข้อ4) แบบประเมินความพึงพอใจที่มีต่อการเรียนรู้ด้วยแบบฝึกทักษะ เรื่อง สมการและการแก้สมการ จำนวน 10 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ยค่าร้อยละ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานค่าดัชนีประสิทธิผล และการทดสอบค่าที (t-test Dependent samples)
ผลการศึกษาพบว่า
1. แบบฝึกทักษะ เรื่อง สมการและการแก้สมการ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 77.17/76.44 เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน 75/75
2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังเรียนด้วยแบบฝึกทักษะ เรื่อง สมการและ
การแก้สมการ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
โรงเรียนวัดอัมพวันสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05
3. ค่าดัชนีประสิทธิผลของแบบฝึกทักษะ เรื่อง สมการและการแก้สมการ กลุ่มสาระ
การเรียนรู้คณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวัดอัมพวัน มีค่าเท่ากับ0.6022 คิดเป็นร้อยละ 60.22
4. ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง สมการ
และการแก้สมการ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
โรงเรียนวัดอัมพวันโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย 4.68