หนังสือส่งเสริมการอ่าน เป็นนวัตกรรมทางการศึกษารูปแบบหนึ่งที่จัดกิจกรรมให้นักเรียน ได้ศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองตามความสามารถของแต่ละบุคคล โดยที่นักเรียนไม่ต้องเสียเวลารอเพื่อน คนอื่นๆ ช่วยให้การเรียนเป็นอิสระและมีส่วนร่วมในการเรียนการสอนมากขึ้น โดยผู้สอนเป็นผู้สร้างโอกาสทางการเรียน การสอน มีกิจกรรมสำหรับผู้เรียนเป็นรายบุคคลหรือรายกลุ่มซึ่งผู้เรียนจะดำเนินการเรียนจากคำแนะนำที่ปรากฏอยู่ในหนังสือส่งเสริมการอ่าน การศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อสร้างหนังสือส่งเสริมการอ่าน เรื่อง หลักธรรมในชีวิตประจำวัน 2) เพื่อหาประสิทธิภาพของหนังสือส่งเสริมการอ่านเรื่อง หลักธรรมในชีวิตประจำวัน ที่สร้างขึ้นตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 3) เพื่อหาประสิทธิผลของหนังสือส่งเสริมการอ่าน เรื่อง หลักธรรมในชีวิตประจำวัน 4) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้หนังสือส่งเสริมการอ่าน เรื่อง หลักธรรมในชีวิตประจำวัน 5) เพื่อประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนโดยใช้หนังสือส่งเสริม การอ่าน เรื่องหลักธรรมในชีวิตประจำวันสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2558 โรงเรียนเทศบาลวัดเสมาเมือง เทศบาลนครนครศรีธรรมราช สังกัดกรมการปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวนนักเรียน 40 คน ซึ่งได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling)
เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า ประกอบด้วย 1) หนังสือส่งเสริมการอ่าน เรื่อง หลักธรรมในชีวิตประจำวัน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 9 เล่ม 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำนวน 30 ข้อ 3) แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนโดยใช้หนังสือส่งเสริมการอ่าน เรื่อง หลักธรรมในชีวิตประจำวัน กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 10 ข้อ 4) แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง หลักธรรม ในชีวิตประจำวัน กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 18 แผน 5) คู่มือการใช้หนังสือส่งเสริมการอ่าน จำนวน 9 เล่ม กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3
การศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ ดำเนินการทดลองโดยใช้แบบแผนการทดลองแบบกลุ่มเดียวสอบก่อนและสอบหลัง (One group pretest posttest design) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างคะแนนสอบก่อนเรียนกับหลังเรียนโดยใช้สถิติการทดสอบ t test แบบ Dependent
ผลการศึกษาค้นคว้า พบว่า
1. หนังสือส่งเสริมการอ่าน เรื่อง หลักธรรมนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยรวมมีประสิทธิภาพ 81.33/82.33 ถ้าพิจารณาเป็นรายเล่ม ตั้งแต่ เล่ม 1-9 มีประสิทธิภาพดังนี้ 81.25/82.00, 80.50/82.50, 81.25/81.50, 81.75/82.00, 82.00/83.50, 81.50/82.50, 81.00/82.50, 80.75/81.50 และ 82.00/83.00 ตามลำดับ ซึ่งทั้งหมดมีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด 80/80
2. หนังสือส่งเสริมการอ่าน เรื่อง หลักธรรมนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยรวมมีประสิทธิผล 0.74 ถ้าพิจารณา เป็นรายเล่มตั้งแต่เล่ม 1-9 มีประสิทธิผลดังนี้ 0.73, 0.74, 0.72, 0.74, 0.76, 0.74, 0.73, 0.72 และ 0.76 ตามลำดับ ซึ่งทั้งหมดมีประสิทธิผลสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด 0.50 ขึ้นไป
3. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนด้วยหนังสือส่งเสริมการอ่าน เรื่อง หลักธรรมในชีวิตประจำวัน กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
4. ผลการประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อหนังสือส่งเสริมการอ่าน เรื่อง หลักธรรมในชีวิตประจำวัน กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 พบว่านักเรียนมีความพึงพอใจต่อหนังสือส่งเสรมการอ่านโดยรวมอยู่ในระดับ มาก มีค่าเฉลี่ย 2.66 และเมื่อพิจารณาเป็นรายเล่ม ตั้งแต่เล่ม 1-9 นักเรียนมีความพึงพอใจอยู่ในระดับ มาก ทั้งหมด โดยมีค่าเฉลี่ย 2.68, 2.73, 2.60, 2.68, 2.64, 2.58, 2.71, 2.62 และ 2.72 ตามลำดับ ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย 2.50 ขึ้นไป (จากคะแนนเต็ม 3)
ผู้วิจัย นางสาวอรัญญา เวชพิช โรงเรียนเทศบาลวัดเสมาเมือง
ปีการศึกษา 2558