ชื่อเรื่อง : รายงานผลการประเมินโครงการส่งเสริมการทำวิจัยในชั้นเรียน
ของโรงเรียนเทศบาล ๒ วัดเสนหา(สมัครพลผดุง)
ผู้วิจัย : นางสาววิลาสินี ชุณหะชา
หน่วยงาน : โรงเรียนเทศบาล ๒ วัดเสนหา(สมัครพลผดุง) สังกัดเทศบาลนครนครปฐม อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม * ชื่อโรงเรียนเป็นชื่อเฉพาะที่ต้องใช้เลขไทย
ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา
การพัฒนาการจัดการศึกษาในยุคปฏิรูปการศึกษา หัวใจสำคัญคือการปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้ โดยมุ่งหวังการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียนเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา คุณธรรมและจริยธรรม และสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข มุ่งเน้นให้ผู้เรียน เกิดการเรียนรู้และค้นพบองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง ซึ่งครูผู้สอนมีส่วนสำคัญที่จะช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเองตลอดเวลา การพัฒนาให้ผู้เรียนมีคุณลักษณะในสิ่งที่คาดหวังได้นั้น ครูจะต้องมีการทำลำดับขั้นตอนของการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่ดี มีขั้นตอนการทำงานที่เป็นระบบมีผลการทำงานที่เกิดจากขั้นตอนการทำงานที่น่าเชื่อถือ มีร่องรอยที่สามารถตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน กระบวนการวิจัยจึงถูกนำมาใช้เพื่อพัฒนาผู้เรียนในชั้นเรียนให้มีทักษะตามที่ต้องการและใช้ในการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ใหม่ๆ ให้เหมาะสมกับผู้เรียน แต่คุณครูโดยส่วนใหญ่มักขาดความรู้ความเข้าใจในการทำวิจัย ทั้งการตั้งคำถามการวิจัย การออกแบบการวิจัย การเขียนรายงานผลการวิจัยหรือแม้แต่การนำผลการวิจัยไปใช้ โดยสามารถสรุปปัญหาด้านการจัดทำวิจัยในชั้นเรียนไว้ดังนี้ 1) ผู้บริหารให้ภาระงานครูมาก ทำให้ครูไม่มีเวลาวิจัย 2) ผู้บริหารไม่จัดประชุม อบรม สัมมนาเชิงปฏิบัติการเรื่องการทำวิจัยในชั้นเรียนให้กับครูหรือการไม่ส่งครูไปรับการอบรมจากหน่วยงานอื่นทำให้ครูขาดประสบการณ์ในการทำวิจัยในชั้นเรียนและไม่สามารถพัฒนาความรู้นี้อย่างต่อเนื่อง 3) ผู้บริหารไม่สนับสนุนงบประมาณในการพัฒนาสื่อ วัสดุ อุปกรณ์ในการทำวิจัยในชั้นเรียนและสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาไม่กำหนดเป็นยุทธศาสตร์ให้ครูผู้สอนทำวิจัยในชั้นเรียนควบคู่ไปกับการจัดการเรียนการสอน 4) ผู้บริหารไม่แต่งตั้งหรือจัดที่ปรึกษาหรือผู้ชำนาญการด้านวิจัยในชั้นเรียนเพื่อให้ครูที่สนใจทำการวิจัยในชั้นเรียนได้มีที่พึงในคราวที่มีปัญหาเมื่อทำวิจัยในชั้นเรียน 5) ผู้บริหารไม่มีประกาศเกียรติคุณให้แก่ครูผู้ทำวิจัยในชั้นเรียนดีเด่นหรือไม่ประชาสัมพันธ์เผยแพร่ผลงานการวิจัยในชั้นเรียนให้บุคคลทั่วไปได้รับทราบเพื่อเป็นขวัญกำลังใจ 6) ครูผู้สอนขาดความรู้ความเข้าใจในแนวทางการวิจัยในชั้นเรียน และคิดว่าเป็นเรื่องยากจึงไม่ทำการวิจัย 7) ครูไม่ได้รับการสนับสนุนด้านงบประมาณอย่างพอเพียงในการทำวิจัยชั้นเรียน 8) ครูมีเวลาไม่เพียงพอที่จะทำการวิจัยในชั้นเรียนเนื่องจากมีภาระงานทั้งการสอนและงานพิเศษอื่นๆ 9) ครูขาดตัวอย่างที่หลากหลายสำหรับเป็นแนวทางการทำวิจัยในชั้นเรียน 10) ครูขาดแหล่งความรู้ในการค้นคว้า เพื่อทำการวิจัยในชั้นเรียน และ11) ครูไม่ตระหนักถึงความสำคัญของการทำวิจัยในชั้นเรียนอย่างจริงจังและไม่นำผลการวิจัยมาใช้ในการแก้ปัญหาการเรียนการสอน แต่ทำวิจัยเพื่อขอผลงานของตนเอง เมื่อเล็งเห็นความสำคัญดังกล่าวทำให้โรงเรียนเทศบาล ๒ วัดเสนหา(สมัครพลผดุง) ได้เริ่มดำเนินการโครงการส่งเสริมการทำวิจัยในชั้นเรียนอย่างจริงจังในปีการศึกษา 2558 โดยเน้นให้ครูได้ใช้กระบวนการวิจัยในการแก้ปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อการจัดการเรียนการสอนและการเรียนรู้ของนักเรียน อนึ่งการดำเนินงานตามโครงการจำเป็นต้องมีการประเมินตามโครงการเพื่อให้ทราบว่า โครงการประสบผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ของโครงการหรือไม่ มีปัญหา อุปสรรคอะไร ซึ่งที่ผ่านมาผู้รับผิดชอบโครงการได้มีการประเมินผลการดำเนินงานในภาพรวมอย่างกว้างๆไว้ แต่ยังขาดการกำหนดประเด็นการประเมินที่ชัดเจน ซึ่งในครั้งนี้ผู้วิจัยตระหนักดีว่าการประเมินผลอย่างเป็นระบบจะช่วยให้เกิดการพัฒนางานของโรงเรียนและในงานส่วนที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะอย่างยิ่งการดำเนินงานด้านวิชาการของโรงเรียน เพื่อให้การดำเนินโครงการส่งเสริมการทำวิจัยในชั้นเรียนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสอดคล้องกับการพัฒนาการจัดการศึกษาของโรงเรียนและสามารถนำผลการดำเนินงานตามโครงการมาพัฒนาปรับปรุงการดำเนินงานได้อย่างทันท่วงที ผู้วิจัยจึงได้กำหนดให้มีการประเมินผลโครงการส่งเสริมการทำวิจัยในชั้นเรียนขึ้น โดยกำหนดขอบข่ายของการประเมินตามรูปแบบการประเมินแบบซิปป์ (CIPP Model) ของ Stufflebeam ซึ่งเป็นการประเมินที่ทำให้ผู้บริหารทราบการดำเนินโครงการทั้ง 4 ด้านอันได้แก่ การประเมินด้านบริบท (Context Evaluation) การประเมินด้านปัจจัยนำเข้า (Input Evaluation) การประเมินด้านกระบวนการ (Process Evaluation) และการประเมินด้านผลผลิต (Product Evaluation) ซึ่งเป็นข้อมูลที่มีความครอบคลุมและเพียงพอสำหรับใช้เป็นข้อมูลในการปรับปรุงแก้ไขและพัฒนาโครงการให้มีคุณภาพ ส่งผลถึงความยั่งยืนของโครงการ และบังเกิดผลดีต่อนักเรียนอย่างแท้จริง
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
การทำวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินโครงการส่งเสริมการทำวิจัยในชั้นเรียนของโรงเรียนเทศบาล ๒ วัดเสนหา(สมัครพลผดุง) ในประเด็นต่อไปนี้
1. เพื่อประเมินบริบทของโครงการส่งเสริมการทำวิจัยในชั้นเรียน (Context Evaluation)
2. เพื่อประเมินปัจจัยนำเข้าของโครงการส่งเสริมการทำวิจัยในชั้นเรียน (Input Evaluation)
3. เพื่อประเมินกระบวนการของโครงการส่งเสริมการทำวิจัยในชั้นเรียน (Process Evaluation)
4. เพื่อประเมินผลผลิตของโครงการส่งเสริมการทำวิจัยในชั้นเรียน (Product Evaluation)
วิธีการศึกษา/การดำเนินการวิจัย
ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
การประเมินในครั้งนี้ได้กำหนดขอบเขตของประชากรและกลุ่มตัวอย่างการประเมินไว้ดังนี้
1. ประชากร ที่ใช้ในการประเมินครั้งนี้เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholders) ของโครงการส่งเสริมการทำวิจัยในชั้นเรียนของโรงเรียนเทศบาล ๒ วัดเสนหา(สมัครพลผดุง) ปีการศึกษา 2558 จำนวนทั้งสิ้น 1,874 คน
2. กลุ่มตัวอย่าง ได้กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยการเปิดตารางของเครจซี่และมอร์แกน และทำการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ได้กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ปกครองและนักเรียนโรงเรียนเทศบาล ๒ วัดเสนหา(สมัครพลผดุง) ชั้นอนุบาลปีที่ 1 ถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 538 คนและคณะกรรมการดำเนินการและครูผู้สอนของโรงเรียนเทศบาล ๒ วัดเสนหา(สมัครพลผดุง) จำนวน 51 คนรวมมีกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 589 คน
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลในครั้งนี้ เป็นแบบประเมินโครงการส่งเสริมการทำวิจัยใน ชั้นเรียนของโรงเรียนเทศบาล ๒ วัดเสนหา(สมัครพลผดุง) ในด้านบริบท ด้านปัจจัยนำเข้า ด้านกระบวนการ และด้านผลผลิต โดยในการประเมินครั้งนี้ใช้แบบประเมินจำนวน 2 ฉบับ อันประกอบด้วย
แบบประเมินฉบับที่ 1 แบบประเมินโครงการส่งเสริมการทำวิจัยในชั้นเรียนของโรงเรียนเทศบาล ๒ วัดเสนหา (สมัครพลผดุง) ประเมินโดยคณะกรรมการดำเนินโครงการและครูผู้สอนของโรงเรียนเทศบาล ๒ วัดเสนหา(สมัครพลผดุง)
แบบประเมินฉบับที่ 2 แบบประเมินความเหมาะสมของกระบวนการและผลผลิตของการดำเนินงานของโครงการส่งเสริมการทำวิจัยในชั้นเรียนของโรงเรียนเทศบาล ๒ วัดเสนหา (สมัครพลผดุง) ประเมินโดยผู้ปกครองและนักเรียนโรงเรียนเทศบาล ๒ วัดเสนหา(สมัครพลผดุง)
ผลการศึกษา/ผลการวิจัย
1. ผลการประเมินด้านบริบทของโครงการเกี่ยวกับความเหมาะสมในการดำเนินโครงการและความสอดคล้องของวัตถุประสงค์กับแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษาและนโยบายการศึกษาของขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยภาพรวมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากและเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า ทุกข้อมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากเช่นกัน
2. ผลการประเมินด้านปัจจัยนำเข้าของโครงการเกี่ยวกับความเหมาะสม และความเพียงพอ ของบุคลากร งบประมาณ ระยะเวลาและวัสดุอุปกรณ์ โดยภาพรวมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า ทุกข้อมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากเช่นกัน
3. ผลการประเมินด้านกระบวนการของโครงการเกี่ยวกับการดำเนินงานตามวงจร PDCA ของเดมิ่ง (Deming) โดยรวมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด และเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า ทุกข้อมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด
4. ผลการประเมินด้านผลผลิตของโครงการ ผลการดำเนินการโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และความพึงพอใจในการดำเนินงานโดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด
ข้อเสนอแนะ
ข้อเสนอแนะทั่วไป
จากผลการวิจัยการประเมินโครงการส่งเสริมการทำวิจัยในชั้นเรียนของโรงเรียนเทศบาล ๒ วัดเสนหา(สมัครพลผดุง) ซึ่งผู้วิจัยเห็นว่าการวิจัยในชั้นเรียนเป็นเรื่องที่มีความจำเป็นมากเพราะครูต้องมีข้อมูลจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ แล้วนำข้อมูลเหล่านั้นมาทำการวิจัย เพื่อนำผลของการวิจัยนั้นมาพัฒนาการจัดการเรียนการสอนเพื่อให้เหมาะสมกับนักเรียน และเพื่อเป็นการพัฒนาศักยภาพและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนให้สูงขึ้น ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดที่สุด
ข้อเสนอแนะเพื่อการวิจัยครั้งต่อไป
เพื่อเป็นประโยชน์สำหรับการดำเนินการโครงการส่งเสริมการทำวิจัยในชั้นเรียนของโรงเรียนเทศบาล ๒ วัดเสนหา(สมัครพลผดุง)ในอนาคต ผู้วิจัยจึงขอเสนอแนวทางในการวิจัยครั้งต่อไปดังนี้
1. ควรมีการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพเกี่ยวกับการดำเนินการโครงการส่งเสริมการทำวิจัยในชั้นเรียนของโรงเรียนอื่นๆ โดยใช้วิธีเชิงคุณภาพเก็บรวบรวมข้อมูล ซึ่งจะได้ข้อมูลในอีกรูปแบบหนึ่งมาประกอบการพิจารณา
2. ควรมีการศึกษาเกี่ยวกับการประเมินการดำเนินการโครงการส่งเสริมการทำวิจัยในชั้นเรียนของโรงเรียนเทศบาล ๒ วัดเสนหา(สมัครพลผดุง) จากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องหลายๆ กลุ่ม เช่น ชุมชน คณะกรรมการสถานศึกษา หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ฯลฯ