ค้นหาทุกอย่างในเว็บครูบ้านนอก :
ชุมชนครู บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียน แหล่งความรู้สำหรับครู นักเรียน ข่าวการศึกษา ห้องสมุดความรู้ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ และความรู้ทั่วไป เผยแพร่ผลงานวิชาการ ที่นี่


ค้นหากระทู้
ตั้งกระทู้คำถามใหม่ กลับหน้าที่แล้ว
 
ผลการเรียนรู้แบบกระบวนการกลุ่มเพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาสังคมศึกษาของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนหนองแซงวิทยา

ชื่อเรื่อง ผลการเรียนรู้แบบกระบวนการกลุ่มเพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาสังคมศึกษาฯ

ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนหนองแซงวิทยา

ชื่อผู้วิจัย นางสิริกร แสงศิลป์

ปีการศึกษา 2566

ความสำคัญของการวิจัย

จากปัญหาผลสัมฤทธิ์ในการเรียนวิชา สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ระดับชั้น ม.4

บางห้องยังอยู่ในระดับไม่เป็นที่น่าพอใจ เนื่องจากมีปัจจัยหลายประการที่กระทบการเรียนการสอน

และวิธีการแก้ปัญหาดังกล่าว ควรได้รับการแก้ไขด้วยวิธีการกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม

ในชั้นเรียน ซึ่งเน้นการฝึกปฏิบัติด้วยกระบวนการกลุ่ม และใบงานประกอบการเรียนรู้ คาดว่า

ประโยชน์ที่จะได้รับคือ

1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีค่าระดับคะแนนเฉลี่ย

ในห้องเรียนไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 และค่าคะแนนเฉลี่ยสูงกว่าเกรด 3

2. นักเรียนในกลุ่มที่ทำการวิจัยมีปฏิสัมพันธ์เพื่อช่วยกันฝึกปฏิบัติในชั้นเรียนก่อให้เกิดทักษะ

ในการวิเคราะห์และวางแผนตัดสินใจ

3. นักเรียนมีความสนใจในการเรียนเพิ่มมากขึ้น

ความเป็นมาของปัญหา

ปัจจุบันการดำเนินชีวิตมีความยุ่งยากและซับซ้อนมากขึ้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

ของสังคมและเทคโนโลยี ทำให้แต่ละบุคคลต้องเผชิญปัญหามากมายที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงและการ

ปรับตัวในการจัดการเรียนการสอนต้องอยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้

และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุดในด้านการเรียนรู้ การเรียนรู้แบบร่วมมือ คือ การเรียนรู้เป็นกลุ่มย่อย

โดยมีสมาชิกกลุ่มที่มีความสามารถแตกต่างกันประมาณ 3-6 คน ช่วยกันเรียนรู้ เพื่อไปสู่เป้าหมายของ

กลุ่ม และยังส่งผลให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ รวมทั้งได้เรียนรู้ทักษะทางสังคมและการทำงานร่วมกันกับผู้อื่น

ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในดำรงชีวิต สำหรับทางด้านการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษาฯ ต้องการให้ผู้เรียน

เกิดทักษะการเรียนรู้และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เสริมสร้างให้ผู้เรียนมีระเบียบวินัย และความ

รับผิดชอบในการทำงานเพิ่มสูงขึ้น

ด้วยเหตุนี้เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาดังกล่าวข้างต้น ข้าพเจ้าจึงได้มีการทำวิจัยในชั้นเรียน เพื่อมุ่งเน้น

ให้นักเรียน ได้มีการพัฒนาการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการเรียนรู้และกระบวนการกลุ่มมีส่วนร่วมในชั้นเรียน

ซึ่งจะช่วยเพิ่มผลสัมฤทธิ์ต่อการเรียนเน้นการปฏิบัติด้วยกระบวนการกลุ่ม และใบงานประกอบการเรียนรู้

เปิดโอกาสให้นักเรียนมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้ ในด้านเนื้อหาและทักษะทางการปฏิบัติงาน ผู้วิจัย

เห็นถึงปัญหาและประโยชน์ในอนาคตทางการศึกษาจึงได้ทำวิจัยเรื่องนี้เพื่อประโยชน์สำหรับการศึกษาต่อไป

วัตถุประสงค์

1. เพื่อศึกษาการเรียนการสอนวิชาสังคมศึกษาฯ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที 4 ภาคเรียนที่ 1

ปีการศึกษา 2566 โดยวิธีกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมชั้นเรียน ซึ่งเน้นในการฝึกปฏิบัติ

ด้วยกระบวนการกลุ่มและใบงานประกอบการเรียนรู้ภายในชั้นเรียน

ขอบเขตการวิจัย

1.กลุ่มประชากร คือ นักเรียนโรงเรียนหนองแซงวิทยา ชั้นมัธยมศึกษาปี่ 4 ภาคเรียนที่ 1

ปีการศึกษา 2566 จำนวน 2 ห้อง นักเรียน 89 คน

2. ตัวแปรที่ต้องศึกษา

- ตัวแปรต้น วิธีการเรียนการสอนโดยวิธีกระบวนการมีส่วนในชั้นเรียน ซึ่งเน้นการฝึก

ปฏิบัติด้วยกระบวนการกลุ่มและใบงานประกอบการเรียนรู้ภายในชั้นเรียน

- ตัวแปรตาม ผลสัมฤทธิ์ของการเรียนในรายวิชาสังคมศึกษาฯ โดยเฉลี่ยร้อยละ 80

ของจำนวนนักเรียนมีระดับคะแนนสูงกว่า เกรด 3

นิยามศัพท์

1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คะแนนที่นักเรียนทำได้จากแบบทดสอบก่อนและหลักงเรียน

ประจำหน่วยการเรียนรู้ แบบทดสอบกลางภาคและแบบทดสอบปลายภาค

2. วิธีสอนแบบกระบวนการกลุ่ม หมายถึง การสอนโดยจัดกิจกรรมการเรียนการอสนเป็นระบบ

กลุ่ม มีผู้นำ ผู้ตาม แบ่งหน้าที่กันตามความเหมาะสม มีการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ทำให้งานที่มอบหมาย

สำเร็จลงได้

3. ผู้นำ คือ ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นผู้นำกลุ่ม ให้สามารถทำงานจนบรรลุเป้าหมายของกลุ่มได้

4. สมาชิกกลุ่ม หมายถึงสมาชิกกลุ่มที่ดีนั้น จำเป็นต้องมีความรู้ ความเข้าในในบทบาทหน้าที่

ของตน โดยรู้ว่าตนควรจะทำอย่างไร ที่จะช่วยเอื้ออำนวยให้การทำงานเป็นทีมบรรลุผลสำเร็จ

5. กระบวนการทำงาน หมายถึง วิธีกลุ่มที่ใช้ในการทำงาน ผลงานของกลุ่มจะออกมาดี

มากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับวิธีการและขั้นตอนที่กลุ่มใช้ในการทำงานด้วย หากกลุ่มใช้วิธีการทำงาน

ที่เหมาะสมกับลักษณะงานและลักษณะกลุ่มแล้ว ผลงานก็มักจะมี่คุณภาพตามไปด้วย

วิธีดำเนินการวิจัย

1. เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ ใบงานประกอบการเรียนรู้

2. เก็บรวบรวมข้อมูล เก็บคะแนนก่อน และหลังเรียนประจำหน่วยการเรียนรู้ แบบทดสอบ

กลางภาคและปลายภาค

3. วิเคราะห์ข้อมูล

4. รายงานผล

การวิเคราะห์ข้อมูล

นำผลการประเมินความรู้ ความเข้าใจเนื้อหาแต่ละหน่วยการเรียนรู้ คะแนนจากการทำแบบ

ทดสอบกลางภาคและปลายภาค ในรายวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม โดยใช้กระบวนการกลุ่ม

โดยใช้สถิติร้อยละและค่าเฉลี่ย ผลดังต่อไปนี้

ตารางที่ 1 แสดงค่าความถี่และค่าร้อยละเกรดสูงกว่าเกรด 3 และห้องเรียน

รายวิชา จำนวนนักเรียนตามระดับผลการเรียน (คน) จำนวนนักเรียน

ที่ได้เกรด3ขึ้นไป ร้อยละ

4 3.5 3 2.5 2 1.5 1 0 ร มส.

ม.4/1 - 3 3 10 10 10 3 0 4 0 6 13.33

ม.4/2 33 6 2 4 1 - - 0 1 0 41 91.11

ตารางที่ 2 แสดงค่าความถี่และค่าร้อยละของนักเรียนทั้งหมดที่ได้เกรดสูงกว่าเกรด3

ที่ ห้องเรียน ม.4/1และ ม.4/2 จำนวน ร้อยละ

1 ที่มีคะแนนสูงกว่าเกรด 3 47 52.80

2 ต่ำกว่าเกรด 3 42 47.20

รวม 89 100

จากตารางที่ 2 แสดงว่านักเรียนที่เรียนวิชาสังคมศึกษา ส่วนใหญ่มีคะแนนสูงกว่าเกรด 3 จำนวน 47 คน

คิดเป็นร้อยละ 52.80 และต่ำกว่าเกรด 3 จำนวน 42 คน คิดเป็นร้อยละ 47.20

สรุปผลการศึกษา

จากการดำเนินการวิจัยในชั้นเรียนผลการเรียนรู้แบบกระบวนการกลุ่มภายในชั้นเรียนร่วมกัน

เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาสังคมฯ ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยมี

วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการเรียนการสอนวิชาสังคมศึกษาฯ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 ภาคเรียนที่ 1

ปีการศึกษา 2566 โดยวิธีกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมในชั้นเรียน ซึ่งเน้นในการฝึกปฏิบัติ

ด้วยกระบวนการกลุ่มและใบงานประกอบการเรียนรู้ภายในชั้นเรียน สถิติที่ใช้คือ ค่าความถี่ และ

ค่าร้อยละ พบว่านักเรียนที่เรียนโดยใช้การเรียนรู้แบบกระบวนการกลุ่มมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน

วิชาสังคมศึกษา 1 สูงขึ้น คิดเป็นร้อยละ 52.80 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ แสดงว่าการเรียน

การสอนโดยใช้กระบวนการกลุ่มช่วยพัฒนาการเรียนการสอนสูงขึ้น

อภิปรายผลการศึกษา

จากการศึกษาเรื่องผลการเรียนรู้แบบกระบวนการกลุ่มภายในชั้นเรียนร่วมกันเพื่อให้เกิด

ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาสังคมศึกษาฯ ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 อภิปราย

ผลได้ดังนี้

จากการสอนโดยใช้กระบวนการกลุ่มภายชั้นเรียนร่วมกัน เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์

ทางการเรียนสูงขึ้น ตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ นักเรียนมีพัฒนาการและสามารถเรียนรู้ได้อย่าง

เหมาะสมสอดคล้องกับแนวคิดทฤษฎีของ เคิร์ท เลวิน กล่าวโดยสรุปดังนี้ การรวมกลุ่มจะเกิด

ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในกลุ่มในด้านการกระทำ ความรู้สึก ความคิด สมาชิกจะมีการปรับตัว

เข้าหากัน พยายามช่วยเหลือกันทำงาน โดยอาศัยความสามารถของแต่ละบุคคล ซึ่งจะทำให้

การปฏิบัติงานล่วงไปได้ตามเป้าหมายของกลุ่มและสอดคล้องกับเทคนิคคู่คิดร่วม(Think Pair Share)

เป็นเทคนิคที่เริ่มจากปัญหาที่ครูผู้สอนกำหนดนักเรียนแต่ละคน คิดหาคำตอบด้วยตนเองก่อน

แล้วนำคำตอบของตนเองถูกต้องหรือดีที่สุด จึงนำคำตอบมาเล่าให้เพื่อนทั้งชั้นเรียนฟัง ซึ่งเป็นกระบวน

การที่ผู้เรียนค้นพบด้วยตนเอง ผู้เรียนมีโอกาสเรียนรู้เนื้อหาวิชา จากการมีส่วนร่วมในกิจกรรม

ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง จดจำได้ดี อันจะนำไปสู่การปรับเปลี่ยนเจตคติและ

พฤติกรรมของตนได้รวมทั้งสามารถนำไปสู่การพัฒนาบุคลิกภาพทุกด้านของผู้เรียน

จากเหตุผลดังกล่าวนี้ส่งผลให้นักเรียนที่เรียนด้วยกระบวนการกลุ่มภายในชั้นเรียนร่วมกันเพื่อให้เกิด

ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย คือนักเรียนประมาณร้อยละ

52.80 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในระดับคะแนนมากกว่า 50 คะแนน คือสูงกว่าระดับ 3

โพสต์โดย ครูออง : [7 ธ.ค. 2566 (08:45 น.)]
อ่าน [1248] ไอพี : 1.47.13.164
หากข้อความนี้ไม่เหมาะสม คลิก คลิกปุ่มนี้ หากเห็นว่าข้อความนี้ไม่เหมาะสม
 
 

โปรดอ่านกฎกติกาก่อนแสดงความเห็น
1. ข้อความของท่านจะขึ้นแสดงโดยอัตโนมัติทันทีที่ได้รับข้อมูล
2.
ห้ามโพสต์ ข้อความยั่วยุให้เกิดความรุนแรงทางสังคม ข้อความที่ก่อให้เกิดความเสียหายและเสื่อมเสียต่อบุคคลที่สาม, เบอร์โทรศัพท์,
รูปภาพที่ไม่เหมาะสมต่อเยาวชนหรือภาพลามกอนาจาร หรือกระทบถึงสถาบันอันเป็นที่เคารพ
ขอให้ผู้ตั้งกระทู้รับผิดชอบตัวเอง
และรับผิดชอบต่อสังคม ถ้ารูปภาพ หรือข้อความใดส่งผลกระทบต่อบุคคลอื่น ทีมงานพร้อมจะส่งรายละเอียดให้เจ้าหน้าที่
เพื่อตามจับตัวผู้กระทำผิดต่อไป

3.
สมาชิกที่โพสต์สิ่งเหล่านี้ อาจถูกดำเนินคดีทางกฎหมายจากผู้เสียหายได้
4. ไม่อนุญาตให้มีการโฆษณาสินค้าใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งทางตรงและทางอ้อม
5. ทุกความคิดเห็นเป็นข้อความที่ทางผู้เยี่ยมชมเข้ามาร่วมตั้งกระทู้ในเว็บไซต์ ทางเว็บไซต์ kroobannok.com ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น
6. ทางทีมงานขอสงวนสิทธิ์ในการลบกระทู้ที่ไม่เหมาะสมได้ทันที โดยไม่ต้องมีการชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของความเห็นนั้นทั้งสิ้น

7. หากพบเห็นรูปภาพ หรือข้อความที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งมาที่อีเมล์ kornkham@hotmail.com เพื่อทำการลบออกจากระบบต่อไป


 ** พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐**

ขออภัยในความไม่สะดวก เนื่องจากเราประสบปัญหา
มีผู้โพสต์ข้อความที่หมิ่นเหม่และไม่เหมาะสมเป็นจำนวนมาก
ครูบ้านนอกดอทคอมจึงขอความร่วมมือสมาชิก
กรุณาเข้าสู่ระบบก่อนแสดงความเห็นครับ


  

สมัครสมาชิกใหม่
 

 

Advertisement

≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡

เปิดอ่าน 21,577 ครั้ง
วิธีดูแลเล็บให้สวยงามแข็งแรง
วิธีดูแลเล็บให้สวยงามแข็งแรง

เปิดอ่าน 13,312 ครั้ง
"อัญชัน"..ผมงามและช่วยในการมองเห็น - ดินดีสม เป็นนาสวน
"อัญชัน"..ผมงามและช่วยในการมองเห็น - ดินดีสม เป็นนาสวน

เปิดอ่าน 25,004 ครั้ง
นานาไอเดีย แปลงยางรถยนต์เก่า มาใช้อย่างเก๋ไก๋ ทำไว้ใช้เองที่บ้าน/ที่โรงเรียน หรือทำขายเป็นอาชีพเสริมก็ได้
นานาไอเดีย แปลงยางรถยนต์เก่า มาใช้อย่างเก๋ไก๋ ทำไว้ใช้เองที่บ้าน/ที่โรงเรียน หรือทำขายเป็นอาชีพเสริมก็ได้

เปิดอ่าน 15,390 ครั้ง
ทำไมคนไทยปฏิรูปการศึกษาไม่ได้ผล
ทำไมคนไทยปฏิรูปการศึกษาไม่ได้ผล

เปิดอ่าน 19,685 ครั้ง
การผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ
การผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ

เปิดอ่าน 26,032 ครั้ง
การศึกษาและเปรียบเทียบสาเหตุการย้ายของข้าราชการครู
การศึกษาและเปรียบเทียบสาเหตุการย้ายของข้าราชการครู

เปิดอ่าน 15,664 ครั้ง
10 ลักษณะนิสัยแห่งผู้ประสบความสำเร็จ
10 ลักษณะนิสัยแห่งผู้ประสบความสำเร็จ

เปิดอ่าน 4,230 ครั้ง
ประวัติ ชัชชาติ สิทธิพันธ์ุ ผู้ชนะการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
ประวัติ ชัชชาติ สิทธิพันธ์ุ ผู้ชนะการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร

เปิดอ่าน 7,940 ครั้ง
คัดเลือกคนจากสถาบัน
คัดเลือกคนจากสถาบัน

เปิดอ่าน 12,962 ครั้ง
เตาอบไมโครเวฟ ทำให้เกิดโรคมะเร็งได้ไหม
เตาอบไมโครเวฟ ทำให้เกิดโรคมะเร็งได้ไหม

เปิดอ่าน 61,575 ครั้ง
แนวทางปฏิบัติในการจัดหาพัสดุด้วยวิธี e - market และด้วยวิธี e-bidding
แนวทางปฏิบัติในการจัดหาพัสดุด้วยวิธี e - market และด้วยวิธี e-bidding

เปิดอ่าน 13,615 ครั้ง
ข่า...ยาดีคู่ครัวไทย
ข่า...ยาดีคู่ครัวไทย

เปิดอ่าน 2,501 ครั้ง
อุตสาหกรรมยุคใหม่ ทำไมต้องเข้าใจเรื่อง Smart Warehouse
อุตสาหกรรมยุคใหม่ ทำไมต้องเข้าใจเรื่อง Smart Warehouse

เปิดอ่าน 17,115 ครั้ง
ระเบียบทำงานนอกเวลาราชการ
ระเบียบทำงานนอกเวลาราชการ

เปิดอ่าน 9,425 ครั้ง
ออกกำลังหนักช่วงสั้นๆ หนีโรคหัวใจได้ดีกว่าออกกำลังระยะยาว
ออกกำลังหนักช่วงสั้นๆ หนีโรคหัวใจได้ดีกว่าออกกำลังระยะยาว

เปิดอ่าน 19,161 ครั้ง
มโนทัศน์ของเทคโนโลยีการศึกษา
มโนทัศน์ของเทคโนโลยีการศึกษา
เปิดอ่าน 27,331 ครั้ง
สอนทำ header hi5 ด้วย photoshop
สอนทำ header hi5 ด้วย photoshop
เปิดอ่าน 8,847 ครั้ง
พัฒนาไปไกล! อังกฤษตั้งทีมวิจัยศึกษา 5G แล้ว
พัฒนาไปไกล! อังกฤษตั้งทีมวิจัยศึกษา 5G แล้ว
เปิดอ่าน 64,140 ครั้ง
"นายกรัฐมนตรี" อธิบาย "ไทยแลนด์ 4.0" และ "คนไทย 4.0" ให้เข้าใจง่าย
"นายกรัฐมนตรี" อธิบาย "ไทยแลนด์ 4.0" และ "คนไทย 4.0" ให้เข้าใจง่าย
เปิดอ่าน 10,926 ครั้ง
แก้ปวดหัวด้วยน้ำ
แก้ปวดหัวด้วยน้ำ

รายการหลัก

หน้าแรก
ข่าว/บทความ
สมุดเยี่ยม
กระดานสนทนา
เว็บลิงค์
ผู้จัดทำเว็บครูบ้านนอก
ข้อมูลบุคคล
ภาพกิจกรรม
ผู้สนับสนุน

สมาชิก

เข้าสู่ระบบ
คุณครูต้องรู้ไว้
รวมแบบฟอร์มต่างๆ

เว็บน่าสนใจ

เว็บไซต์ สพฐ.
กระทรวงศึกษาธิการ
เครื่องมือวิทยาศาสตร์
เครื่องมือวัด
เครื่องมืออุตสาหกรรม
เกมส์
แหล่งรวมเกมส์

แหล่งรวมเกมส์
สพป.มุกดาหาร



 เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ มากมาย
เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ คลายเครียด

เกมส์ รวมเกมส์ เกมส์แข่งรถ เกมส์ต่อสู้ เกมส์ภาษา เกมส์วางระเบิด เกมส์แต่งตัว เกมส์ท่องเที่ยว เกมส์หมากฮอส เกมส์ผจญภัย เกมส์เต้น เกมส์รถ เกมส์ดนตรี เกมส์ขายของ เกมส์ฝึกสมอง เกมส์เด็กๆ เกมส์ปลูกผัก เกมส์การ์ด เกมส์จับผิดภาพ เกมส์ตลก เกมส์ตัดผม เกมส์ก้านกล้วย เกมส์ทําอาหาร เกมส์เลี้ยงสัตว์ เกมส์ผี เกมส์จับคู่ เกมส์กีฬา เกมส์เศรษฐี เกมส์ฝึกทักษะ เกมส์วางแผน เกมส์จีบหนุ่ม เกมส์มาริโอ เกมส์ระบายสี เกมส์จีบสาว เกมส์เบ็นเท็น เกมส์ยิง เกมส์ยาน เกมส์สร้างเมือง เกมส์มันส์ๆ เกมส์แต่งบ้าน เกมส์ความรู้
      kroobannok.com

© 2000-2020 Kroobannok.com  
All rights reserved.


Design by : kroobannok.com


ครูบ้านนอกดอทคอม
การจัดอันดับของ Truehits Web Directory

วิธีนำแบนเนอร์ของครูบ้านนอก.คอมไปแปะในเว็บท่าน บันทึกภาพแบนเนอร์นี้และลิงค์มาที่เราครับ (มีแบนเนอร์ 2 แบบ)
 

ครูบ้านนอกดอทคอม เว็บไซต์ของครูตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ที่หวังเพียง ใช้เป็นช่องทางในการสื่อสาร แลกเปลี่ยน เพิ่มพูนความรู้ และให้ข่าวสาร ที่ทันสมัยต่อเหตุการณ์แก่คุณครู ผู้ปฏิบัติงานในทุกพื้นที่ของประเทศไทย เพื่อความเจริญงอกงามในปัญญา และเจริญก้าวหน้าในวิชาชีพ

เว็บนี้ถือกำเนิดเมื่อ 5 มกราคม 2548

Email : kornkham@hotmail.com
Tel : 096-7158383

สนใจสนับสนุนเรา โดยลงโฆษณา
คลิกดูรายละเอียดที่นี่ครับ