การตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง อย่างไร จึงจะเรียกว่าชอบด้วยกฎหมาย



ศิริพร กิจเกื้อกูล เลขาธิการ ก.ค.ศ. สวัสดีค่ะ เพื่อนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาพบกันอีกเช่นเคยทุกวันจันทร์ค่ะ สำหรับจันทร์นี้ขอเสนอกรณีการดำเนินการทางวินัยกับการสอบสวนความผิดวินัยอย่างร้ายแรงแก่ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งกฎหมายกำหนดให้ผู้มีอำนาจตามมาตรา 53



เป็นผู้สั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง เพื่อดำเนินการสอบสวนให้ได้ความจริงและความยุติธรรม โดยมิชักช้า และในการสอบสวนจะต้องแจ้งข้อกล่าวหา และสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนข้อกล่าวหาเท่าที่มีให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบ โดยระบุหรือไม่ระบุชื่อพยานก็ได้ เพื่อให้ผู้ถูกกล่าวหามีโอกาสชี้แจงและนำสืบแก้ข้อกล่าวหา ซึ่งในการพิจารณาอุทธรณ์คำสั่งลงโทษทางวินัยมักพบอยู่บ่อยครั้งว่า การแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยมีข้อเท็จจริงดังนี้ ผู้อำนวยการโรงเรียนรายงานไปยังผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาว่ามีข้าราชการครูกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงและขอให้ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเป็นผู้ออกคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง แต่ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเห็นว่า การดำเนินการทางวินัยแก่ข้าราชการครูในสถานศึกษาเป็นอำนาจหน้าที่ของผู้อำนวยการโรงเรียน จึงมอบอำนาจให้แต่งตั้งนิติกรในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเป็นกรรมการสอบสวนได้ ผู้อำนวยการโรงเรียนจึงสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงแก่ข้าราชการครูดังกล่าว

อ.ก.ค.ศ.วิสามัญเกี่ยวกับการอุทธรณ์และการร้องทุกข์ (ที่ทำการแทน ก.ค.ศ.) พิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้อุทธรณ์เป็นข้าราชการครู ตำแหน่งครู วิทยฐานะครูชำนาญการ ผู้มีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง คือ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ตามมาตรา 98 วรรคสอง ประกอบมาตรา 53 (3) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2547 และไม่สามารถมอบอำนาจตามมาตรา 45 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ.2546 ได้ เนื่องจากไม่มีระเบียบให้อำนาจตามที่กฎหมายกำหนด การที่ ผู้อำนวยการโรงเรียนเป็นผู้สั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง จึงเป็นการออกคำสั่งโดยไม่มีอำนาจเป็นผลให้การดำเนินการทางวินัย รวมทั้งการออกคำสั่งลงโทษไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ (1) ให้ผู้อำนวยการโรงเรียนเพิกถอนคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง (2) เพิกถอนมติ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษา ซึ่งมีมติให้ลงโทษปลดข้าราชการครูรายดังกล่าวออกจากราชการ (3) ให้ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเพิกถอนคำสั่งลงโทษปลดออกจากราชการและสั่งให้กลับเข้ารับราชการแล้วดำเนินการทางวินัยใหม่โดยสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง ตามมาตรา 98 วรรคสอง ประกอบมาตรา 53 (3) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2547 และดำเนินการให้ถูกต้องตาม กระบวนการและขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดต่อไป

ดังนี้ จะเห็นได้ว่าการดำเนินการทางวินัยเป็นการกระทำที่กระทบสิทธิของผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาจะต้องดำเนินการให้ชอบด้วยบทบัญญัติของกฎหมายที่เป็นสาระสำคัญ มิฉะนั้นจะเป็นการดำเนินการทางวินัยรวมทั้งการออกคำสั่งลงโทษไม่ชอบด้วยกฎหมายด้วยจำต้องดำเนินการใหม่ ซึ่งจะทำให้เกิดความล่าช้าและอาจจะเกิดผลกระทบตามมาอีกหลายประการ ดังนั้น ผู้มีอำนาจตามมาตรา 53 จึงต้องพึงระมัดระวังและปฏิบัติตามบทบัญญัติของกฎหมายโดยเคร่งครัดด้วย แล้วพบกันใหม่ในวันจันทร์หน้าค่ะ

 

 


ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

โพสต์เมื่อ 11 ก.พ. 2557 อ่าน 28850 | 1 ความเห็น

ความคิดเห็นที่ 1 | โดย คุณโต้ (โพสต์เมื่อ 12 ก.พ. 2557 เวลา 21:07 น.)
ข้อมูลนี้ดีจริงๆ จะได้นำไปใช้สอบ ผอ

·····

เรื่องอื่นๆ


จัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 แผนงานบุคลากรภาครัฐ งบบุคลากร และงบดำเนินงาน เพื่อเป็นค่าตอบแทนการจ้างพนักงานราชการ (ครั้งที่ 1) [อ่าน 1413]
ด่วนที่สุด ที่ ศธ 04009/ว 6450 การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 เพื่อเป็นค่าตอบแทนการจ้างอัตราจ้างครูผู้ทรงคุณค่าแห่งแผ่นดิน ครั้งที่ 1 [อ่าน 879]
แนวทางการดำเนินการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งผู้บริหารการศึกษา มีวิทยฐานะและเลื่อนวิทยฐานะ [อ่าน 1244]
สพฐ.ข้อมูลเพื่อการบริหารงานบุคคลตำแหน่ง ผอ. สพท. [อ่าน 1493]
ซักซ้อมการย้ายข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครู และผู้บริหารสถานศึกษา สังกัด สพฐ. [อ่าน 3711]

·····

จัดทำเว็บไซต์โดย นายอดิศร ก้อนคำ (ครูโจ้)