1. นวัตกรรม รูปแบบการนิเทศ 5FSteps เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
2. ชื่อผู้สร้าง
ชื่อ..............พิศสมัย.......... นามสกุล.............วงษา.................ตำแหน่ง.......ผู้อำนวยการโรงเรียน...........................
โรงเรียน.........วัดบ้านสระ................เขต/อำเภอ......สามชุก......จังหวัด....สุพรรณบุรี.....
3. แนวทางการคิดค้นนวัตกรรม การสร้างนวัตกรรมใหม่
4. ประเภทของนวัตกรรม การนิเทศการจัดการศึกษา
5. ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา
การพัฒนาคุณภาพการศึกษาและมาตรฐานในการจัดการศึกษาเพื่อให้มีสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม ตามที่ราชกิจจานุเบกษา (2561: 34) ระบุถึงยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 - 2580) ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ชาติฉบับแรกของประเทศไทยตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยจะต้องนำไปสู่การปฏิบัติเพื่อให้ประเทศไทยบรรลุวิสัยทัศน์ที่ว่า ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ด้วย การพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ยุทธศาสตร์ชาติด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์เป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเพื่อต้องการที่จะยกระดับการพัฒนาประเทศในทุกมิติไปสู่เป้าหมายการเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วที่ถูกขับเคลื่อนโดยภูมิปัญญาและนวัตกรรมในอีก 20 ปีข้างหน้า ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการวางรากฐานการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศอย่างเป็นระบบโดยจำเป็นต้องมุ่งเน้น การพัฒนาและยกระดับคนในทุกมิติและในทุกช่วงวัยให้เป็นทรัพยากรมนุษย์ที่ดี เก่งและมีคุณภาพพร้อมที่จะพัฒนาและขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้าได้อย่างเต็มศักยภาพ คนไทยในอนาคตจะต้องมีความพร้อมทั้งด้านร่างกาย ด้านจิตใจ ด้านสติปัญญา มีจิตสาธารณะ มีความรับผิดชอบต่อสังคมและผู้อื่น เป็นผู้มัธยัสถ์ อดออม โอบอ้อมอารี มีวินัย รักษาศีลธรรม มีพัฒนาการที่ดีรอบด้านและมีสุขภาวะที่ดีในทุกช่วงวัย รวมทั้งเป็นพลเมืองดีของชาติ มีหลัก การคิดที่ถูกต้อง มีทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 มีทักษะสื่อสารภาษาอังกฤษและภาษาที่ 3 และอนุรักษ์ภาษาท้องถิ่น มีนิสัยรักการเรียนรู้และการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิตสู่การเป็นคนไทยที่มีทักษะสูง เป็นนวัตกร นักคิด ผู้ประกอบการ เกษตรกรยุคใหม่และอื่น ๆ โดยมีสัมมาชีพตามความถนัดของตนเอง
นอกจากนี้พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 แก้ไขเพิ่มเติม ได้กำหนดจุดมุ่งหมายและหลักการของการจัดการศึกษาที่มุ่งเน้นในเรื่องของคุณภาพและมาตรฐานการศึกษา และบัญญัติสาระในหมวดที่ 1 มาตรา 6 ว่าด้วยการจัดการศึกษาต้องเป็นไปเพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้ และคุณธรรม มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการดำรงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข ในหมวด 4 มาตรา 22 กล่าวว่า การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่านักเรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่านักเรียนมีความสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้นักเรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ มาตรา 24 การจัดกระบวนการเรียนรู้ให้สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการจัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของนักเรียน โดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล ฝึกทักษะ กระบวนการคิดการจัดการ การเผชิญสถานการณ์ และการประยุกต์ความรู้มาใช้เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหา จัดกิจกรรมให้นักเรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบัติให้ทำได้ คิดเป็น ทำเป็น รักการอ่านและเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง จัดการเรียนการสอนโดยผสมผสานสาระความรู้ด้านต่าง ๆ ให้มีสัดส่วนสมดุลกัน รวมทั้งปลูกฝังคุณธรรม ค่านิยมที่ดีงามและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ไว้ในทุกวิชา ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้สอนสามารถจัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อม สื่อการเรียน และอำนวยความสะดวกเพื่อให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้และมีความรอบรู้ รวมทั้งสามารถใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ ทั้งนี้ ผู้สอนและนักเรียนอาจเรียนรู้ไปพร้อมกันจากสื่อการเรียนการสอนและแหล่งวิทยาการประเภทต่าง ๆ จัดการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นได้ทุกเวลาทุกสถานที่ที่มีการประสานความร่วมมือกับบิดามารดา ผู้ปกครอง และบุคคลในชุมชนทุกฝ่าย เพื่อร่วมกันพัฒนานักเรียนตามศักยภาพ มาตรา 30 ให้สถานศึกษาพัฒนากระบวนการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งการส่งเสริมให้ผู้สอนสามารถวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับนักเรียนในแต่ละระดับการศึกษา ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2560: 122) กล่าวว่ากระทรวงศึกษาธิการได้เห็นความสำคัญในการพัฒนาคน อันเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุดของประเทศ จึงได้กำหนดนโยบายแผนการดำเนินงานเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาให้นักเรียนได้รับการพัฒนาให้มีศักยภาพสู่มาตรฐานสากลในการจัดการศึกษาให้นักเรียนบรรลุตามมาตรฐานเป็นที่ยอมรับและสะท้อนถึงคุณภาพของการจัดการศึกษาอย่างแท้จริง
การนำหลักสูตรสู่การปฏิบัติมีความคาดหวังที่สำคัญในการยกระดับคุณภาพการศึกษาของประเทศไทยสู่ความเป็นสากล มีศักยภาพทัดเทียมนานาประเทศในศตวรรษที่ 21 ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการการศึกษา ขั้นพื้นฐาน (2561: 1) ได้กำหนดจุดเน้นการพัฒนาคุณภาพของนักเรียนเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายในด้านทักษะและความสามารถ คือ ชั้น ป. 1 - 3 นักเรียนมีทักษะความสามารถในการอ่านออก เขียนได้ คิดเลขเป็น มีทักษะการคิดขั้นพื้นฐาน ป. 4 - 6 อ่านคล่อง เขียนคล่อง คิดเลขคล่อง ทักษะการคิดขั้นพื้นฐาน ม. 1 - 3 แสวงหาความรู้ด้วยตนเอง ใช้เทคโนโลยี เพื่อการเรียนรู้ มีทักษะการคิดขั้นสูง ทักษะชีวิต ม. 4 - 6 แสวงหาความรู้เพื่อแก้ปัญหาใช้เทคโนโลยี เพื่อการเรียนรู้ใช้ภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) มีทักษะการคิดขั้นสูง รวมทั้งมีทักษะชีวิต ทักษะการสื่อสารตามช่วงวัยในทุกช่วงชั้น ประกอบกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) และมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้ที่ได้กำหนดให้การวัดและประเมินผลการเรียนรู้เป็นส่วนหนึ่งของการประกันคุณภาพการศึกษา เพื่อให้ได้ข้อมูลสารสนเทศที่จำเป็นใน การพิจารณาว่านักเรียนเกิดคุณภาพการเรียนรู้ตามผลการเรียนรู้ของหลักสูตร สะท้อนจุดเน้น การพัฒนานักเรียนหรือไม่ ซึ่งกำหนดให้มีการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ใน 4 ระดับ ได้แก่ ระดับชั้นเรียน ระดับสถานศึกษา ระดับเขตพื้นที่การศึกษาและระดับชาติ โดยมีเจตนารมณ์เช่นเดียวกัน คือ ต้องการสะท้อนภาพการจัดการศึกษาว่าสามารถพัฒนานักเรียนให้มีคุณภาพตามมาตรฐานที่กำหนดได้มากน้อยเพียงใด การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ทั้ง 4 ระดับ จึงเป็นกิจกรรมที่สำคัญยิ่งที่จะสะท้อนถึงผลการจัดการศึกษา ช่วยให้ผู้เรียนได้รู้ถึงศักยภาพในสมรรถนะความสามารถหรือผลสัมฤทธิ์ของตนเองได้เป็นอย่างดี ตลอดจนศักยภาพที่ตนมีว่าต้องได้รับ การปรับปรุงแก้ไข หรือเรื่องใดที่สมควรได้รับการพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมให้นักเรียนได้พัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ รวมทั้งยังมุ่งพัฒนานักเรียนให้เป็นคนเก่ง คนดี และมีความสุข มีศักยภาพในการศึกษาต่อและประกอบอาชีพ เป้าหมายและตัวบ่งชี้การปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง คือ เป้าหมายที่ 1 ให้คนไทยและการศึกษาไทยมีคุณภาพและได้มาตรฐานระดับสากล โดยมีตัวบ่งชี้และค่าเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับผลสัมฤทธิ์ของนักเรียน คือ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในวิชาหลักจากการทดสอบระดับชาติมีคะแนนเฉลี่ยมากกว่าร้อยละ 50 จากเป้าหมายและตัวบ่งชี้ดังกล่าว จุดเน้นของการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานจะประเมินเพื่อศึกษาและพัฒนาผลสัมฤทธิ์นักเรียนให้เข้าสู่มาตรฐาน เพื่อเป็นหลักประกันการเรียนรู้ (Accountability) และเตรียมการให้ผู้เรียนมีความพร้อมสำหรับรองรับการประเมิน ทั้งการทดสอบระดับชาติหรือระดับนานาชาติ โดยจะมุ่งประเมินผลสัมฤทธิ์ในกลุ่มสาระการเรียนรู้วิชาหลัก เพื่อเป็นการกระตุ้นและเตรียม ความพร้อมให้กับนักเรียนล่วงหน้าในการรองรับการทดสอบระดับชาติที่มีรูปแบบการประเมินที่หลากหลาย ตอบสนองตามเป้าหมายของการปฏิรูปในทศวรรษที่สอง ผลการประเมินที่ได้จะเป็นข้อมูลสำคัญที่สะท้อนคุณภาพการดำเนินงานการจัดการศึกษาของสถานศึกษา เขตพื้นที่การศึกษา และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานที่จำเป็นต้องมีข้อมูลผลการเรียนรู้ เพื่อปรับปรุง พัฒนาและการเตรียมความพร้อมของนักเรียน และเป็นตัวบ่งชี้คุณภาพการศึกษาขั้นพื้นฐานในภาพรวม เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการกำหนดนโยบาย และ การวางแผนในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา
จากความสำคัญในการแก้ไขสภาพปัญหาดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่าการนิเทศเป็นกระบวนการที่สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมครูได้ รวมถึงยังเป็นการสร้างแรงจูงใจให้เกิดการยอมรับการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาความร่วมมือ มีความรับผิดชอบร่วมกันในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียน ดังนั้นผู้วิจัยในฐานะผู้บริหารสถานศึกษามีหน้าที่รับผิดชอบการบริหารงานวิชาการ ซึ่งการนิเทศเป็นหนึ่งในงานฝ่ายบริหารงานวิชาการ ได้เห็นถึงความสำคัญของรูปแบบการนิเทศที่มีความเหมาะสมกับสภาพและบริบทของโรงเรียน
ผู้วิจัยในฐานะเป็นผู้บริหารสถานศึกษาที่มีหน้าที่โดยตรงในการพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอนของครู โดยนำสาเหตุของปัญหาและแนวทางการแก้ไขมาพัฒนารูปแบบการนิเทศ 5FSteps เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน
6. วัตถุประสงค์
1. เพื่อศึกษาสภาพปัญหา สาเหตุ และแนวทางแก้ปัญหา
2. เพื่อสร้างและตรวจสอบรูปแบบการนิเทศ 5FSteps เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
3. เพื่อศึกษาผลการใช้รูปแบบการนิเทศ 5FSteps เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
7. ขอบเขตการดำเนินงาน
7.1 กลุ่มเป้าหมาย
กลุ่มเป้าหมาย คือ ครูผู้สอน โรงเรียนวัดบ้านสระ จำนวน 6 คน ซึ่งได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง (purposive sampling)
7.2 ตัวแปรที่ศึกษา
ตัวแปรต้น คือ รูปแบบการนิเทศ 5FSteps
ตัวแปรตาม คือ พฤติกรรมการจัดการเรียนรู้ของครูและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน
7.3 เนื้อหา/สาระ
รูปแบบการนิเทศ 5FSteps เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง แบบแผนที่แสดงถึง การดำเนินงานตามขั้นตอนการนิเทศอย่างเป็นระบบที่ผสมผสานแนวคิด ทฤษฎีหลัก ประกอบด้วย การนิเทศแบบชี้แนะและการเป็นพี่เลี้ยง (Coaching and Mentoring) การนิเทศแบบกัลยาณมิตร (Friend Supervision) การนิเทศออนไลน์ (Online Supervision) และการนิเทศโดยการสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) ซึ่งมีองค์ประกอบของรูปแบบการนิเทศแบบผสมผสาน ประกอบด้วยหลักการ วัตถุประสงค์ กระบวนการนิเทศ และการวัดประเมินผล โดยมีกระบวนการนิเทศ 5FSteps ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 การสร้างศรัทธา (F1 Focus on Faith)
ขั้นตอนที่ 2 วางแผนพัฒนา (F2 - Form Plan)
ขั้นตอนที่ 3 นำพาปฏิบัติ (F3 - Familiar Practice)
ขั้นตอนที่ 4 กำกับ ติดตามและประเมินผล (F4 Follow Up)
ขั้นตอนที่ 5 พาชื่นชมยินดี สะท้อนคิด (F5 Feedback and Feedforward)
7.4 ระยะเวลา
ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2565 ถึง 30 มิถุนายน พ.ศ. 2566
8. วิธีดำเนินการ
8.1 เครื่องมือ
1) นวัตกรรม รูปแบบการนิเทศ 5FSteps เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มีองค์ประกอบสำคัญ แบ่งออกเป็น 4 ส่วน ได้แก่ 1) วัตถุประสงค์ 2) หลักการ 3) กระบวนการ 4) การวัดผลประเมินผลของรูปแบบ
2) คู่มือนวัตกรรม รูปแบบการนิเทศ 5FSteps เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ประกอบด้วย 4 ส่วน ดังนี้ ส่วนที่ 1 บทนำ ส่วนที่ 2 หลักการ ทฤษฎี รูปแบบและเทคนิคการนิเทศ ส่วนที่ 3 รูปแบบการนิเทศ 5FSteps เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ส่วนที่ 4 แผนการนิเทศ ส่วนที่ 5 เครื่องมือการนิเทศการศึกษา
3) เครื่องมือประเมิน ได้แก่ ฉบับที่ 1 แบบบันทึกข้อมูลจากเอกสาร ฉบับที่ 2 แบบบันทึกการประชุมสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ (PLC) ฉบับที่ 3 แบบสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ ฉบับที่ 4 แบบสังเกตพฤติกรรมการจัดการเรียนการสอนของครูผู้สอน ฉบับที่ 5 แบบบันทึกการประชุมสัมมนาทางวิชาการเกี่ยวกับการหลอมรวมรูปแบบการนิเทศ 5FSteps เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ฉบับที่ 6 แบบประเมินความถูกต้องของร่างรูปแบบฯและเอกสารประกอบร่างฯ คือ คู่มือการใช้รูปแบบการนิเทศ 5FSteps เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ฉบับที่ 7 แบบประเมินความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และความเป็นประโยชน์ของร่างรูปแบบการนิเทศ 5FSteps เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน