บทสรุปสำหรับผู้บริหาร
1.ชื่อโครงการวิจัย
1.1 ชื่อเรื่อง การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนร่วมกับชุดฝึกทักษะ เพื่อส่งเสริมทักษะ
การแก้ปัญหาและความสามารถในการเชื่อมโยงทางคณิตศาสตร์ เรื่อง ระบบสมการเชิงเส้น
รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน รหัสวิชา ค 23101 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
1.2 ชื่อผู้วิจัย นางสาวรชตต์ธณพร เอกภัทร์ชัยวงษ์ ตำแหน่งครู วิทยฐานะครูชำนาญการพิเศษ
โรงเรียนเทศบาลวัดสระทอง สำนักการศึกษา เทศบาลเมืองร้อยเอ็ด
กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย
1.3 ระยะเวลาการทำวิจัย ปีการศึกษา 2557
2. ความสำคัญและที่มาของปัญหาการวิจัย
การจัดการศึกษาเป็นกระบวนการเรียนรู้ เพื่อความเจริญงอกงามของบุคคลและสังคม
ตามวัตถุประสงค์ของแผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติ ฉบับที่ 9 (พ.ศ. 2545-2559) ข้อ 1 ระบุไว้ว่า
จะต้องพัฒนาคนอย่างรอบด้านและสมดุล เพื่อเป็นฐานหลักของการพัฒนา ซึ่งมีแนวนโยบาย
เพื่อดำเนินการ คือ การปฏิรูปการเรียนรู้เพื่อการพัฒนาผู้เรียนตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ
โดยมีเป้าหมายให้ผู้เรียนเป็นคนเก่งที่พัฒนาตนเองได้อย่างเต็มศักยภาพ เป็นคนดีและมีความสุข
ตลอดจนส่งเสริมให้ครูทุกคนได้รับการพัฒนาความรู้ ความสามารถในการจัดการกระบวนการเรียนรู้ ที่เน้นผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด เพราะการศึกษาเป็นกระบวนการที่จะช่วยให้คนได้พัฒนาตนเอง
ในด้านต่าง ๆ ตลอดจนพัฒนาศักยภาพและขีดความสามารถด้านต่างๆ ที่จะดำรงชีวิตและประกอบอาชีพได้อย่างมีความสุข รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง และเป็นพลังสร้างสรรค์การพัฒนาประเทศ อย่างยั่งยืนได้ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 หมวด 1 บททั่วไป ความมุ่งหมายและหลักการ มาตรา 6 ที่ระบุไว้ว่า การจัดการศึกษาต้องเป็นไปเพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจสติปัญญา ความรู้และคุณธรรม
มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการดำรงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข นอกจากนี้หมวด 4 แนวการจัดการศึกษา มาตรา 22 ระบุไว้ว่า การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่า ผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มศักยภาพ (สำนักงานคณะกรรมการศึกษาแห่งชาติ. 2549 : 12-13)
สังคมโลกในยุคปัจจุบันนับเป็นช่วงเวลาที่ประเทศในภูมิภาคต่าง ๆ มีความสัมพันธ์กัน
อย่างใกล้ชิดทั้งด้านการศึกษา เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ทำให้นักการศึกษามีความคิดเห็น
ไปในทิศทางเดียวกันว่า การศึกษาจะต้องมีการปฏิวัติแค่ปฏิรูปคงไม่พอ เพราะระบบทุนนิยม
และเทคโนโลยีใหม่ ๆ ได้เปลี่ยนโลกปัจจุบันไปมาก ซึ่งเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นอย่างมากมายในยุคดิจิตอลและการใช้งานอินเทอร์เน็ตที่ผ่านมาทำให้คนรุ่นใหม่และคนรุ่นเก่ามีช่องว่าง มีวัฒนธรรมความคิด
และการดำรงชีพต่างกัน ต้องยอมรับว่าคนรุ่นใหม่สามารถปรับตัวและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีใน
ยุคดิจิตอลได้ดีกว่า และก็ต้องยอมรับว่าปัจจุบันมนุษย์จะดำรงอยู่ในสังคมได้จะต้องมีความสามารถหลากหลาย จะมีความสามารถและทักษะเพียงชนิดเดียวเหมือนสมัยเดิมคงจะไม่พอ ดังนั้นครู
และอาจารย์จะต้องสอนให้นักเรียนและนักศึกษาสามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของโลก
และเป็นไปตามความต้องการเฉพาะให้เดินทางไปอย่างถูกต้องเหมาะสมจนไปถึงปลายทางได้
ครูและอาจารย์ยุคใหม่จึงควรมีความสามารถหลากหลายเป็นพิเศษและสามารถนำเทคโนโลยีมาดัดแปลง
สอนให้นักเรียนและนักศึกษาจนบรรลุความฝันด้วยความคิดปฏิวัติให้เกิดระบบการศึกษายุคใหม่ขึ้นมา (บุญมาก ศิริเนาวกุล. 2554 : 1-2)
จากประสบการณ์การสอนวิชาคณิตศาสตร์ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 พบว่า
เรื่อง ระบบสมการเชิงเส้น เป็นเนื้อหาหนึ่งที่เป็นปัญหากับนักเรียนมากที่สุด นักเรียนส่วนใหญ่ไม่สามารถแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับระบบสมการเชิงเส้นได้ถูกต้อง ซึ่งความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง ระบบสมการเชิงเส้น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ถือเป็นทักษะและกระบวนการหนึ่งที่นักเรียนต้องได้รับการเรียนรู้ แต่เมื่อนักเรียนเผชิญปัญหาที่มีความซับซ้อน นักเรียนไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นแสดงวิธีการใดในการหาคำตอบของสมการและเมื่อกำหนดโจทย์ปัญหาระบบสมการเชิงเส้นให้ นักเรียนสามารถแสดงวิธีการแก้ปัญหาในข้อง่าย ๆ ได้ แต่เมื่อพบปัญหาที่มีความซับซ้อนหรือแตกต่างจากปัญหาที่ครูยกตัวอย่างให้ นักเรียนไม่สามารถแสดงวิธีการแก้ปัญหาได้ อีกทั้งนักเรียนไม่สามารถแปลความหมาย/เปลี่ยนรูปข้อความในโจทย์ปัญหาให้อยู่ในรูปของสมการได้ถูกต้องและเหมาะสมกับข้อมูลที่โจทย์กำหนด ส่งผลให้ไม่สามารถหาคำตอบที่ถูกต้องของปัญหาทางคณิตศาสตร์ได้ ดังจะเห็นได้จากผลการสอบระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเทศบาลวัดสระทอง ปีการศึกษา 2556 พบว่า ได้คะแนนเฉลี่ยเพียง 34.63 คะแนน
จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน และยังพบอีกว่า สาระพีชคณิต มาตรฐาน ค 4.2 ได้คะแนนเฉลี่ยเพียง 32.90 คะแนน จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน (โรงเรียนเทศบาลวัดสระทอง. 2556 : 23)
รูปแบบการเรียนการสอนถือเป็นองค์ประกอบหนึ่งในการจัดการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนบรรลุเป้าหมายของหลักสูตร การเลือกรูปแบบการเรียนการสอนต้องคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลการผสมผสานระหว่างรูปแบบการเรียนการสอนกับเนื้อหาสาระ ความสอดคล้องกับลักษณะของผู้เรียน (บุญชม ศรีสะอาด. 2546 : 4) อีกทั้งต้องแสดงแนวคิดทางทฤษฎีการเรียนรู้ซึ่งแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบต่าง ๆ ที่จะใช้ในการจัดกระทำ เพื่อให้ผู้เรียนมีความสามารถในการเรียนรู้เนื้อหารายวิชาต่าง ๆ ตามเป้าหมายที่วางไว้ (Joyce and Weil. 1992) ซึ่งรูปแบบการเรียนการสอนที่เป็นสากลมี 5 รูปแบบ คือ รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นพัฒนาด้านพุทธิพิสัย (Cognitive Domain) รูปแบบการเรียนการสอน ที่เน้นการพัฒนาด้านจิตพิสัย (Affective Domain) รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นการพัฒนาด้านทักษะพิสัย (Psycho-motor Domain) รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นการพัฒนาทักษะกระบวนการ (Process Skills) รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นการบูรณาการ (Integration) (ทิศนา แขมมณี. 2552 : 4-7) ซึ่งรูปแบบการเรียนการสอนที่เป็นสากล มีแก่นสำคัญของรูปแบบ 4 ประการคือทฤษฎีหรือหลักการของรูปแบบ วัตถุประสงค์ของรูปแบบ กระบวนการของรูปแบบ และผลที่ได้รับจากการใช้รูปแบบ ซึ่งจะเห็นว่ารูปแบบการเรียนการสอนล้วนเป็นรูปแบบที่มีลักษณะยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง และประกอบไปด้วยองค์ประกอบด้านพุทธิพิสัย จิตพิสัย และทักษะพิสัย รวมทั้งทักษะกระบวนการทางสติปัญญา และกระทรวงศึกษาธิการ (2544 : 31) กล่าวถึงการสอนคณิตศาสตร์ไว้ว่า การสอนคณิตศาสตร์ครูผู้สอนจะต้องพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนที่ทำให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ตามจุดมุ่งหมายของการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ คือ รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นทักษะการคิดคำนวณที่ยึดหลักทฤษฎีกระบวนการกลุ่มที่พัฒนาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ มีความรู้ความเข้าใจในมโนมติ มีทักษะทางคณิตศาสตร์ รู้จักแก้ปัญหาและนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวันจากความสำคัญดังกล่าวจะเห็นว่ารูปแบบการเรียนการสอนถือเป็นเครื่องมือในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่สำคัญ รูปแบบการเรียนการสอนที่ดีจะต้องมีความเป็นสากล การจัดการเรียนรู้จะต้องพัฒนาทักษะกระบวนการทางสติปัญญาของผู้เรียน การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนในรายวิชาคณิตศาสตร์ ที่ส่งเสริมความสามารถในการแก้ปัญหาถือเป็นสิ่งจำเป็นอันดับแรกของทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์เพราะการที่จะฝึกให้ผู้เรียนมีความสามารถในการแก้ปัญหา การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนและบทบาทของครูผู้สอนจะส่งผลโดยตรงต่อผู้เรียน รูปแบบการเรียนการสอนดังกล่าวจึงควรเป็นรูปแบบการเรียนการสอนที่ครอบคลุมทักษะกระบวนการแก้ปัญหา
จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ทำให้ผู้วิจัยมีความสนใจที่จะพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนร่วมกับชุดฝึกทักษะ เพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหาและความสามารถในการเชื่อมโยงทางคณิตศาสตร์ เรื่อง ระบบสมการเชิงเส้น รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน รหัสวิชา ค 23101 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เพื่อพัฒนาการเรียนการสอนและการแก้ปัญหาและความสามารถในการเชื่อมโยงทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และเพื่อเป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอนของครูในกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น ๆ และโรงเรียนอื่น ๆ อันจะส่งผลให้การศึกษาของชาติมีการพัฒนามากยิ่งขึ้นต่อไป
3.วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1. เพื่อพัฒนาและหาประสิทธิภาพของรูปแบบการเรียนการสอนร่วมกับชุดฝึกทักษะ
เพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหาและความสามารถในการเชื่อมโยงทางคณิตศาสตร์ เรื่อง ระบบสมการเชิงเส้น รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน รหัสวิชา ค 23101 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ตามเกณฑ์ 80/80
2. เพื่อเปรียบเทียบทักษะการแก้ปัญหาและความสามารถในการเชื่อมโยงทางคณิตศาสตร์
ที่เรียนด้วยรูปแบบการเรียนการสอนร่วมกับชุดฝึกทักษะ เรื่อง ระบบสมการเชิงเส้น รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน รหัสวิชา ค 23101 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ก่อนเรียนและหลังเรียน
3. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่มีต่อการสอนด้วยรูปแบบการเรียนการสอนร่วมกับชุดฝึกทักษะ เพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหาและความสามารถในการเชื่อมโยงทางคณิตศาสตร์ เรื่อง ระบบสมการเชิงเส้น รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน รหัสวิชา ค 23101
ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
4.ระเบียบวิธีวิจัย
การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนร่วมกับชุดฝึกทักษะ เพื่อส่งเสริมทักษะ
การแก้ปัญหาและความสามารถในการเชื่อมโยงทางคณิตศาสตร์ เรื่อง ระบบสมการเชิงเส้น รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน รหัสวิชา ค 23101 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เป็นการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) โดยมีนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่เรียนรายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน รหัสวิชา ค 23101 ของโรงเรียนเทศบาลวัดสระทอง เทศบาลเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด
เป็นหน่วยวิเคราะห์ (Unit of Analysis) ซึ่งมีขั้นตอนในการวิจัย ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 การวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน (Research-R1 : Analysis)
ขั้นตอนที่ 2 ขั้นตอนที่ 2 การพัฒนา (Development-D1) การออกแบบและพัฒนา (Design and Development : D and D) การพัฒนาหาประสิทธิภาพรูปแบบการเรียนการสอน
ขั้นตอนที่ 3 การนำรูปแบบการเรียนการสอนไปใช้ (Research-R2 : Implement)
ขั้นตอนที่ 4 การประเมินผลและปรับปรุง (Development-D2 : Evaluation)
5. ผลการวิจัย
การวิจัยเรื่อง การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนร่วมกับชุดฝึกทักษะ เพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหาและความสามารถในการเชื่อมโยงทางคณิตศาสตร์ เรื่อง ระบบสมการเชิงเส้น รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน รหัสวิชา ค 23101 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 สรุปผลการวิจัยได้ดังนี้
1. รูปแบบการเรียนการสอนที่พัฒนาขึ้นมีชื่อเรียกว่า SPIPRE Model โดยมีองค์ประกอบ ดังนี้ หลักการ วัตถุประสงค์ กระบวนการเรียนการสอน สาระความรู้และทักษะความสามารถ สิ่งที่ส่งเสริมการเรียนรู้ ระบบสังคม หลักการตอบสนอง และสิ่งสนับสนุนรูปแบบ
การเรียนการสอนที่พัฒนาขึ้นมีกระบวนการเรียนการสอน 6 ขั้นตอน คือ 1) ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับปัญหา (Search : S) 2) วางแผนในการแก้ปัญหา (Plan : P) 3) ดำเนินการแก้ปัญหา (Implementations : I) 4) เสนอคำตอบหรือผลการแก้ปัญหา (Presentations : P) 5) การเชื่อมโยงทางคณิตศาสตร์ (Related : R) และ 6) ประเมินผลการแก้ปัญหา (Evaluation : E) ตรวจสอบความสอดคล้องของรูปแบบการเรียนการสอนที่พัฒนาขึ้น โดยผู้เชี่ยวชาญ พบว่า รูปแบบการเรียนการสอนประสิทธิภาพ (E1/E2) แบบกลุ่มใหญ่ (Filed Tryout) กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/3 โรงเรียนเทศบาลวัดสระทอง จำนวน 38 คน ได้ค่าประสิทธิภาพของรูปแบบการเรียนการสอน เท่ากับ 85.61/87.00 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ คือ 80/80 ยอมรับสมมติฐานการวิจัยข้อที่ 1
2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยรูปแบบการเรียนการสอนร่วมกับชุดฝึกทักษะ เพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหาและความสามารถในการเชื่อมโยงทางคณิตศาสตร์ เรื่อง ระบบสมการเชิงเส้น รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน รหัสวิชา ค 23101 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 รูปแบบการเรียนการสอนร่วมกับชุดฝึกทักษะ เพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหาและความสามารถในการเชื่อมโยงทางคณิตศาสตร์ เรื่อง ระบบสมการเชิงเส้น รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน รหัสวิชา ค 23101
ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 โดยมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน
3. ทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ที่เรียนด้วยรูปแบบการเรียนการสอนร่วมกับชุดฝึกทักษะ เรื่อง ระบบสมการเชิงเส้น รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน รหัสวิชา ค 23101 ของนักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ก่อนเรียนและหลังเรียน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05
โดยมีคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน
4. ความสามารถในการเชื่อมโยงทางคณิตศาสตร์ ที่เรียนด้วยรูปแบบการเรียนการสอนร่วมกับชุดฝึกทักษะ เรื่อง ระบบสมการเชิงเส้น รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน รหัสวิชา ค 23101
ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ก่อนเรียนและหลังเรียน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
ที่ระดับ .05 โดยมีคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน
5. ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่มีต่อการเรียนด้วยรูปแบบการเรียนการสอนร่วมกับชุดฝึกทักษะ เพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหาและความสามารถในการเชื่อมโยงทางคณิตศาสตร์ เรื่อง ระบบสมการเชิงเส้น รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน รหัสวิชา ค 23101 ของนักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาพรวม พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนด้วยรูปแบบการเรียนการสอนร่วมกับชุดฝึกทักษะ เพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหาและความสามารถในการเชื่อมโยงทางคณิตศาสตร์ เรื่อง ระบบสมการเชิงเส้น รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน รหัสวิชา ค 23101 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ส่วนความพึงพอใจรายด้านที่มีคะแนนเฉลี่ยสูงที่สุด คือ โดยนักเรียนมีความพึงพอใจต่อการสอนด้วยรูปแบบการเรียนการสอนด้านครูผู้สอนและด้านภาพรวมรูปแบบการเรียนการสอนอยู่ในระดับลำดับที่สูงสุด
6. ข้อเสนอแนะ
1.ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
1.1 จากการเรียนการสอนคณิตศาสตร์โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอนร่วมกับชุดฝึกทักษะ เพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหาและความสามารถในการเชื่อมโยงทางคณิตศาสตร์ เรื่อง ระบบสมการเชิงเส้น
รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน รหัสวิชา ค 23101 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ช่วยให้นักเรียนมีทักษะการแก้ปัญหา และความสามารถในการเชื่อมโยงทางคณิตศาสตร์เพิ่มขึ้น อีกทั้งยังมีความรู้ในสาระอื่น ๆ
ที่นำมาบูรณาการการเรียนเข้ากับวิชาคณิตศาสตร์ และได้รับประโยชน์จากชุดการเรียนรู้ ประโยชน์จากการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง ดังนั้นผู้บริหารโรงเรียนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการสอนวิชาคณิตศาสตร์ควรส่งเสริม กำหนดนโยบายการเรียนการสอนโดยใช้ชุดการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์อย่างต่อเนื่อง
1.2 เนื่องจากรูปแบบการเรียนการสอนร่วมกับชุดฝึกทักษะ เพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหาและความสามารถในการเชื่อมโยงทางคณิตศาสตร์ เรื่อง ระบบสมการเชิงเส้น รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน รหัสวิชา ค 23101 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เป็นสื่อการเรียนรู้ที่มาจากความต้องการของนักเรียนและผู้ที่เกี่ยวข้อง ทำให้นักเรียนมีความรู้นอกเหนือจากเรียนวิชาคณิตศาสตร์ โรงเรียนจึงควรส่งเสริมให้มีการจัดพิมพ์ขึ้นใช้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ในปีการศึกษาต่อไป
2. ข้อเสนอแนะในการนำผลวิจัยไปใช้
2.1 จากผลการวิจัย พบว่า ทักษะการแก้ปัญหา และความสามารถในการเชื่อมโยง
ทางคณิตศาสตร์หลังเรียนของนักเรียนที่จัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบการเรียนการสอนร่วมกับชุดฝึกทักษะ เพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหาและความสามารถในการเชื่อมโยงทางคณิตศาสตร์ เรื่อง ระบบสมการเชิงเส้น
รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน รหัสวิชา ค 23101 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น
ทำให้นักเรียนมีทักษะการแก้ปัญหา และความสามารถในการเชื่อมโยงทางคณิตศาสตร์แตกต่างกัน
โดยหลังเรียนมีคะแนนทักษะการแก้ปัญหา และความสามารถในการเชื่อมโยงทางคณิตศาสตร์เพิ่มขึ้น แสดงว่า รูปแบบการเรียนการสอนเหมาะกับการเรียนการสอนรายวิชาคณิตศาสตร์ ก่อนสอนครูควรศึกษาขั้นตอนให้ละเอียด และควรปฏิบัติกิจกรรมตามที่กำหนดไว้
2.2 จากผลการวิจัย พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจต่อรูปแบบการเรียนการสอนร่วมกับชุดฝึกทักษะ เพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหาและความสามารถในการเชื่อมโยงทางคณิตศาสตร์
เรื่อง ระบบสมการเชิงเส้น รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน รหัสวิชา ค 23101 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 อยู่ในระดับมากที่สุด ในการสอนแต่ละครั้งครูควรเตรียมแหล่งข้อมูลความรู้ให้แก่ผู้เรียน ทั้งอุปกรณ์ สื่อการเรียนการสอน แบบทดสอบ หรือแบบประเมินในการสอนแต่ละครั้งให้พร้อม เพื่อให้ผู้เรียนได้ศึกษาค้นคว้าด้วยตัวเองได้ตามต้องการก่อนนำชุดฝึกทักษะไปใช้จริง เพื่อความสะดวกและให้เกิดผลตามสภาพความเป็นจริง ในการจัดกลุ่มนักเรียนควรเป็นกลุ่มคละความสามารถ มีทั้งเก่ง ปานกลาง อ่อน เพื่อให้นักเรียนได้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน นักเรียนที่เรียนอ่อนจะได้พัฒนาตนเองตามศักยภาพส่วนนักเรียนที่เรียนเก่งก็จะได้เพิ่มทักษะ โดยการอธิบายหรือถ่ายทอดความรู้ให้กับเพื่อนในกลุ่ม
2.3 จากผลการวิจัย พบว่า นักเรียนมีความสนใจรูปแบบการเรียนการสอนร่วมกับ
ชุดฝึกทักษะ เพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหาและความสามารถในการเชื่อมโยงทางคณิตศาสตร์
เรื่อง ระบบสมการเชิงเส้น รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน รหัสวิชา ค 23101 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ดังนั้นการที่จะทำให้การจัดการเรียนการสอน มีผลการเรียนรู้ที่ดีและสอดคล้องกับ
ความต้องการของผู้เรียน ครูผู้สอนควรสอดแทรกประสบการณ์ที่เกิดหรือเหตุการณ์จริงเข้ามาสอน
ในบางเนื้อหา ฝึกให้นักเรียนแต่ละคนปรับเปลี่ยนบทบาทของตนเองในการทำงานในกลุ่มให้สามารถแสดงความคิดเห็น สามารถอภิปรายร่วมกับสมาชิกคนอื่น ๆ ได้ นอกจากนี้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้
ในแต่ละชุด ไม่ควรจำกัดเวลามากเกินไป ควรมีการยืดหยุ่นตามความเหมาะสม และส่งเสริมให้ผู้เรียน
มีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมกล้าแสดงออกเพื่อให้นักเรียนได้ทำกิจกรรมต่าง ๆ อย่างเต็มความสามารถและมีความสุข
3. ข้อเสนอแนะสำหรับการวิจัยครั้งต่อไป
3.1 ควรนำรูปแบบการเรียนการสอนร่วมกับชุดฝึกทักษะ เพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหาและความสามารถในการเชื่อมโยงทางคณิตศาสตร์ เรื่อง ระบบสมการเชิงเส้น รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน รหัสวิชา ค 23101 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ไปสร้างชุดฝึกทักษะ ในกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่นๆ และในทุกระดับชั้น
3.2 ควรมีการศึกษาเปรียบเทียบระหว่างการสอนที่ส่งเสริมการคิดด้วยชุดฝึกทักษะ
เพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหาและความสามารถในการเชื่อมโยงทางคณิตศาสตร์ เรื่อง ระบบสมการเชิงเส้น
รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน รหัสวิชา ค 23101 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 กับสื่อการสอนอื่นๆ เช่น การสอนแบบโครงงาน การสอนด้วย E Learning เพื่อดูความแตกต่าง
3.3 ควรศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการเรียนหลังจากเรียนด้วยรูปแบบการเรียนการสอนร่วมกับชุดฝึกทักษะ เพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหาและความสามารถในการเชื่อมโยงทางคณิตศาสตร์
เรื่อง ระบบสมการเชิงเส้น รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน รหัสวิชา ค 23101 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 กับตัวแปรอื่น ๆ เช่น เจตคติทางคณิตศาสตร์ ศึกษาความคงทนในการเรียนรู้ และความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์
4. การนำไปใช้ประโยชน์
4.1 การนำผลการปฏิบัติที่ดี (Best Practice) การนำรูปแบบการเรียนการสอน
ร่วมกับชุดฝึกทักษะ เพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหาและความสามารถในการเชื่อมโยงทางคณิตศาสตร์
เรื่อง ระบบสมการเชิงเส้น รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน รหัสวิชา ค 23101 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 สู่สถานศึกษาอื่นทั้งในสังกัดเทศบาลเมืองร้อยเอ็ด ในการให้เป็นตัวอย่างและขยายผลการจัดการเรียนรู้ ผ่านกระบวนการกลุ่ม/เครือข่าย/ภาคี
4.2 การถ่ายทอดรูปแบบการเรียนการสอนร่วมกับชุดฝึกทักษะ เพื่อส่งเสริมทักษะ
การแก้ปัญหาและความสามารถในการเชื่อมโยงทางคณิตศาสตร์ เรื่อง ระบบสมการเชิงเส้น รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน รหัสวิชา ค 23101 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ได้จากรูปแบบ
(SPIPRE Model) ว่าประเด็นใดบ้างที่เป็นปัญหา จุดแข็ง จุดอ่อน ในการนำไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมและเกิดเป็นผลสำเร็จ
4.3 นำแนวทางการศึกษานี้มาจัดทำเป็นหลักสูตร เทคนิคการพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาและความสามารถในการเชื่อมโยงทางคณิตศาสตร์ ตามรูปแบบการเรียนการสอน
SPIPRE Model ให้สถานศึกษา เพื่อใช้จัดการเรียนการสอนในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ที่สอดคล้องกับชีวิตประจำวันและเหมาะกับสถานการณ์จริง