ชื่อเรื่อง การพัฒนารูปแบบการสอนวิทยาศาสตร์ เพื่อส่งเสริมทักษะกระบวนการทาง
วิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
ชื่อผู้ศึกษา รักก้าว พลเสนา
โรงเรียนพระยืนวิทยาคาร อำเภอพระยืน จังหวัดขอนแก่น
ปีที่ศึกษา ปีการศึกษา 2558
บทคัดย่อ
การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ มีความจำเป็นที่จะต้องจัดให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติการทดลองและค้นพบด้วยตนเองให้มากที่สุด ซึ่งวิธีที่จะทำให้ผู้เรียนสามารถค้นหาความรู้ด้วยตนเองคือ การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับรูปแบบ POE ที่ให้ผู้เรียนได้ค้นคว้าหาคำตอบด้วยตนเองว่าก่อนลงมือทำกิจกรรม ให้ผู้เรียนทำนายว่าจะเกิดอะไรขึ้น พร้อมทั้งให้เหตุผลประกอบ ส่วนกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ ครูผู้สอนจะกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดคำถาม เกิดความคิดและลงมือเสาะแสวงหาความรู้โดยการทดลอง และสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นโดยละเอียด แล้วบันทึกผลการสังเกต จากนั้นให้ผู้เรียนอธิบายความแตกต่างระหว่างสิ่งที่ทำนายไว้และสิ่งที่เกิดขึ้นจริงพร้อมทั้งให้เหตุผล แล้วนำความรู้มาประมวลหาคำตอบหรือลงข้อสรุปด้วยตนเอง ดังนั้นการศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์คือ1) เพื่อพัฒนาและหาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับรูปแบบ POE เรื่อง สารละลาย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ตามเกณฑ์ 80/80 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียนด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับรูปแบบ POE เรื่อง สารละลาย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 3) เพื่อเปรียบเทียบทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ก่อนและหลังเรียนด้วยแผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับรูปแบบ POE เรื่อง สารละลาย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 4) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้ด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับรูปแบบ POE เรื่อง สารละลาย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 5) เพื่อศึกษาผลการใช้แผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับรูปแบบ POE เรื่อง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2558 โรงเรียนพระยืนวิทยาคาร อำเภอพระยืน จังหวัดขอนแก่น จำนวน 28 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster random sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับรูปแบบ POE เรื่อง สารละลาย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 10 แผน 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือกจำนวน 40 ข้อ ที่มีค่าอำนาจจำแนก (B) ตั้งแต่ 0.25 0.88 ค่าความเชื่อมั่น (rcc) 0.881 3) แบบทดสอบวัดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือกจำนวน 30 ข้อที่มีค่าอำนาจจำแนก (B) ตั้งแต่ 0.25 0.88 ค่าความเชื่อมั่น (rcc) 0.820 4) แบบประเมินความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยแผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับรูปแบบ POE เรื่อง สารละลาย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ร้อยละ(%) ค่าเฉลี่ย ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการทดสอบสมมติฐานใช้สถิติ t (t test Dependent Samples)
ผลการศึกษาปรากฏผลดังนี้
1. แผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับรูปแบบ POE เรื่องสารละลาย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 81.91/80.36
2. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนด้วยแผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับรูปแบบ POE เรื่องสารละลาย มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
3. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1ที่เรียนด้วยแผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหา
ความรู้ร่วมกับรูปแบบ POE เรื่องสารละลาย มีทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
4. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีความพึงพอใจต่อการเรียนด้วยแผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับรูปแบบ POE เรื่อง สารละลาย อยู่ในระดับมาก โดยมีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 4.32 และมีค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.65
5. ผลการใช้แผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับรูปแบบ POE เรื่อง สารละลาย สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ทั้ง 10 แผน พบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์สูงกว่าก่อนเรียน มีทักษะในการทดลอง การตั้งปัญหา การตั้งสมมติฐานการกำหนดและควบคุมตัวแปร การจัดกระทำข้อมูล การบันทึกผลการทดลองและการสรุปผลการทดลอง โดยได้ลงมือปฏิบัติการทดลองวางแผนการทดลอง สรุปผลและอภิปรายผลด้วยตนเอง มีการทำงานเป็นกลุ่ม สามารถแสวงหาความรู้ได้ด้วยตนเอง มีความสนใจใฝ่รู้มากขึ้น
โดยสรุปแผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับรูปแบบ POE เรื่องสารละลาย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่สร้างและพัฒนาขึ้น มีประสิทธิภาพเหมาะสม นำไปใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้กับนักเรียนได้อย่างมีคุณภาพเนื่องจากรูปแบบ POE เหมาะที่จะนำมาพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ส่งผลให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์สูงขึ้น