ชื่อผลงาน การพัฒนาทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยด้วยกระบวนการเรียนรู้ KSA
ผู้จัดทำ นางสาวสุภารัตน์ ช่วงบัญญัติ
โรงเรียน บ้านดงซ่อม ตำบลโกสัมพี อำเภอโกสัมพีนคร จังหวัดกำแพงเพชร
สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากำแพงเพชร เขต 1
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มุ่งพัฒนาทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยด้วยกระบวนการเรียนรู้ ระดับชั้นอนุบาลปีที่ 2 โรงเรียนบ้านดงซ่อม โดยมีวัตถุประสงค์ของการวิจัยดังต่อไปนี้ การวิจัยครั้งนี้ 1. เพื่อศึกษาผลของการพัฒนาทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยด้วยกระบวนการเรียนรู้ KSA โดยมีจุดมุ่งหมายดังนี้ 2. เพื่อส่งเสริมให้เด็กมีทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาตร์ ผ่านกิจกรรมทดลองทางวิทยาศาสตร์ 3. เพื่อพัฒนาทักษะทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยด้วยกระบวนการเรียนรู้ KSA 4. เพื่อพัฒนาให้เด็กมีทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ ผ่านกระบวนการทดลองที่เน้นการลงมือปฏิบัติจริง โดยการจัดกิจกรรมทดลองวิทยาศาสตร์ จำนวน 10 กิจกรรมทดลอง เพื่อพัฒนาทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ 81 ทักษะ ประกอบด้วย ทักษะการสังเกตทักษะการจำแนกประเภท ทักษะการวัด ทักษะการคำนวณ ทักษะการสื่อความหมาย ทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล ทักษะการใช้ตัวเลขและทักษะการพยากรณ์ ประกอบด้วยขั้นตอนการพัฒนาทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยด้วยกระบวนการเรียนรู้ KSA การวิจัยครั้งนี้ได้ศึกษาแนวทางการพัฒนาทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัย จากทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับทางการพัฒนาทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัย เพื่อเป็นแนวทางในการสร้างรูปแบบการพัฒนาทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยด้วยกระบวนการเรียนรู้ KSA เพื่อพัฒนาทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัย โดยใช้กิจกรรมการทดลองวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยปีที่ 2 โรงเรียนบ้านดงซ่อม ปีการศึกษา 2565 จำนวน 14 คน ได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง
เครื่องมือประกอบการใช้รูปแบบการสอน ได้แก่ ขั้นสร้างรูปแบบการสอนเพื่อการพัฒนาพัฒนาทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ เริ่มจากสร้างกรอบแนวคิดที่เกี่ยวข้อง ทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัย ด้วยการศึกษาเอกสาร นิยามศัพท์ และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้เชิงรุก และรูปแบบการจัดการเรียนรู้ เพื่อหาแนวทางในการกำหนดกรอบแนวคิด และกำหนดรูปแบบของขั้นตอนการเรียนการสอนเชิงรุก และแนวทางการประยุกต์ใช้สรุปเป็นแนวทางการทำวิจัย และพัฒนาทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยด้วยกระบวนการเรียนรู้ KSA พบว่า ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของไวก็อตสกี้ Vygotsky ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาแนวคิดของ Piaget ทฤษฎีเกี่ยวกับการสอนของ บรูเนอร์ (Bruner) และผู้นำแนวคิดทฤษฎีพื้นฐานในการจัดการศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัย ล็อก (Lock) รุสโซ (Rousseau) ฟรอยด์ (Freud) กีเซล (Gesell) เพียเจต์ (Piaget) จากการศึกษาเอกสาร นิยามศัพท์ และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องได้ข้อสรุปว่า การจัดกิจกรรมทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กนั้น ต้องจัดประสบการณ์ตามพื้นฐานความคิด หลักการ และทฤษฎีของนักการศึกษา โดยนำแนวคิดมาจาก กิจกรรมทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ให้เหมาะสมสอดคล้องกับพัฒนาการของเด็ก ซึ่งแต่ละคนมีพัฒนาการแตกต่างกัน ซึ่งในแต่ละแนวคิดนั้นจะมีจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับความเชื่อ และความเหมาะสมในการเลือกไปปฏิบัติของแต่ละบุคคล แต่การจัดสำหรับเด็ก กิจกรรมทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ปฐมวัยจะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ หรือไม่ ขึ้นอยู่กับครูว่าจะสามารถจัดให้สอดคล้องกับกิจกรรมทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ พัฒนาการ และความแตกต่างของเด็กในแต่ละคนได้อย่างไร และกิจกรรมที่ครูจัดนั้น เด็กได้มีโอกาสในการลงมือปฏิบัติด้วยตนเองมากน้อยเพียงใด ด้วยกิจกรรมการส่งเสริมการพัฒนาทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยด้วยกระบวนการเรียนรู้ KSA ด้วยกิจกรรมทดลองวิทยาศาสตร์
ขั้นสร้างรูปแบบการสอนนอกจากผู้วิจัยจะทารสร้างรูปแบบการสอนแล้วยังเป็นการสร้างเครื่องมือประกอบการใช้รูปแบบการสอน ได้แก่
1) กำหนดแผนการจัดประสบการณ์การทดลองวิทยาศาตร์เพื่อจัดกิจกรรมการทดลองสำหรับเด็กปฐมวัยตามรูปแบบตามกระบวนการเรียนรู้ KSA
2) สร้างแผนการจัดประสบการณ์การทดลองวิทยาศาตร์ของเด็กปฐมวัย ชั้นอนุบาลปีที่ 2 ประกอบด้วยขั้นตอนกระบวนการเรียนรู้ KSA ดังนี้
1. Knowledge ด้านความรู้
2. Skill ด้านทักษะ
3. Attribute ด้านคุณลักษณะนักวิทย์รุ่นเยาว์
กำหนดแผนการจัดประสบการณ์การทดลองวิทยาศาตร์เพื่อจัดกิจกรรมการทดลองสำหรับเด็กปฐมวัยตามรูปแบบตามกระบวนการเรียนรู้ KSA
2) สร้างแผนการจัดประสบการณ์การทดลองวิทยาศาตร์ของเด็กปฐมวัย ชั้นอนุบาลปีที่ 2 ประกอบด้วยขั้นตอนกระบวนการเรียนรู้ KSA ดังนี้
1. Knowledge ด้านความรู้
2. Skill ด้านทักษะ
3. Attribute ด้านคุณลักษณะนักวิทย์รุ่นเยาว์
3) การปฏิบัติกิจกรรมดำเนินการตามขั้นตอนดังนี้
1. วิเคราะห์ผู้เรียน หลักการ และแนวคิดการพัฒนาทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัย
2. ประชุม ออกแบบ กำหนดวัตถุประสงค์การพัฒนา ผู้บริหาร คณะครู และครูปฐมวัยประชุมชี้แจง กำหนดวัตถุประสงค์การพัฒนาตามหลักสูตร และหาแนวการพัฒนาทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัย
3. ศึกษาหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย ฉบับพุทธศักราช ๒๕๖๐
4. ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับหลักการ แนวคิด และความสำคัญการพัฒนาทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยมาใช้ในการจัดการเรียนรู้
5. กำหนดการอบแนวคิด ศึกษา ค้นคว้าหาแผนจัดประสบการณ์ ที่เหมาะสมกับบริบทในห้องเรียน โดยองค์รวม ความรู้ที่ได้มากำหนด เป็นกรอบแนวคิดเพื่อใช้เป็นแนวทาง ในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้
4) ศึกษารูปแบบการเขียนแผนการจัดกิจกรรมวิทยาศาสตร์
5) ออกแบบกิจกรรม ให้สอดคล้องกับบริบท ภายในห้องเรียน โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ตามหลักสูตรสถานศึกษาและหลักสูตรปฐมวัย 2560 เพื่อสอดแทรกเนื้อหาที่จะส่งเสริมพัฒนาการของเด็กและวางแผนการใช้แผนการจัดกิจกรรมใน 5 สัปดาห์
1. จัดกิจกรรมทดลองวิทยาศาสตร์เป็นเวลา 5 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 2 วัน วันละ 20 นาที ระยะเวลา 14.50 ถึง 15.10 น. รวม 10 ครั้ง
2. จัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ ใบงาน ชิ้นงานในการทำกิจกรรมทดลองวิทยาศาสตร์ที่ได้กำหนดไว้ในแต่ละวัน
3. กำหนดข้อตกลงในการทำกิจกรรมก่อนการลงมือทำกิจกรรมร่วมกันทุกครั้ง
- เมื่อสนทนาเกี่ยวกับอุปกรณ์โดยใช้คำถาม แล้วทุกคนชวยกันเตรียมวัสดุอุปกรณสําหรับการทดลอง
- ในขณะทำการทดลอง ระมัดระวังตลอดการทดลอง
- เมื่อทำกิจกรรมเสร็จให้ช่วยกันเก็บอุปกรณ์ต่าง ๆ เข้าที่ให้เรียบร้อยและล้างมือให้สะอาด
4. เด็กลงมือปฏิบัติกิจกรรม และใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ ตามขั้นตอนการทำกิจกรรม โดยศึกษาการทำกิจกรรมในแต่ละวัน
5. ระยะเวลาในการจัดกิจกรรมการทดลองวิทยาศาสตร์
- สัปดาห์ที่ 1 ทดลองกิจกรรม ภูเขาไฟระเบิด และทดลองกิจกรรม ลูกข่างหลากสี
- สัปดาห์ที่ 2 ทดลองอากาศมีแรงกระทำ และทดลองกิจกรรม พึ่บ
- สัปดาห์ที่ 3 ทดลองสัมผัสอากาศ และทดลองกิจกรรม เห็นอากาศ
- สัปดาห์ที่ 4 ทดลองการละลายของน้ำตาล และทดลองกิจกรรม น้ำจืดน้ำเค็ม
- สัปดาห์ที่ 5 ทดลองปั๊มขวดและลิฟต์เทียน และทดลองกิจกรรม ลมเอยลมพัด
6 . นำกิจกรรมไปใช้ในห้องเรียน จัดกิจกรรมการทดลองวิทยาศาสตร์
ขั้นนำ เป็นการนำเข้าสู่กิจกรรม ด้วยเด็กและครูสนทนาเกี่ยวกับกิจกรรมที่จะทำการทดลอง ให้เด็กได้สำรวจวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการทดลอง เพื่อให้เด็กเกิดทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ และให้เด็กคาดคะเนผลการทดลองร่วมกัน
ขั้นดำเนินกิจกรรม เป็นขั้นตอนที่เด็กร่วมกันวางแผนการทดลอง แล้วลงมือปฏิบัติการทดลองด้วยตนเอง โดยเด็กหยิบ จับ สัมผัส เห็นการเปลี่ยนแปลงระหว่างทำการทดลอง เห็นกระบวนการในการทดลอง และเห็นผลการทดลองด้วยตนเอง โดยครูใช้คำถามในขณะที่เด็กทดลอง เพื่อกระตุ้นให้เด็กเกิดทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์
ขั้นสรุป เป็นขั้นที่เด็ก และครูร่วมกันสรุปผลการทดลอง ว่าเป็นไปตามคาดคะเนไว้หรือไม่ โดยให้เด็กได้แสดงความคิดเห็น พร้อมอธิบายเหตุผลที่ได้จากการทดลอง
6) ติดตามประเมินผล หลังจากทำกิจกรรมสการทดลองวิทยาศาสตร์ เด็ก ๆ มีพัฒนาการตามวัตถุประสงค์ของกิจกรรม แสดงออกถึงสิ่งที่จะสื่อสารออกมาให้ครูผู้สอน และเพื่อนๆเข้าใจ ครูประเมินผลโดยใช้แบบประเมินพัฒนาการ หลังแผนการสอนจากการปฏิบัติของเด็ก ๆ ด้วยการสังเกตพฤติกรรม ในการทำกิจกรรม และผลงานของเด็ก
7) ผู้เรียนสะท้อนผลงานของตนเอง เด็ก ๆ อภิปรายผลงานหน้าชั้นเรียนหลังจากที่ได้ทำกิจกรรม
8) สะท้อนคุณภาพผู้เรียน อภิปรายสรุปผลการดำเนินกิจกรรม ครูผู้สอนรายงานผลการดำเนินกิจกรรมในที่ประชุม และนำเสนอผลการพัฒนาทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยด้วยกระบวนการเรียนรู้ KSA ตามวัตถุประสงค์ และความสำเร็จของการดำเนินกิจกรรม ตลอดจนปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินกิจกรรมในแต่ละขั้นตอน
การประเมินผล
1. สังเกตการณ์ทำกิจกรรม
2. สังเกตผลงานของเด็ก
9) เผยแพร่ผลงานนวัตกรรม นำนวัตกรรมรูปแบบการพัฒนาทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยด้วยกระบวนการเรียนรู้ KSA เผยแพร่ผลงานต่อไป
ผลการศึกษาพบว่า
ดังนั้นการส่งเสริมให้เด็กปฐมวัยมีทักษะทางวิทยาศาสตร์ จึงมีความจำเป็น โดยจะต้องคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลและเปิดให้เด็กสำรวจ สังเกต จำแนก เปรียบเทียบ สื่อความหมายด้วยวิธีการต่าง ๆ ที่เหมาะสมกับวัย ผ่านการลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง จะทำให้เด็กรู้จักคิดและใช้กระบวนการคิดอย่างมีเหตุผลและสามารถนา ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ ซึ่งทักษะทางวิทยาศาสตร์ นั้นเป็นทักษะพื้นฐานที่ไม่ซับซ้อน เด็กปฐมวัยสามารถเรียนรู้ด้วยการลงมือปฏิบัติได้เอง ซึ่งการจัดประสบการณ์การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ในระดับปฐมวัยนั้น เป็นการจัดกิจกรรมที่ให้เด็กได้ใช้ทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์โดยให้เด็กได้ลงมือปฏิบัติจริงเพื่อเรียนรู้ด้วยตนเองผ่านการจัดประสบการณ์และผ่านสื่อที่หาง่าย มีอยู่ในชีวิตประจำวัน จึงทำให้ไม่เป็นการสิ้นเปลืองการใช้ทรัพยากรอื่นเพิ่มขึ้น ในบางกิจกรรมคุณครูใช้สื่อของจริง ตัวอย่างเช่น การใช้จานกระดาษที่เหลือจาก
การดำเนินการวิจัยการพัฒนาทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยด้วยกระบวนการเรียนรู้ KSA เพื่อการพัฒนาพัฒนาทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยครั้งนี้ประกอบด้วย ขั้นสร้างรูปแบบการสสอน ขั้นปรับปรุงรูปแบบการสอน ขั้นทดลองใช้รูปแบบการสอนและขั้นขยายผลรูปแบบการสอนโดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
นักเรียนเกิดทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ โดยใช้กิจกรรมทดลองทางวิทยาศาสตร์ ผ่านการลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง จะทำให้เด็กรู้จักคิดและใช้กระบวนการคิดอย่างมีเหตุผลและสามารถนา ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
1. นักเรียนเกิดทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ ด้วยกระบวนการเรียนรู้ KSA ดังนี้
1. Knowledge ด้านความรู้
- นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์
- นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับกิจกรรมการทดลองวิทยาศาสตร์
- นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจ และสามารถปฏิบัติกิจกรรมการทดลองวิทยาศาสตร์สามารถปฏิบัติได้ด้วยตนเอง
- นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ นักเรียนได้รับรู้สิ่งแวดล้อมรอบตัวอย่างเข้าใจ และมีเหตุผล คิดเป็น ทำเป็นและแก้ปัญหาเป็น
2. Skill ด้านทักษะ
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่เด็กปฐมวัยได้เรียนรู้ 8 ทักษะ ดังนี้
ทักษะการสังเกต (Observation) หมายถึง การใช้ประสาทสัมผัสอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกัน ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น และผิวกาย เข้าไปสัมผัสโดยตรงกับวัตถุหรือเหตุการณ์โดยมีจุดประสงค์ที่จะหาข้อมูลซึ่งเป็นร้ายละเอียดของสิ่งนั้น ๆ โดยไม่ใส่ความคิดเห็นของผู้สังเกตลงไป ได้แก่การสังเกตเชิงคุณลักษณะ เช่น สี รูปร่าง ฯลฯ การสังเกต เชิงปริมาณ เช่น จำนวน ขนาด ฯลฯ และการสังเกตการเปลี่ยนแปลง เช่น จากการทดลองเพื่อดูการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติ
ทักษะการวัด (Measurement) หมายถึง ความสามารถในการใช้เครื่องมือวัด ชั่ง ตวง หาปริมาตรของสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้อง โดยมีหน่วยกำกับและรวมไปถึงการใช้เครื่องมืออย่างถูกต้องเหมาะสม การวัดเป็นทักษะที่ต่อเนื่องมาจากการสังเกตของเด็ก เช่น การกะปริมาณของสิ่งของที่เด็กสัมผัสอยู่ว่า สั้น ยาว หนัก เบา เล็ก ใหญ่ ฯลฯ
ทักษะการคำนวณ (Using Number) หมายถึง ความสามารถในการนับจำนวนของสิ่งของ และเด็กสามารถบอกค่าจำนวนของในแต่ละกลุ่มมีจำนวนเท่ากันหรือต่างกัน
ทักษะการจำแนกประเภท (massification) หมายถึง ความสามารถในการจัดจำแนกหรือเรียงลำดับวัตถุ หรือสิ่งที่อยู่ในปรากฎต่าง ๆ ออกเป็นหมวดหมู่โดยมีเกณฑ์ที่ใช้ในการจัดแบ่งวัตถุ หรือเหตุการณ์ออกเป็นประเภทต่าง ๆ ตั้งแต่ 2 ประเภทขึ้นไป ตามเกณฑ์ที่กำหนดเอาไว้ เกณฑ์นี้อาจเป็นความเหมือนความสัมพันธ์ภายใน หรือประโยชน์ใช้สอยอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น สี กลิ่น รส ขนาด รูปร่าง ลักษณะ เป็นต้น
ทักษะการหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปส และสเปสกับเวลา (Space / Space Relationship and Space/Time Relationship) หมายถึงความสามารถในการระบุความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งต่าง ๆ ได้แก่ ความสัมพันธ์ระหว่างมิติกับมิติ เช่น ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 มิติกับ 3 มิติ ความสัมพันธ์ระหว่างระยะทางไกลกับใกล้ของวัตถุ ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งที่อยู่หน้ากระจกเงากับภาพในกระจกเงา ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างมิติกับเวลา เช่น ความสัมพันธ์ของเวลาที่ใช้ตักน้ำใส่แก้ว กับตักน้ำใส่ขัน ความสัมพันธ์ของเวลาที่ใช้เดินไปยังประตูบ้านกับประตูรั้ว เป็นต้น
ทักษะการจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมทักษะการจัดกระทำและสื่อความหมายข้อมูล (Organizing Data and Communication) การที่จะฝึกเด็กให้มีทักษะในการสื่อความหมายที่ดีได้นั้นเด็กจะต้องรู้คำศัพท์ หรือความหมายของคำได้เป็นอย่างดี อีกทั้งจะต้องมีประสบการณ์ในการสื่อความหมายที่ถูกวิธีด้วยการพัฒนาทางด้านภาษา และความพร้อมในการอ่าน จะทำให้เด็กมีความสามารถในการสื่อความหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทักษะการจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมทักษะการลงความคิดเห็นจากข้อมูล (Inferring) เด็กเรียนวิเคราะห์ได้ว่า อะไรคือผลของการสังเกต และอะไรเป็นสิ่งที่ราพูดเอาเองหรือสรุปลงความเห็นเอาเอง
ทักษะการจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมทักษะการพยากรณ์ หรือการทำนาย (Prediction) การคาดคะเนหาคำตอบของคำถามที่สงสัยก่อนลงมือหาคำตอบโดยการใช้ความรู้ หรือประสบการณ์เดิมที่เคยมีมาก่อน มาช่วยในการคาดคะเนเหตุการณ์ ครูอาจจัดกิจกรรมที่ให้เด็กได้ฝึกคาดคะเน หรือเดาเหตุการณ์ที่ควรจะเป็น
3. Attribute ด้านคุณลักษณะนักวิทย์รุ่นเยาว์
นักวิทยาศาสตร์เป็นคนที่ทำงานเป็นกระบวนการอย่างมีระบบ และมีลักษณะนิสัยดังนี้
1. ช่างสังเกต หมายถึง การใช้ประสาทสัมผัสอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือประสาทสัมผัสทั้ง 5 คือ ตา หู จมูก ปาก และกาย เข้าไปสำรวจวัตถุ หรือปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในธรรมชาติหรือจากการทดลอง โดยไม่ใส่หรือเพิ่มความคิดเห็นของผู้สังเกตลงไป การสังเกต ทำให้พบเห็นสิ่งใหม่ ๆ ที่นำไปสู่การคิดค้นหาคำอธิบาย นำไปสู่การค้นพบกฎหรือทฤษฎีต่าง ๆ ตัวอย่างของนักวิทยาศาสตร์ที่ช่างสังเกต
2. ช่างคิดช่างสงสัยและอยากรู้อยากเห็น การเป็นคนช่างสงสัยหรืออยากรู้อยากเห็น คือเป็นผู้พยายามมองเห็นปัญหาจากการสังเกตว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น เช่น มีอะไรเกิดขึ้น ทำไมจึงเกิดขึ้นได้ และเกิดขึ้นได้อย่างไร ความสงสัยจะทำให้นักวิทยาศาสตร์พยายามศึกษาค้นคว้าหาเหตุผลด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ซึ่งทำให้ได้ความรู้ใหม่ทางวิทยาศาสตร์ ตัวอย่างของนักวิทยาศาสตร์ที่มีความช่างคิดช่างสงสัย
3. มีความเป็นเหตุเป็นผล ความรู้วิทยาศาสตร์เป็นความรู้ที่ต้องอธิบายได้ด้วยเหตุผล เมื่อผลเป็นอย่างนี้จะบอกได้ว่าเหตุเป็นอย่างไร หรือทราบสาเหตุก็จะบอกได้ผลเป็นอย่างไร ดังนั้นคนที่มีความเป็นเหตุเป็นผล คือ ผู้ที่เชื่อว่าเมื่อมีผลหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น ย่อมต้องมีสาเหตุที่ทำให้เกิด นักวิทยาศาสตร์มีวิธีค้นคว้าหาความรู้อย่างมีเหตุผล โดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์
4. มีความคิดริเริ่ม หมายถึง มีความกล้าที่จะคิด และทำสิ่งที่ผิดแปลกไปจากที่ผู้อื่นคิดหรือทำอยู่แล้วโดยเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและส่วนรวม
5. มีความพยายามและความอดทน คือ ความเป็นผู้มีจิตใจแน่วแน่ ไม่ท้อถอย แม้ว่าจะใช้เวลานานเพียงใดก็ตามก็ยังคงคิดศึกษาอยู่จนพบความสำเร็จ
2. เด็กเกิดทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ โดยใช้กิจกรรมทดลองทางวิทยาศาสตร์ ผ่านการลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง จะทำให้เด็กรู้จักคิดและใช้กระบวนการคิดอย่างมีเหตุผลและสามารถนา ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
สรุปผล
๑. การได้รับการนิเทศจากผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านดงซ่อม หัวหน้าฝ่ายวิชาการ มีบทบาท
สำคัญในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ สะท้อนความคิดในการจัดประสบการณ์เชิงบวก สร้างขวัญกำลังใจ และส่งเสริมให้ครูผู้สอนเป็นแบบอย่างในการพัฒนาที่เป็นผลมาจากการนิเทศ
2. เด็กเกิดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ด้วยกระบวนการ สืบเสาะหาความรู้ เกิดทักษะการคิดสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดแก้ปัญหา สามารถแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ
3. เด็กมีระเบียบวินัยในการทำงาน ผ่านกระบวนการทดลองที่เป็นขั้นตอนทางวิทยาศาสูตร์
4. เด็กมีความภาคภูมิใจในผลงานของตนเอง
5. เด็กเกิดการเรียนรู้และมีทักษะในการทำงานร่วมกับผู้อื่น
6. เด็กได้รับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ พร้อมทั้งได้กระบวนการคิด การแสดงออกทางผลงาน และยังช่วยให้พัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ดีขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง
7. เด็ก ๆ นำผลงานของตนเองไปจัดนิทรรศการ การนำเสนอผลงานในห้องเรียนและนำเสนอผลงานต่อผู้ปกครอง และนักเรียนระดับชั้นอื่น ๆ
8. แลกเปลี่ยนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ PLC เกี่ยวกับปัญหา การดำเนินงาน ความสำเร็จ และอุปสรรคในการจัดประสบการณ์ต่อเพื่อนครูในโรงเรียน
ข้อเสนอแนะ ข้อควรระวัง
๑. ครูควรกระตุ้นให้เด็กคิด สังเกตและให้เหตุผล โดยการใช้คำถามอย่างหลากหลาย ด้วยภาษาที่เข้าใจง่ายสำหรับเด็ก
๒. ครูควรส่งเสริมสร้างวินัยในชั้นเรียนไปพร้อมกับการทำกิจกรรม เช่น การรู้จักรอผู้อื่น มารยาทในฟังและการพูด
3. ครูควรกระตุ้นให้เด็กได้มีส่วนร่วมในการตั้งคำถามในสิ่งที่อยากเรียนรู้
4. ควรทำกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เด็กได้เกิด ทักษะและพัฒนาการมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มมากขึ้นและจะทำให้เห็นผลชัดเจนว่า เด็ก ๆ ที่ได้รับการจัดประสบการณ์มีพัฒนาการทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ที่ดีมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
5. ครูผู้สอนควรมีอุปกรณ์และสื่อการสอนที่หลากหลาย เน้นสื่อเทคโนโลยีเข้ามาเป็นผู้ช่วยในการจัดประสบการณ์ ทำให้การสอนมีความหลากหลาย เป็นการกระตุ้น ทำให้นักเรียนเกิดการอยากรู้อยากเรียน
6. ผลงานนวัตกรรมที่ได้สามารถนำมาเป็นแนวทางในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาของโรงเรียน ผลงานนวัตกรรมนำมาปรับปรุงการสอนของโรงเรียนให้มีการจัดการเรียนรู้ที่ดียิ่งขึ้น
แนวทางในการพัฒนาเพิ่มเติมให้ประสบผลสำเร็จมากขึ้น
๑. ศึกษาหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย ๒๕๖๐ ด้านคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ของเด็กปฐมวัย
๒. ขณะจัดกิจกรรมการจัดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ ควรมีขั้นนำที่น่าสนใจ แปลกใหม่ในทุก ๆ ครั้งที่จัด เพื่อเป็นการเร้าความสนใจของเด็ก และช่วยให้เด็กมีสมาธิก่อนการจัดกิจกรรมวิทยาศาสตร์
๓. ศึกษาการส่งเสริมพัฒนาการทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ศึกษาการเขียนแผน เพื่อให้ตรงกับนวัตกรรมที่จะนำมาใช้ในการจัดประสบการณ์ ให้คำนิยาม ของหัวข้อที่จะทำการศึกษา
๔. ครูควรมีบทบาทในการดูแลให้ความช่วยเหลือให้คำแนะนำเมื่อเด็กต้องการกระตุ้นเด็กโดยให้เด็กได้ทดลองทำตามความคิดของตนเองให้แรงเสริมกล่าวคำซมเขยในผลงานของเด็กทำให้เด็กมีความมั่นใจและตั้งใจในการทำกิจกรรม
3. จัดกิจกรรมเน้นกระบวนการวิเคราะห์เพื่อให้เด็กหาความรู้ด้วยตนเอง
4. การที่ครูปฐมวัยจะจัดกิจกรรมวิทยาศาสตร์เพื่อให้เด็กมีทักษะพื้นฐาน กระบวนการและสาระวิทยาศาสตร์เบื้องต้นนั้น บทบาทสำคัญสำหรับครูที่จะทำให้เกิดตามวัตถุประสงค์ดังกล่าว มีดังนี้
- สร้างบรรยากาศการเรียนรู้ให้มีความอบอุ่น ไม่เครียด สร้างเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้
- หลีกเลี่ยงการพูดมากจนเกินไป กระตุ้นให้เด็กอยากลงมือกระทำในจังหวะที่เหมาะสม
- จัดเตรียมอุปกรณ์ให้เพียงพอสำหรับใช้ในการทดลอง
- ดูแลอย่างใกล้ชิด หลีกเลี่ยงการเข้าไปช่วยเหลือโดยไม่จำเป็น
- เก็บรวบรวมข้อมูล หลักฐาน และความรู้ต่าง ๆ
- ส่งเสริมให้เด็กสะท้อนความคิดและถามคำถามที่่กระตุ้นให้เด็กได้คิด
- วัดประเมินผลหลังการจัดกิจกรรม
การพัฒนาทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยด้วยกระบวนการเรียนรู้ KSA ช่วยให้เด็กมีทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ 8 ทักษะ ประกอบด้วย ทักษะการสังเกต ทักษะการจำแนกประเภท ทักษะการวัด ทักษะการคำนวณ ทักษะการสื่อความหมาย ทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล ทักษะการใช้ตัวเลขและทักษะการพยากรณ์ เด็กได้สำรวจ สังเกต จำแนก เปรียบเทียบ สื่อความหมายด้วยวิธีการต่าง ๆ ที่เหมาะสมกับวัย ผ่านการลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง จะทำให้เด็กรู้จักคิดและใช้กระบวนการคิดอย่างมีเหตุผลและสามารถนา ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
ประโยชน์ที่เกิดจากผลงาน/นวัตกรรม
1. ผู้อำนวยการและคณะครูในโรงเรียน ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดและจัดประสบการณ์โดยการใช้กระบวนการเรียนรู้ KSA เพื่อการพัฒนาทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัย นำมาใช้ในการส่งเสริมและพัฒนากระบวนการจัดประสบการณ์เรียนรู้ต่อผู้เรียน
2. แลกเปลี่ยนการเรียนรู้ทางวิชาชีพพี PLC เกี่ยวกับปัญหาการดำเนินงานความสำเร็จและอุปสรรคในการจัดประสบการณ์ต่อเพื่อนครูในโรงเรียน
3. สถานศึกษาได้รับความไว้วางใจในการจัดประสบการณ์ในระดับปฐมวัยจากชุมชนในเขตบริการของโรงเรียน และนอกเขตบริการอย่างต่อเนื่องทุกปี
4. ผู้ปกครองมีความรู้ความเข้าใจในการส่งเสริมการพัฒนาทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัย และให้การสนับสนุนร่วมมือในการดำเนินกิจกรรมของครูผู้สอน
5. ชุมชนจัดการศึกษาที่สนองนโยบายสอดคล้องกับมาตรฐานและพระราชบัญญัติการศึกษาชาติ
6. เด็กได้รับการส่งเสริมการพัฒนาทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัย โดยการใช้กระบวนการเรียนรู้ KSA
7. ช่วยส่งเสริมพัฒนาการทั้ง ๔ ด้าน ด้านร่างกาย จิตใจ-อารมณ์ สังคมและสติปัญญา
8. เด็กได้พัฒนาความสามารถในการค้นคว้า สืบสอบสิ่งต่าง ๆ
9. เด็กได้รับการพัฒนาทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ 8 ทักษะ
10.เด็กกระตือรือร้น อยากรู้อยากเห็น ตอบสนอง ความต้องการตามธรรมชาติของเด็ก
11.เด็กมีประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์
12.เด็กมีอิสระในการคิด การเลือกทำกิจกรรมตาม ความพึงพอใจ
13.ช่วยให้เด็กเป็นนักคิด นักค้นคว้า ทดลอง เพื่อ ส่งเสริมให้เด็กสัมผัสและปฏิบัติด้วยตนเอง
สิ่งที่ช่วยให้ประสบความสำเร็จ
1. ผู้บริหารตระหนักเห็นความสำคัญของทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัย มีวิสัยทัศน์ มีความรอบรู้ ความสามารถ มีภาวะผู้นำ และนิเทศกำกับติดตาม ดูแลให้ความช่วยเหลือ สนับสนุน ส่งเสริมสม่ำเสมอและเป็นไปอย่างต่อเนื่อง
2. ครูผู้สอนมีความมุ่งมั่น ในการจัดกิจกรรมในห้องเรียน โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ KSA เพื่อการพัฒนาทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัย ที่ดีขึ้น
3. คณะครูให้การสนับสนุน ช่วยเหลือให้คำปรึกษาและให้กำลังใจในการทำผลงาน
4. เด็กมีความสนใจ สนุกสนาน และเกิดความกระตือรือร้น ในการเรียน
5. ผู้ปกครองให้การสนับสนุน ช่วยเหลือ ดูแลเอาใจใส่ เด็ก ๆ เป็นอย่างมากและให้กำลังใจครูผู้สอนสม่ำเสมอและเป็นไปอย่างต่อเนื่อง
6. งบประมาณที่ได้รับจัดสรรในการดำเนินกิจกรรมมีความเหมาะสมและใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
7. การจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ KSA เพื่อการพัฒนาทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัย เป็นกระบวนการที่ผู้สอนพัฒนาขึ้นจากแนวคิด ทฤษฎีเกี่ยวกับการพัฒนาการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัย และแนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ จึงสามารถพัฒนาเด็กได้ตามวัตถุประสงค์ และประสบผลสำเร็จ
8. สื่อ วัสดุ อุปกรณ์ ที่ใช้มีทั้งสิ่งที่เด็กพบเห็นในชีวิตประจำวัน และมีสื่อ วัสดุที่แปลกใหม่ ที่เด็กไม่เคยเห็น ทำให้เด็กสนใจอยากเรียนรู้เพิ่มขึ้น