รู้ไหมคะว่า เราสามารถผลิตทั้งสารพิษและยาอายุวัฒนะได้...ในสมองของเรา
เป็นที่ยอมรับว่า ฮอร์โมนชนิดต่างๆ ที่หลั่งออกมาในสมอง มีผลโดยตรงกับพฤติกรรมของเรา และเราฝึกพฤติกรรมใดบ่อย...สิ่งนั้นก็สะสมเป็นนิสัย ถ้าเราอยากมีสมองดี เราก็ฝึกพฤติกรรมดีๆ จนติดเป็นนิสัยดีๆ ก็จะช่วยดูแลสมองของเรา...เทคนิคการดูแลสมองมีง่ายๆ เท่านี้เอง
นักวิจัยทางสมองก็ค้นพบด้วยความตกใจว่า ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับความเครียด เช่น คอร์ติซอล เมื่อหลั่งออกมาบ่อยๆ เป็นประจำ ติดต่อกันเป็นเวลายาวนานแล้ว มีผลทำให้เซลล์และเส้นใยสมองถูกทำลายจนเสื่อมคุณภาพ และยิ่งเกิดขึ้นยาวนานเท่าไร การทำลายล้างก็กินวงกว้างและมีผลถาวรมากขึ้นเท่านั้น
และที่ควรกังวลก็คือ ส่วนของเซลล์สมองที่ถูกพุ่งเป้าไปทำร้ายโดยฮอร์โมนนี้ มีส่วนของ "ฮิปโปแคมพัส" อยู่ด้วย
ทำไมเราต้องกังวลกับฮิปโปแคมพัสกันด้วยเล่า...ตอบได้แบบง่ายๆ เลยก็คือ ส่วนนี้ของสมองเป็น "เครื่องบันทึกความจำ" ของเราค่ะ ฮิปโปแคมพัสทำหน้าที่บันทึกเรื่องราวที่เราได้เรียนรู้ในระหว่างวันลงสู่ "ความทรงจำระยะยาว" ให้เราในเวลาที่เรานอนหลับ ดังนั้น หากเซลล์ในนี้ถูกทำลาย ก็หมายได้เลยว่าเราจะเป็นคนจำไม่แม่น เลอะๆ เลือนๆ ลืมนั่น ลืมนี่ เรียนอะไรก็จำไม่ค่อยได้ หรือได้หน้าลืมหลัง ถ้าทำงานก็เหมือนคนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ทำกุญแจรถหายเป็นประจำ และอีกสารพัดเรื่องน่าอึดอัดขัดใจที่เป็นคุณสมบัติประจำตัวของ "คนความจำไม่ดี"
ใครๆ ก็อยากเป็นคนจำเก่ง จำแม่น เรียนอะไรฟังอะไรครั้งเดียวก็จำได้...และไม่แปลกที่เด็กเรียนเก่ง และคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตมากๆ นั้น ส่วนใหญ่แล้วเป็นคนมีความจำดีเลิศทีเดียว...เรื่องการฝึกความจำนั้น เป็นเรื่องที่เราทำได้ และสามารถเริ่มต้นได้ง่ายๆ ด้วยการเห็นภัยของการมีความทุกข์สะสม ต่อเนื่องเป็นเวลายาวนาน เห็นภัยของการกอดทุกข์ ภัยของความเจ้าคิดเจ้าแค้นและไม่ยอมให้อภัยใคร
เรามักคิดว่า "ถ้าเราให้อภัยเขาง่ายๆ เขาก็ไม่ต้องชดใช้ความผิดสิ" แต่ขอให้มองในมุมกลับกันว่า ยิ่งเราคิดแค้นเขานานเท่าไร เท่ากับเราไปสร้างโรงงานปล่อยสารพิษ (สารคอร์ติซอล) ออกมาในสมองเรื่อยๆ เพื่อทำลายสมองของตัวเอง...ส่วนอีกคนที่เราโกรธนอนสบายอยู่ที่ไหนไม่รู้ มีแต่เราที่นอนปล่อยสารเคมีพิษออกมาทำลายเซลล์สมองอันมีค่าไป ทีละเซลล์ ทีละเซลล์
ดังนั้น การให้อภัยจึงไม่ใช่เรื่องของการ "ทำดีให้คนอื่น" แต่เป็นการเมตตาสมองก้อนน้อยๆ ของเราเต็มๆ ด้วยการรู้เท่าทันกระบวนการหลั่งสารเคมีตามธรรมชาติของสมอง และไม่ยอมให้ใครในโลกมาเป็นเหตุให้เราทำลายสมอง ที่เป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดของเราเพราะ "ทุกครั้งที่เรายอมให้ทุกข์เกาะกินใจ นั่นคือเราให้ใบอนุญาตร่างกายให้ทำลายสมองทุกๆ นาที"
แต่ในอีกมุมหนึ่งนั้น ความเครียดและความทุกข์ในระยะสั้นๆอาจให้ผลตรงกันข้ามเลยทีเดียว คือ ยิ่งทำให้สมองทำงานได้ดีด้วยซ้ำ เช่น ความเครียดอ่อนๆ ในระยะก่อนสอบ ยิ่งทำให้เราอ่านหนังสือได้ดีขึ้น จำได้แม่นขึ้น เพราะสารเคมีที่หลั่งออกมาสำหรับความเครียดในระยะสั้นนั้น ชื่อว่า "อะดรีนาลิน" ซึ่งเป็นคนละตัวกับฮอร์โมนความเครียดระยะยาว แม้ "อะดรีนาลิน" จะไม่ใช่สารบำรุง แต่ในระยะสั้นก็ช่วยกระตุ้นให้เราทำงานได้เสร็จเร็วขึ้นทันเวลาเส้นตายนะคะ ไม่ดีแต่ก็ไม่ร้าย...มีใช้ชั่วคราวเวลาฉุกเฉินได้ค่ะ
เมื่อความทุกข์ทำให้เราฉลาดน้อยลง แต่เมื่อความสุขบำรุงสมอง...ก็ทำให้เราฉลาดขึ้น
อีกด้านหนึ่งของเหรียญอารมณ์ คือ ความสุข ก็สามารถบำรุงหล่อเลี้ยงให้เราฉลาดขึ้นได้เช่นเดียวกัน คนที่มีความสุขมากๆ นอกจากหน้าตาแจ่มใส ผิวพรรณดี ดวงตาใสแจ๋วแล้ว...ลึกเข้าไปในสมองของเขา หากเรามีตาทิพย์เห็นได้เหมือนเครื่องสแกนสมองของโรงพยาบาล เราก็จะเห็นว่าภายในนั้นกำลังมีสารเคมีดีๆ หลั่งออกมาบำรุงสมองอยู่เป็นจำนวนมาก โครงสร้างของเส้นใยสมองก็วางรูปแบบทางเดินใหม่ๆ ไปเรื่อยๆ ตามระยะเวลาที่เรา "อารมณ์ดี" ยิ่งเราอารมณ์ดีมีสุขนานเท่าไร เราก็ยิ่งมีเส้นใยดีที่ช่วยส่งผ่าน "ข้อมูลความสุข" มากขึ้นเท่านั้น
สารอารมณ์ดีเหล่านี้ ทำให้สมองโล่ง ตื่นตัว พร้อมทำงาน...ใครที่ตื่นมาสดชื่น แจ่มใสก็รู้ตัวว่าวันนั้นเขาสามารถทำงานได้ดีกว่าวันที่อารมณ์ขุ่นมัว
ยิ่งเราอารมณ์ดีบ่อยเราก็ยิ่งอารมณ์ดีง่าย และยิ่งเราอารมณ์เสียบ่อยเราก็ยิ่งอารมณ์เสียง่าย...เหตุผลที่เป็นเช่นนี้อธิบายได้ไม่ยากก็คือ ยิ่งเราทำพฤติกรรมใดบ่อย สมองเราก็ยิ่งสร้างเส้นใยสมองในเรื่องนั้นๆ ออกมาเยอะ ทำให้เราทำเรื่องนั้นได้ง่ายขึ้นในครั้งต่อๆ ไป
สังเกตไหมคะว่า คนอารมณ์เสีย ยิ่งนานวันเข้า ยิ่งอารมณ์เสียได้ง่ายขึ้น ในขณะที่คนอารมณ์ดียิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไร เขาก็ยิ่งดูอารมณ์ดีมากขึ้นเท่านั้น นั่นเป็นเพราะยิ่งเรามีพฤติกรรมใดบ่อยจนติดเป็นนิสัย ก็ยิ่งทำให้เส้นใยสมองสร้างออกมาเยอะในเรื่องนั้น...และเราก็เป็นคนแบบนั้นในที่สุด
แล้ววันนี้ ผู้อ่านของหนูดีฝึกพฤติกรรมอะไรจนติดเป็นนิสัยบ้างคะ?
ที่มา http://www.posttoday.com/
หนูดี - วนิษา เรซ
|