ชื่อเรื่อง รายงานการพัฒนาแบบฝึกทักษะกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์
เรื่อง พื้นที่ผิวและปริมาตร ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
ที่ปรึกษา นายวิชชา แก้วเชื้อ
ผู้ศึกษา นายคงเดช นาใต้
วิทยฐานะที่ขอ วิทยฐานะครูชำนาญการพิเศษ
โรงเรียน สุวรรณคูหาพิทยาสรรค์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา
เขต 19
สังกัด สำนักงานคระกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ปีที่พิมพ์ 2559
บทคัดย่อ
รายงานการพัฒนาแบบฝึกทักษะกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง พื้นที่ผิวและปริมาตร ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีวัตถุประสงค์ของการศึกษา 1) เพื่อพัฒนาแบบฝึกเสริมทักษะกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่องพื้นที่ผิวและปริมาตรชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 75/75 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ก่อนเรียนและหลังเรียนที่เรียนด้วยแบบฝึกเสริมทักษะเรื่องพื้นที่ผิวและปริมาตร 3) เพื่อหาค่าดัชนีประสิทธิผลของแบบฝึกเสริมทักษะกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่องพื้นที่ผิวและปริมาตร ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/1 โรงเรียนสุวรรณคูหาพิทยาสรรค์ อำเภอสุวรรณคูหา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 19 ที่กำลังเรียนในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2558 จำนวน 35 คน ได้มาจากการสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เฉพาะนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/1 ที่เรียนกลุ่มสาระคณิตศาสตร์กับผู้ศึกษา ตลอดปีการศึกษา 2558 เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง พื้นที่ผิวและปริมาตร ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 10 แผน มีค่าความเหมาะสมเท่ากับ 4.40 2) แบบฝึกเสริมทักษะกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง พื้นที่ผิวและปริมาตร ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 10 เล่ม มีค่าความเหมาะสมเท่ากับ 4.33 3) แบบทดสอบย่อยหลังเรียน เรื่อง พื้นที่ผิวและปริมาตร ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 10 ชุด ๆ ละ 10 ข้อ รวม 100 ข้อ มีค่าอำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง .22-.88 ค่าความยากง่ายอยู่ระหว่าง .21-.91 และค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ .94 4) แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ เรื่องพื้นที่ผิวและปริมาตร ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ มีค่าอำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง .23-.80 ค่าความยากง่ายอยู่ระหว่าง .24-079 และค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ .96 การเก็บรวบรวมข้อมูล โดยการทดสอบนักเรียนก่อนเรียน (Pre-test) ทำแบบฝึกทักษะทดสอบย่อยนักเรียนหลังเรียน และทดสอบหลังเรียน (Post-test) การวิเคราะห์ข้อมูล ใช้ E1/ E2วิเคราะห์ค่าประสิทธิภาพของแบบฝึกเสริมทักษะที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 75/75 ใช้ t test วิเคราะห์สมมติฐานการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การเรียนก่อนและหลังเรียน ใช้ E.I. วิเคราะห์ค่าดัชนีประสิทธิผลของแบบฝึกทักษะ ใช้ IOC วิเคราะห์ค่า ความสอดคล้องของแบบทดสอบใช้สถิติวิเคราะห์ค่าอำนาจจำแนก (B) ค่าความยากง่าย (p) และใช้ สถิติหา ค่าความเชื่อมั่นของเครื่องมือทั้งฉบับ (rc c ) และใช้สถิติพื้นฐานวิเคราะห์หาค่าเฉลี่ย x̄ ค่าร้อยละ (P) และค่า S.D.
ผลการศึกษาพบว่า
1. ประสิทธิภาพของ แบบฝึกเสริมทักษะ เรื่อง พื้นที่ผิวและปริมาตร มีค่าเท่ากับ 76.68/75.14 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้
2. เปรียบเทียบระหว่างคะแนนก่อนและหลังเรียน พบว่า คะแนนทดสอบหลังเรียนของนักเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
3. ดัชนีประสิทธิผลของแบบฝึกเสริมทักษะ เรื่อง พื้นที่ผิวและปริมาตร เท่ากับ 0.5921 หมายความว่า แบบฝึกเสริมทักษะชุดนี้ทำให้ผลการเรียนของกลุ่มตัววอย่างเพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 59.21
โดยสรุป การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนด้วยแบบฝึกเสริมทักษะ ครูต้องเอาใจใส่ กำกับ ดูแล ซ่อมเสริมนักเรียนเรียนอ่อนและเรียนช้า ส่งเสริมนักเรียนที่เรียนเก่ง ให้คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล ยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติและได้ฝึกบ่อย ๆ สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งคือ คณิตศาสตร์เป็นเรื่องของทักษะหากผู้เรียนได้มีโอกาสฝึกเป็นประจำ จะเป็นการพัฒนาความสามารถการเรียนรู้ของผู้เรียนได้ดีที่สุด