ค้นหาทุกอย่างในเว็บครูบ้านนอก :
ชุมชนครู บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียน แหล่งความรู้สำหรับครู นักเรียน ข่าวการศึกษา ห้องสมุดความรู้ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ และความรู้ทั่วไป เผยแพร่ผลงานวิชาการ ที่นี่


ค้นหากระทู้
ตั้งกระทู้คำถามใหม่ กลับหน้าที่แล้ว
 
การวิเคราะห์มโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับเศษส่วน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1

บทคัดย่อ

การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์และศึกษาสาเหตุของมโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับเศษส่วน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1โรงเรียนโคกกลางโนนคูณโนนศิลากลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนโคกกลางโนนคูณโนนศิลาที่เรียนในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวนนักเรียน15 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบทดสอบวัดมโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับเศษส่วนเป็นแบบอัตนัย และแบบสัมภาษณ์ กึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยวิธีการ วิเคราะห์งานเขียน(Task Analysis) และการบรรยายเชิงวิเคราะห์ (Analytic Description).

ผลการวิจัยพบว่า1)มโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับเศษส่วนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 พบ3ด้านเรียงจากมากไปน้อยได้ดังนี้ 1.1) มโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อน ด้านการแก้ปัญหา1.2) มโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนด้านทฤษฏีบท สัญลักษณ์และภาษาและ1.3) มโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนด้านทักษะ และความรู้2) สาเหตุของมโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับเศษส่วน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ได้แก่ นักเรียนขาดความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเศษส่วนในแก้โจทย์ปัญหา ขาดการตรวจสอบความถูกต้องสมบูรณ์ของคำตอบขาดทักษะในการคูณ การหารเศษส่วน และขาดทักษะในการอ่านจับใจความ แปลความหมาย นักเรียนขาดความพร้อมที่จะได้รับการถ่ายทอดในบางเรื่อง การถ่ายทอดของครู และจากประสบการณ์เดิมที่เรียนผ่านมาและชีวิตจริงของนักเรียน

สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ

สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะการวิจัยเรื่องการวิเคราะห์มโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับเศษส่วน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ตามลำดับดังนี้

1.วัตถุประสงค์การวิจัย

2. สรุปผลการวิจัย

3. อภิปรายผล

4. ข้อเสนอแนะ

วัตถุประสงค์การวิจัย

1. เพื่อวิเคราะห์มโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับเศษส่วน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนโคกกลางโนนคูณโนนศิลา

2. เพื่อศึกษาสาเหตุของมโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับเศษส่วน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนโคกกลางโนนคูณโนนศิลา

สรุปผลการวิจัย

1. ผลการวิเคราะห์มโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับเศษส่วนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 สรุปได้ 3 ด้านเรียงจากมากไปน้อยได้ดังนี้

1.1 มโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนด้านการแก้ปัญหา

1.1.1 ขาดความรู้ในการเลือกใช้วิธีแก้ปัญหาเกี่ยวกับเศษส่วน

1.1.2 นักเรียนละเลยข้อมูลที่จำเป็นในการแก้ปัญหาเกี่ยวกับเศษส่วน

1.1.3 แก้ปัญหาเกี่ยวกับเศษส่วนไม่สมบูรณ์

1.1.4 เสนอคำตอบคลาดเคลื่อนในการแก้ปัญหาเกี่ยวกับเศษส่วน

1.2 มโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนด้านทฤษฏีบท สัญลักษณ์และภาษา

1.2.1 บิดเบือนทฤษฏีบทหรือสมบัติเกี่ยวกับเศษส่วน

1.2.2 ใช้เครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ผิด

1.2.3 ใช้ภาษาคณิตศาสตร์ในการอธิบายความได้ไม่สมบูรณ์ ไม่ถูกต้อง ไม่ชัดเจน

1.3 มโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนด้านทักษะ และความรู้

1.3.1 ขาดทักษะเกี่ยวกับการคูณหรือการหารเศษส่วนที่จำเป็น

1.3.2 ขาดความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเศษส่วน

1.3.3 ขาดความรู้ในการเลือกใช้วิธีแก้ปัญหา เศษส่วนไม่เหมาะสม

2. ผลการหาสาเหตุของมโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับเศษส่วน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1

สรุปได้ 3 ด้านเรียงจากมากไปน้อยได้ดังนี้

2.1 ด้านการแก้ปัญหา

2.1.1 สาเหตุมโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนขาดความรู้ในการเลือกใช้วิธีแก้ปัญหาเกี่ยวกับเศษส่วน

1) นักเรียนขาดความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเศษส่วนในการแก้ไขโจทย์ปัญหา

2) นักเรียนขาดทักษะความชำนาญ การฝึกฝน ทำให้ขั้นตอนการแก้ไขปัญหาของนักเรียนเกิดความผิดพลาดส่งผลให้คำตอบผิด

3) นักเรียนขาดความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่โจทย์ต้องการถาม ละเลยข้อมูลจำเป็นจากโจทย์กำหนดมาให้ ขั้นตอนวิธีการทำที่จำเป็นในสิ่งโจทย์ที่ต้องการถาม จึงทำให้การแก้ไขโจทย์ปัญหาผิดขั้นตอน

2.1.2 สาเหตุมโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนนักเรียนละเลยข้อมูลที่จำเป็นในการแก้ปัญหา

1) นักเรียนขาดทักษะในการแก้ไขโจทย์ปัญหา

2) นักเรียนขาดข้อมูลที่จำเป็นที่กำหนดให้มาแก้ไขปัญหาให้สมบูรณ์

3) นักเรียนขาดความชำนาญขาดการฝึกฝน ทำให้ขั้นตอนการแก้ไขปัญหาของนักเรียนเกิดความผิดพลาดส่งผลให้คำตอบผิด

4) นักเรียนข้ามขั้นตอนละเลยข้อมูลในการแก้ไขปัญหา

2.1.3 สาเหตุมโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนแก้ปัญหาเกี่ยวกับเศษส่วนไม่สมบูรณ์

1) นักเรียนขาดความเข้าใจในการแก้ไขปัญหา

2) นักเรียนขาดการดำเนินการในขั้นตอนต่อไป

3) นักเรียนทำไม่เสร็จสิ้นในคำถามที่ต้องการ

2.1.4 สาเหตุมโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนเสนอคำตอบคลาดเคลื่อน

1) นักเรียนขาดการพิจารณาไตร่ตรอง อย่างรอบคอบ

2) นักเรียนมีพื้นฐานด้านการดำเนินการทางพีชคณิตที่ไม่ดี จึงทำให้นักเรียนสรุปคำตอบที่คลาดเคลื่อน

2.2 ด้านทฤษฏีบท สัญลักษณ์และภาษา

2.2.1 สาเหตุของการเกิดมโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนบิดเบือนทฤษฏีบทหรือสมบัติเกี่ยวกับเศษส่วน

1) นักเรียนนักเรียนขาดทักษะพื้นฐานในสมบัติของการหาร และการดำเนินการทางพีชคณิตผิดไป

2) นักเรียนขาดการฝึกฝน บิดเบือนทฤษฏีบทเช่น กลับเศษเป็นส่วนจากหารเป็นคูณแล้วดำเนินการทางพีชคณิต แต่นักเรียนทำโดยกลับเศษเป็นส่วนแล้วดำเนินการทางพีชคณิตทำเป็นการหารเศษหารเศษ ส่วนหารส่วน

2.2.2 สาเหตุของการเกิดมโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนการใช้เครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ผิด

1) นักเรียนเปลี่ยนจำนวนคละมาเป็นเศษเกินทำให้ลืมเครื่องหมาย

2) นักเรียนแสดงวิธีการหารโดยตัวหารกลับเศษให้เป็นส่วนจากการหารเป็นการคูณสัญลักษณ์ไม่เปลี่ยนคงสัญลักษณ์การหารเหมือนเดิม

2.2.3 สาเหตุของการเกิดมโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนใช้ภาษาคณิตศาสตร์ในการอธิบายความได้ไม่สมบูรณ์ไม่ถูกต้อง ไม่ชัดเจน

1) นักเรียนขาดการอธิบายจากประโยคเงื่อนไขทางภาษาที่สมบูรณ์

2) นักเรียนขาดทักษะการตีความของโจทย์ปัญหา

2.3 ด้านทักษะ และความรู้

2.3.1 สาเหตุมโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนขาดทักษะเกี่ยวกับการคูณหรือการหารเศษส่วนที่จำเป็น

2.3.2 นักเรียนขาดความเข้าใจเกี่ยวกับการคูณหรือการหารเศษส่วน ค่อนข้างต่ำ จึงทำให้การหาคำตอบไม่สมเหตุสมผล

1) นักเรียนขาดทักษะพื้นฐานในสมบัติของการหาร และการดำเนินการทางพีชคณิตผิดไป จึงทำให้การแก้ไขปัญหาไม่สมเหตุสมผลกับความเป็นจริง

2) นักเรียนขาดทักษะความชำนาญ การฝึกฝน ทำให้ขั้นตอนการแก้ไขปัญหาของนักเรียนเกิดความผิดพลาดส่งผลให้คำตอบผิด

2.3.3 สาเหตุมโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนขาดความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเศษส่วน

1) นักเรียนขาดทักษะพื้นฐาน ความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับเศษส่วน จึงทำให้นักเรียนสรุปคำตอบที่คลาดเคลื่อนออกไปจากคำตอบที่ถูกต้อง

2) นักเรียนขาดทักษะพื้นฐานในคุณสมบัติของการหาร และการดำเนินการทางพีชคณิตผิดไป จึงทำให้การแก้ไขปัญหาไม่สมเหตุสมผลกับความเป็นจริง

2.3.4 สาเหตุมโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนขาดความรู้ในการเลือกใช้วิธีแก้ปัญหา เศษส่วนไม่เหมาะสม

1) นักเรียนขาดความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเศษส่วนในการแก้ไขโจทย์ปัญหา

2) นักเรียนขาดทักษะความชำนาญ การฝึกฝน ทำให้ขั้นตอนการแก้ไขปัญหาของนักเรียนเกิดความผิดพลาดส่งผลให้คำตอบผิด

สรุปได้พบว่า สาเหตุของมโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับเศษส่วนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 พบว่านักเรียนขาดความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเศษส่วนในแก้โจทย์ปัญหา ขาดการตรวจสอบความถูกต้องสมบูรณ์ของคำตอบขาดทักษะในการคูณ การหารเศษส่วน และขาดทักษะในการอ่านจับใจความ แปลความหมาย นักเรียนขาดความพร้อมที่จะได้รับการถ่ายทอดในบางเรื่อง การถ่ายทอดของครู และจากประสบการณ์เดิมที่เรียนผ่านมาและชีวิตจริงของนักเรียน

อภิปรายผล

การอภิปรายผลการวิจัย เรื่องการวิเคราะห์มโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับเศษส่วน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผู้วิจัยขออภิปรายผลการวิจัย ดังนี้

1. การวิเคราะห์มโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับเศษส่วน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1

การวิเคราะห์มโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับเศษส่วน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 รายละเอียดการอภิปรายผลของแต่ละมโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อน เป็นดังนี้

1.1มโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนด้านการแก้ปัญหาจากการวิจัยพบว่านักเรียนมีมโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนด้านการแก้ปัญหา มี 4 ลักษณะย่อย ได้แก่นักเรียนขาดความรู้ในการเลือกใช้วิธีแก้ปัญหาเกี่ยวกับเศษส่วนละเลยข้อมูลที่จำเป็นในการแก้ปัญหาเกี่ยวกับเศษส่วนแก้ปัญหาเกี่ยวกับเศษส่วนไม่สมบูรณ์เสนอคำตอบคลาดเคลื่อนในการแก้ปัญหาเกี่ยวกับเศษส่วนทั้งนี้อาจเนื่องจาก นักเรียนขาดความเข้าใจในโจทย์ที่ต้องการถาม ขาดทักษะในการทำโจทย์ปัญหาที่จำเป็นในการแก้ปัญหาเกี่ยวกับเศษส่วนขาดความชำนาญขาดการฝึกฝนทำให้ขั้นตอนการแก้ปัญหาเกิดความผิดพลาดส่งผลให้คำตอบผิด ทำให้การแก้ไขโจทย์ปัญหาไม่สมบูรณ์ขาดความรู้พื้นฐานในเรื่องของสมบัติการเท่ากัน สมบัติการบวก และสมบัติการคูณจำนวนเต็ม ความไม่รอบคอบของนักเรียน และเขียนขั้นตอนในการแก้สมการไม่ถูกต้องละเลยข้อมูลที่จำเป็นจากโจทย์กำหนดมาให้ จึงทำให้การแก้ไขโจทย์ปัญหาผิดขั้นตอนซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของทัศนาพร คลังแก้ว (2532 : 2-16) พบว่า นักเรียนมีข้อพร่องโดยเรียงลำดับจากมากไปน้อยคือ บกพร่องในเทคนิคการทำ ไม่มีการตรวจสอบระหว่างการแก้ปัญหา การใช้ข้อมูลผิด บิดเบือนทฤษฎีบท กฎ สูตร บท นิยาม และสมบัติ และผิดพลาดในการใช้ภาษานักเรียนขาดทักษะในการดำเนินการทางพีชคณิต เช่น การบวก ลบ คูณ และหารจำนวนเต็ม และ ไม่ได้ตรวจสอบคำตอบที่ได้ ส่งผลให้คำตอบออกมาผิด ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของBarcellos(2005 : 98-114) พบว่านักเรียนไม่เข้าใจการดำเนินการที่ถูกต้อง และไม่สามารถใช้การดำเนินการที่ถูกต้องและงานวิจัยของ Colgan (1991 : 91-98),Kerslake (1986 : 164-174), Blando et al (1989 : 301-308), Gonzales et al( 2004 :1) และKoellner et al (2008 : 304-310) พบว่า นักเรียนมีความคลาดเคลื่อนทางเทคนิค (เช่นขาดทักษะพื้นฐานในการคำนวณ) มีมโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับการดำเนินการทาง พีชคณิต (เช่น การบวก การลบ การคูณและการหาร) ของเศษส่วนที่เท่ากัน เกิดความผิดพลาดใน การทำผิดลำดับขั้นตอน เช่น บวกก่อนคูณ บวกก่อนหาร ลบก่อนหาร ละเลยความสำคัญของ วงเล็บ มีความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง โดยเชื่อว่าการบวกมาก่อนการลบหรือการคูณมาก่อนการหาร มี ความคลาดเคลื่อนในการนับแบบรูป และนักเรียนส่วนใหญ่จะพิจารณาความหมายของเครื่องหมาย เท่ากับ ในเรื่องการคำนวณโดยไม่คำนึงถึงความหมายในเรื่องความสัมพันธ์เลย

1.2มโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนด้านทฤษฏีบท สัญลักษณ์และภาษาจากการวิจัยพบว่านักเรียนมีมโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนด้านการทฤษฎีบท สัญลักษณ์และภาษา 3ลักษณะย่อย ได้แก่ นักเรียนเกิดการบิดเบือนทฤษฏีบทหรือสมบัติเกี่ยวกับเศษส่วนใช้เครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ผิดใช้ภาษาคณิตศาสตร์ในการอธิบายความได้ไม่สมบูรณ์ ไม่ถูกต้อง ไม่ชัดเจน ทั้งนี้อาจเนื่องจาก นักเรียนขาดทักษะพื้นฐานในสมบัติของการหาร และการดำเนินการทางพีชคณิตผิดไป ขาดการฝึกฝน บิดเบือนทฤษฏีบทเช่น กลับเศษเป็นส่วนจากหารเป็นคูณแล้วดำเนินการทางพีชคณิต แต่นักเรียนทำโดยกลับเศษเป็นส่วนแล้วดำเนินการทางพีชคณิตทำเป็นการหารเศษหารเศษ ส่วนหารส่วนซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ Movshovitz-Hadar et al (1987 : 3-14)พบว่า นักเรียนจำทฤษฎีบท กฎ สูตร บทนิยาม และสมบัติผิด เมื่อนำมาใช้ในการแก้ปัญหาทำให้การแก้ปัญหาผิดพลาดนักเรียนขาดความเข้าใจในการนำสัญลักษณ์มาใช้ในการแสดงวิธีทำ หรือนักเรียนมีมโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนว่าสัญลักษณ์ที่ใกล้เคียงกันจะใช้แทนกันได้ ซึ่งเมื่อนักเรียนใช้สัญลักษณ์ดังกล่าวแล้วจะทำให้การแสดงวิธีทำและไม่สมเหตุสมผล และนักเรียนอ่านตีความโจทย์ปัญหาไม่เข้าใจ ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับความหมายของภาษาทางคณิตศาสตร์ อาจก่อให้เกิดความคลาดเคลื่อนที่จุดเริ่มต้นของการแก้ปัญหาซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ Vinner et al(1981 : 555-570) พบว่า วิจัยบางปัจจัยด้านพุทธ พิสัยที่เป็นสาเหตุของความผิดพลาดในการบวกเศษส่วน และได้จัดหมวดหมู่ความคลาด เคลื่อนที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาการบวกเศษส่วน ดังต่อไปนี้

1.การเสนอรายละเอียดที่ผิด ลืมบางส่วน

2.การวินิจฉัยการใช้ขั้นตอนวิธีการที่ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกัน

3.การเลือกประเภทของแนวเทียบ (Analogy) ที่ผิด การวางนัยทั่วไปที่ไม่เหมาะสม

4.การตีความสัญลักษณ์ผิด

5.ความล้มเหลวในการใช้ข้อความที่มีอยู่ตรวจสอบผลลัพธ์ในเนื้อหาใหม่

1.3มโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนด้านทักษะ และความรู้ จากการวิจัยพบว่านักเรียนมีมโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนด้านทักษะ และความรู้3ลักษณะย่อย ได้แก่ นักเรียนขาดทักษะเกี่ยวกับการคูณหรือการหารเศษส่วนที่จำเป็นขาดความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเศษส่วนขาดความรู้ในการเลือกใช้วิธีแก้ปัญหาเศษส่วนไม่เหมาะสมทั้งนี้อาจเนื่องจากนักเรียนไม่มีความเข้าใจในหลักการคูณหรือการหารเศษส่วนอย่างลึกซึ้งหรือจำมาผิด ๆ ส่งผลให้นักเรียนมีมโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนในการนำการคูณหรือการหารเศษส่วนมาใช้แก้ปัญหา ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาของ Barnard(1989 :3-20) พบว่านักเรียนสามารถหาคำตอบได้แต่ไม่เข้าใจเกี่ยวกับมโนทัศน์และหลักการพื้นฐานที่จำเป็น ไม่เข้าใจขั้นตอนวิธีที่ถูกต้อง และไม่มีความรู้เกี่ยวกับสัญลักษณ์ที่ใช้ทางคณิตศาสตร์นักเรียนขาดความเข้าใจในทฤษฎีความรู้ที่นำมาใช้ในการแก้ปัญหา เมื่อนักเรียนนำทฤษฎีนั้นมาแก้ปัญหา จึงส่งผลให้การแก้ปัญหาผิดพลาดและคำตอบผิด ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ Movshovitz-Hadar et al (1987 : 3-14)พบว่า นักเรียนจำทฤษฎีบท กฎ สูตร บทนิยาม และสมบัติผิด เมื่อนำมาใช้ในการแก้ปัญหาทำให้การแก้ปัญหาผิดพลาดและนักเรียนขาดทักษะพื้นฐานในการฝึกฝน ทำโจทย์ในวิธีการต่าง โดยใช้ขั้นตอนวิธีการที่ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัญหาที่ต้องการแก้ไข ทำให้การหาคำตอบไม่สมเหตุสมผล และเสียเวลาในการแสดงวิธีทำในแต่ละขั้นตอนซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ Vinner et al(1981 : 555-570) )พบว่าวิจัยบางปัจจัยด้านพุทธ พิสัยที่เป็นสาเหตุของความผิดพลาดในการบวกเศษส่วน และได้จัดหมวดหมู่ความคลาด เคลื่อนที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาการบวกเศษส่วน ดังต่อไปนี้

1.การเสนอรายละเอียดที่ผิด ลืมบางส่วน

2.การวินิจฉัยการใช้ขั้นตอนวิธีการที่ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกัน

3.การเลือกประเภทของแนวเทียบ (Analogy) ที่ผิด การวางนัยทั่วไปที่ไม่เหมาะสม

4.การตีความสัญลักษณ์ผิด

5.ความล้มเหลวในการใช้ข้อความที่มีอยู่ตรวจสอบผลลัพธ์ในเนื้อหาใหม่

2. สาเหตุของมโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับเศษส่วน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1

สาเหตุของมโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับเศษส่วนมโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนมีรายละเอียดการอภิปรายผลของแต่ละมโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อน เป็นดังนี้

2.1 มโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนด้านการแก้ปัญหาสาเหตุเกิดจากนักเรียนขาดความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเศษส่วนในการแก้ไขโจทย์ปัญหาทำให้ขั้นตอนการแก้ไขปัญหาของนักเรียนเกิดความผิดพลาดส่งผลให้คำตอบผิดขาดความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่โจทย์ต้องการถาม ละเลยข้อมูลจำเป็นจากโจทย์กำหนดมาให้ ขั้นตอนวิธีการทำที่จำเป็นในสิ่งโจทย์ที่ต้องการถาม จึงทำให้การแก้ไขโจทย์ปัญหาผิดขั้นตอนขาดข้อมูลทีจำเป็นที่กำหนดให้มาแก้ไขปัญหาให้สมบูรณ์ขาดความชำนาญขาดการฝึกฝนทำให้ขั้นตอนการแก้ไขปัญหาของนักเรียนเกิดความผิดพลาดส่งผลให้คำตอบผิดข้ามขั้นตอนละเลยข้อมูลในการแก้ไขปัญหาขาดการพิจารณาไตร่ตรอง อย่างรอบคอบมีพื้นฐานด้านการดำเนินการทางพีชคณิตที่ไม่ดี จึงทำให้ขาดความเข้าใจในการแก้ไขปัญหา ขาดการดำเนินการในขั้นตอนต่อไปทำไม่เสร็จสิ้นในคำถามที่ต้องการทั้งนี้อาจเนื่องมาจากนักเรียนแสดงวิธีทำเพื่อหาคำตอบจากโจทย์ปัญหาส่วนมากขาดความเข้าใจโจทย์จากสิ่งที่โจทย์กำหนดให้ไม่สมบูรณ์ เพื่อจะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาของเศษส่วน แล้วไม่มีการตรวจสอบคำตอบซึ่งอาจจะทำให้นักเรียนข้ามขั้นตอนที่จำเป็น ทำให้คำตอบที่ได้มาคลาดเคลื่อนไม่สมเหตุสมผลตามที่โจทย์ต้องการ ขาดความเข้าใจในคำถามที่โจทย์ต้องการถาม ขาดการดำเนินการในขั้นตอนต่อไป ทำไม่เสร็จสิ้นในคำถามที่ต้องการขาดการไตร่ตรอง อย่างรอบคอบจึงทำให้สรุปคำตอบออกมาไม่สมบูรณ์ไม่ตรวจคำตอบและไม่อ่านโจทย์ให้ถี่ถ้วน ซึ่งคล้องกับงานวิจัย ไข่มุก เลื่องสุนทร (2552) ได้กล่าวว่า การเกิดมโนทัศน์มติที่ไม่สมบูรณ์ เกิดจากนักเรียนขาดความระมัดระวังในการคิดคำนวณ หรือความไม่รอบคอบของนักเรียนในการแก้ไขปัญหา และนักเรียนไม่สามารถจับประเด็นได้ว่าโจทย์ให้ข้อมูลอะไรมาแล้วโจทย์ต้องการหาคำตอบอย่างไร ซึ่งส่งผลให้นักเรียนวิเคราะห์กรณีที่หาคำตอบที่สอดคล้องกับโจทย์ได้กำหนดให้ไม่สมบูรณ์

2.2 มโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนด้านทฤษฏีบท สัญลักษณ์และภาษาสาเหตุเกิดจากนักเรียนนักเรียนขาดทักษะพื้นฐานในสมบัติของการหาร และการดำเนินการทางพีชคณิตผิดไป

ขาดการฝึกฝน บิดเบือนทฤษฏีบทเช่น กลับเศษเป็นส่วนจากหารเป็นคูณแล้วดำเนินการทางพีชคณิต แต่นักเรียนทำโดยกลับเศษเป็นส่วนแล้วดำเนินการทางพีชคณิตทำเป็นการหารเศษหารเศษ ส่วนหารส่วนขาดการอธิบายจากประโยคเงื่อนไขทางภาษาที่สมบูรณ์ขาดทักษะการตีความของโจทย์ปัญหาเปลี่ยนจำนวนคละมาเป็นเศษเกินทำให้ลืมเครื่องหมายแสดงวิธีการหารโดยตัวหารกลับเศษให้เป็นส่วนจากการหารเป็นการคูณสัญลักษณ์ไม่เปลี่ยนคงสัญลักษณ์การหารเหมือนเดิมทั้งนี้อาจเนื่องมาจากนักเรียนหาผลหารเมื่อกลับเศษเป็นส่วนแล้วสัญลักษณ์ของการหารจะเปลี่ยนเป็นสัญลักษณ์การคูณจากสมบัติของการหาร โดยนักเรียนเข้าใจว่าไม่ต้องเปลี่ยนสัญลักษณ์ซึ่งทำให้เข้าใจไม่ถูกต้อง แล้วนักเรียนดำเนินการนำตัวเศษหารกับตัวเศษ ตัวส่วนหารกับตัวส่วน จึงทำให้เกิดความเข้าใจผิดทางทฤษฎีการหารเกี่ยวกับสัญลักษณ์ที่ใช้แก้ปัญหา และภาษาที่ใช้สื่อสารจากการถ่ายทอดความรู้เกิดขึ้นมโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อน เช่น นักเรียนเปลี่ยนจำนวนคละมาเป็นเศษเกินซึ่งมีค่าติดลบอยู่แล้วพอเปลี่ยนเศษเกินทำให้ลืมเครื่องหมายลบจากโจทย์ที่กำหนดให้ นักเรียนแสดงวิธีการหารโดยตัวหารกลับเศษให้เป็นส่วนจากการหารเป็นการคูณ สัญลักษณ์ไม่เปลี่ยนเครื่องหมาย นักเรียนมีมโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับภาษาและสามารถแก้ปัญหาได้บางส่วน แต่ไม่สามารถหาคำตอบของปัญหานั้นได้ถูกต้อง เนื่องจากการตีความภาษาทางคณิตศาสตร์ที่ไม่สมบูรณ์ ส่งผลให้นักเรียนไม่สามารถตรวจสอบคำตอบได้ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาของ ทัศนาพร คลังแก้ว (2532 : 2-16) ที่ได้สรุปผลเกี่ยวกับข้อบกพร่องในการทำแบบทดสอบคณิตศาสตร์ พบว่า นักเรียนมีข้อบกพร่องโดยเรียงลำดับจากมากไปน้อยคือ บกพร่องในเทคนิคการทำ ไม่มีการตรวจสอบระหว่างการแก้ปัญหา การใช้ข้อมูลผิด บิดเบือนทฤษฎีบท กฎ สูตร บท นิยาม และสมบัติ และผิดพลาดในการใช้ภาษา

2.3มโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนด้านทักษะ และความรู้ สาเหตุเกิดจากนักเรียนขาดความเข้าใจเกี่ยวกับการคูณหรือการหารเศษส่วน ค่อนข้างต่ำ จึงทำให้การหาคำตอบไม่สมเหตุสมผลขาดทักษะพื้นฐานในสมบัติของการหาร และการดำเนินการทางพีชคณิตผิดไป จึงทำให้การแก้ไขปัญหาไม่สมเหตุสมผลกับความเป็นจริงขาดทักษะความชำนาญ การฝึกฝน ทำให้ขั้นตอนการแก้ไขปัญหาของนักเรียนเกิดความผิดพลาดส่งผลให้คำตอบผิด ขาดทักษะพื้นฐาน ความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับเศษส่วน จึงทำให้นักเรียนสรุปคำตอบที่คลาดเคลื่อนออกไปจากคำตอบที่ถูกต้อง จึงทำให้การแก้ไขปัญหาไม่สมเหตุสมผลกับความเป็นจริง ขาดความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเศษส่วนในการแก้ไขโจทย์ปัญหา ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากนักเรียนขาดทักษะการฝึกฝน ขาดความรู้พื้นฐานในสมบัติของการหาร เช่น นักเรียนจะนำตัวเศษส่วนที่เป็นตัวตั้งมากลับเศษเป็นส่วน ส่วนตัวหารยังคงเหมือนเดิม และดำเนินการเหมือนการคูณเศษส่วน นั่นคือนำตัวเศษคูณกับตัวเศษ และตัวส่วนคูณกับตัวส่วน ซึ่งทำให้เกิดมโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนผิดจากความเป็นจริง ขาดทักษะความรู้พื้นฐานที่จำเป็นในด้านทักษะการตีความด้านภาษาแปลความหมายที่จำเป็นในการแก้ไขโจทย์ปัญหา ขาดความรู้พื้นฐานในเรื่องของสมบัติการหาร สมบัติการคูณ ของเศษส่วนจำนวนเต็ม และ นักเรียนขาดทักษะการคำนวณขาดความรู้พื้นฐานการคูณ การหาร จำนวนเต็มลบกับจำนวนเต็มบวก หรือจำนวนเต็มลบกับจำนวนเต็มลบ ซึ่งจะทำให้คำตอบผิดไป เช่น จำนวนเต็มลบหารด้วยจำนวนเต็มลบ นักเรียนจะตอบด้วยค่าที่จะติดลบ ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากประสบการณ์เดิมของนักเรียน ความรู้ที่สะสมมาในระดับที่ต่างกันของแต่ละคนซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาของ Barnard (1989 : 3-20) พบว่านักเรียนสามารถหาคำตอบได้ แต่ไม่เข้าใจเกี่ยวกับมโนทัศน์และหลักการพื้นฐานที่จำเป็น ไม่เข้าใจขั้นตอนวิธีที่ถูกต้อง และไม่มีความรู้เกี่ยวกับสัญลักษณ์ที่ใช้ทางคณิตศาสตร์

ข้อเสนอแนะ

ผลจากการทำวิจัยในครั้งนี้ทำให้ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะสำหรับครูผู้สอน นักวิจัยทางด้านคณิตศาสตรศึกษา และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้เรื่องเศษส่วนระดับมัธยมศึกษา ในประเด็นต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

1.ผลการวิจัยครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงลักษณะมโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนที่นักเรียนมีและครูควรใช้ลักษณะต่างๆ เหล่านี้ให้เป็นประโยชน์ในการสอน โดยที่ครูควรอธิบาย ลักษณะของมโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนว่าผิดอย่างไร และที่ถูกต้องอย่างไร เพื่อให้นักเรียนเกิดการเปรียบเทียบที่ชัดเจน ซึ่งจะทำให้มโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนในจุดนั้นน้อยลงและหลีกเลี่ยงลักษณะมโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนที่เกิดขึ้น

2.ครูควรสำรวจความรู้ ความเข้าใจมโนทัศน์เนื้อหาต่างๆ ของนักเรียนภายหลังการเรียนการสอนทุกครั้ง โดยการซักถามและการทดสอบจะทำให้ทราบว่านักเรียนแต่ละคนมีโนทัศน์ที่ถูกต้องหรือไม่ ครูควรนำผลที่ได้จากการจัดการเรียนรู้มาแก้ไขมโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนที่พบได้อีกด้วย เพื่อเป็นประโยชน์ในการปรับปรุงการเรียนการสอนต่อไป

3.ในการออกแบบตำราเรียนหรือเอกสารประกอบการสอน ควรให้ความสำคัญกับ การแก้ไขมโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวเศษส่วน

4. ในการสร้างเครื่องมือวัดผลและประเมินผล ควรมีการประเมินลักษณะมโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวเศษส่วนของนักเรียน ไม่ใช่แค่เพียงพิจารณาจากคำตอบว่าถูกต้องหรือไม่โดยอาจ ใช้กรอบแนวคิดในการอธิบายลักษณะมโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวเศษส่วนที่ได้จากงานวิจัยในครั้ง นี้เป็นแนวทางในการพิจารณาได้

โพสต์โดย ครูนัท : [14 ก.พ. 2566 เวลา 09:04 น.]
อ่าน [1823] ไอพี : 223.206.232.187
หากข้อความนี้ไม่เหมาะสม คลิก คลิกปุ่มนี้ หากเห็นว่าข้อความนี้ไม่เหมาะสม
 
 

โปรดอ่านกฎกติกาก่อนแสดงความเห็น
1. ข้อความของท่านจะขึ้นแสดงโดยอัตโนมัติทันทีที่ได้รับข้อมูล
2.
ห้ามโพสต์ ข้อความยั่วยุให้เกิดความรุนแรงทางสังคม ข้อความที่ก่อให้เกิดความเสียหายและเสื่อมเสียต่อบุคคลที่สาม, เบอร์โทรศัพท์,
รูปภาพที่ไม่เหมาะสมต่อเยาวชนหรือภาพลามกอนาจาร หรือกระทบถึงสถาบันอันเป็นที่เคารพ
ขอให้ผู้ตั้งกระทู้รับผิดชอบตัวเอง
และรับผิดชอบต่อสังคม ถ้ารูปภาพ หรือข้อความใดส่งผลกระทบต่อบุคคลอื่น ทีมงานพร้อมจะส่งรายละเอียดให้เจ้าหน้าที่
เพื่อตามจับตัวผู้กระทำผิดต่อไป

3.
สมาชิกที่โพสต์สิ่งเหล่านี้ อาจถูกดำเนินคดีทางกฎหมายจากผู้เสียหายได้
4. ไม่อนุญาตให้มีการโฆษณาสินค้าใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งทางตรงและทางอ้อม
5. ทุกความคิดเห็นเป็นข้อความที่ทางผู้เยี่ยมชมเข้ามาร่วมตั้งกระทู้ในเว็บไซต์ ทางเว็บไซต์ kroobannok.com ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น
6. ทางทีมงานขอสงวนสิทธิ์ในการลบกระทู้ที่ไม่เหมาะสมได้ทันที โดยไม่ต้องมีการชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของความเห็นนั้นทั้งสิ้น

7. หากพบเห็นรูปภาพ หรือข้อความที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งมาที่อีเมล์ kornkham@hotmail.com เพื่อทำการลบออกจากระบบต่อไป


 ** พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐**

ขออภัยในความไม่สะดวก เนื่องจากเราประสบปัญหา
มีผู้โพสต์ข้อความที่หมิ่นเหม่และไม่เหมาะสมเป็นจำนวนมาก
ครูบ้านนอกดอทคอมจึงขอความร่วมมือสมาชิก
กรุณาเข้าสู่ระบบก่อนแสดงความเห็นครับ


  

สมัครสมาชิกใหม่
 

 

Advertisement

≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡

เปิดอ่าน 207,119 ครั้ง
10 อาชีพในอนาคต ที่มีโอกาสประสบความสำเร็จอย่างสูงในไทย
10 อาชีพในอนาคต ที่มีโอกาสประสบความสำเร็จอย่างสูงในไทย

เปิดอ่าน 71,616 ครั้ง
เฉลยที่มาคำถาม ... "อยากให้พรุ่งนี้เป็นเมื่อวาน .. วันนี้จะได้เป็นวันศุกร์"
เฉลยที่มาคำถาม ... "อยากให้พรุ่งนี้เป็นเมื่อวาน .. วันนี้จะได้เป็นวันศุกร์"

เปิดอ่าน 16,372 ครั้ง
คลิปเณรน้อยอายุแค่ 3 ขวบ สวดมนต์ให้พรคล่องปรื๋อ (ชมคลิป)
คลิปเณรน้อยอายุแค่ 3 ขวบ สวดมนต์ให้พรคล่องปรื๋อ (ชมคลิป)

เปิดอ่าน 11,216 ครั้ง
มะเร็งลำไส้ใหญ่ เกิดจากกรรมพันธุ์มากถึง 3 เท่า
มะเร็งลำไส้ใหญ่ เกิดจากกรรมพันธุ์มากถึง 3 เท่า

เปิดอ่าน 13,834 ครั้ง
8 วิธีสร้างความมั่นคงทางการเงินก่อนถึงวัยเกษียณ
8 วิธีสร้างความมั่นคงทางการเงินก่อนถึงวัยเกษียณ

เปิดอ่าน 11,673 ครั้ง
"ยาชื่อสามัญ"... นามนั้นสำคัญฉะนี้
"ยาชื่อสามัญ"... นามนั้นสำคัญฉะนี้

เปิดอ่าน 18,924 ครั้ง
ฎุมิปัญญาชาวบ้าน
ฎุมิปัญญาชาวบ้าน

เปิดอ่าน 12,710 ครั้ง
คู่มือการใช้งานบัตรเครดิตราชการ
คู่มือการใช้งานบัตรเครดิตราชการ

เปิดอ่าน 54,171 ครั้ง
มารยาทของการจับมือ (shaking Hands)
มารยาทของการจับมือ (shaking Hands)

เปิดอ่าน 27,009 ครั้ง
ประกาศ
ประกาศ

เปิดอ่าน 11,599 ครั้ง
Chat & Hi5 อาจนำภัยถึงตัว
Chat & Hi5 อาจนำภัยถึงตัว

เปิดอ่าน 20,247 ครั้ง
คุณครูหายไปไหนครับ?
คุณครูหายไปไหนครับ?

เปิดอ่าน 9,299 ครั้ง
ทำงานแบบไหน เจ้านายถึงจะปลื้ม
ทำงานแบบไหน เจ้านายถึงจะปลื้ม

เปิดอ่าน 10,982 ครั้ง
โรคไบโพลาร์
โรคไบโพลาร์

เปิดอ่าน 10,197 ครั้ง
กันไว้ดีกว่าแก้ ผู้ใช้งานธนาคารออนไลน์ต้องอ่าน !
กันไว้ดีกว่าแก้ ผู้ใช้งานธนาคารออนไลน์ต้องอ่าน !

เปิดอ่าน 14,615 ครั้ง
"เมียนมาร์" "เบอร์มา" ชื่อนั้นสำคัญไฉน
"เมียนมาร์" "เบอร์มา" ชื่อนั้นสำคัญไฉน
เปิดอ่าน 16,092 ครั้ง
มะขามป้อม
มะขามป้อม
เปิดอ่าน 35,558 ครั้ง
หน้าที่ชาวพุทธ
หน้าที่ชาวพุทธ
เปิดอ่าน 12,597 ครั้ง
ชีวิตยิ่งใช้ ยิ่งได้กำไรกลับคืน
ชีวิตยิ่งใช้ ยิ่งได้กำไรกลับคืน
เปิดอ่าน 6,123 ครั้ง
เครียดลงกระเพาะ โรคยอดฮิตที่เกิดขึ้นได้กับทุกวัย
เครียดลงกระเพาะ โรคยอดฮิตที่เกิดขึ้นได้กับทุกวัย

รายการหลัก

หน้าแรก
ข่าว/บทความ
สมุดเยี่ยม
กระดานสนทนา
เว็บลิงค์
ผู้จัดทำเว็บครูบ้านนอก
ข้อมูลบุคคล
ภาพกิจกรรม
ผู้สนับสนุน

สมาชิก

เข้าสู่ระบบ
คุณครูต้องรู้ไว้
รวมแบบฟอร์มต่างๆ

เว็บน่าสนใจ

เว็บไซต์ สพฐ.
กระทรวงศึกษาธิการ
เครื่องมือวิทยาศาสตร์
เครื่องมือวัด
เครื่องมืออุตสาหกรรม
เกมส์
แหล่งรวมเกมส์

แหล่งรวมเกมส์
สพป.มุกดาหาร



 เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ มากมาย
เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ คลายเครียด

เกมส์ รวมเกมส์ เกมส์แข่งรถ เกมส์ต่อสู้ เกมส์ภาษา เกมส์วางระเบิด เกมส์แต่งตัว เกมส์ท่องเที่ยว เกมส์หมากฮอส เกมส์ผจญภัย เกมส์เต้น เกมส์รถ เกมส์ดนตรี เกมส์ขายของ เกมส์ฝึกสมอง เกมส์เด็กๆ เกมส์ปลูกผัก เกมส์การ์ด เกมส์จับผิดภาพ เกมส์ตลก เกมส์ตัดผม เกมส์ก้านกล้วย เกมส์ทําอาหาร เกมส์เลี้ยงสัตว์ เกมส์ผี เกมส์จับคู่ เกมส์กีฬา เกมส์เศรษฐี เกมส์ฝึกทักษะ เกมส์วางแผน เกมส์จีบหนุ่ม เกมส์มาริโอ เกมส์ระบายสี เกมส์จีบสาว เกมส์เบ็นเท็น เกมส์ยิง เกมส์ยาน เกมส์สร้างเมือง เกมส์มันส์ๆ เกมส์แต่งบ้าน เกมส์ความรู้
      kroobannok.com

© 2000-2020 Kroobannok.com  
All rights reserved.


Design by : kroobannok.com


ครูบ้านนอกดอทคอม
การจัดอันดับของ Truehits Web Directory

วิธีนำแบนเนอร์ของครูบ้านนอก.คอมไปแปะในเว็บท่าน บันทึกภาพแบนเนอร์นี้และลิงค์มาที่เราครับ (มีแบนเนอร์ 2 แบบ)
 

ครูบ้านนอกดอทคอม เว็บไซต์ของครูตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ที่หวังเพียง ใช้เป็นช่องทางในการสื่อสาร แลกเปลี่ยน เพิ่มพูนความรู้ และให้ข่าวสาร ที่ทันสมัยต่อเหตุการณ์แก่คุณครู ผู้ปฏิบัติงานในทุกพื้นที่ของประเทศไทย เพื่อความเจริญงอกงามในปัญญา และเจริญก้าวหน้าในวิชาชีพ

เว็บนี้ถือกำเนิดเมื่อ 5 มกราคม 2548

Email : kornkham@hotmail.com
Tel : 096-7158383

สนใจสนับสนุนเรา โดยลงโฆษณา
คลิกดูรายละเอียดที่นี่ครับ