ศูนย์รวมความคิด ความรู้ ประสบการณ์ ของคุณครู สมาชิกเว็บไซต์ ครูบ้านนอก.คอม ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านที่ตั้งใจทำเพื่อสังคมครับ |
เจ้าของโพสต์นี้ สุภาภรณ์ นิลยกานนท์(เพชรสุภา) จากจังหวัด ชุมพร |
|
การสร้างจำเลยสังคม ผ่าน forward เมล |
โพสต์เมื่อวันที่ : 8 พ.ค. 2552 IP : เปิดอ่าน : 7045 ครั้ง คะแนนของ BLOG นี้ -ไม่มีผลโหวต-
☰แชร์เลย > |
|
|
ไม่พลาดข่าวการศึกษา
ครูบ้านนอก Line Official
กดเพิ่มเพื่อนเลย
|
|
Advertisement
|
.....
กระบวนการสร้างจำเลยสังคม ผ่าน forward เมล |
|
ในช่วงที่สภาวะทางการเมืองเกิดความวุ่นวาย การช่วงชิงมวลชนผ่านทางพื้นที่สื่อต่างๆ นับเป็นกลยุทธ์สำคัญประการหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ในการกำชัยชนะเหนือฝ่ายตรงข้าม
นับเป็นระยะเวลาอันยาวนานเกือบครึ่งศตวรรษ นับแต่มนุษย์ได้ให้กำเนิดอุปกรณ์อำนวยความสะดวกในการส่งผ่านข้อมูลแบบทั่วถึงและรวดเร็วทันใจ เช่น อินเตอร์เน็ต จนถึงปัจจุบัน อินเตอร์เน็ตได้กลายเป็นสื่อที่ทรงอิทธิพลสูงสุดประเภทหนึ่งที่สามารถช่วยการส่งข่าวสารใดๆ ไปในวงกว้างได้ตามที่ผู้ส่งต้องการสื่อ
จากสถิติประเทศไทยในปี 2550 พบว่าในจำนวนประชากรอายุ 6 ปีขึ้นไประมาณ 59.97 ล้านคน มีผู้ใช้คอมพิวเตอร์ 16.04 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 26.8 และมีผู้ใช้อินเตอร์เน็ต 9.32 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 15.5 ของจำนวนประชากรในวัยดังกล่าว (ข้อมูลจากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี)
จากสถิติตัวเลขผู้ใช้อินเตอร์เน็ตจำนวนมหาศาลข้างต้น จึงไม่น่าแปลกใจที่เราจะได้เห็นปรากฏการณ์ระดมพลช่วงชิงมวลชนโดยอาศัยพื้นที่สื่อบนอินเตอร์เน็ต ซึ่งกำลังระบาดหนักและเป็นปรากฏการณ์สำคัญที่พบเห็นได้ชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์การเมืองที่กำลังเข้มข้นในปัจจุบัน
ไม่เฉพาะในทางการเมืองเท่านั้น บ่อยครั้งที่ได้เห็น forward เมล ที่มีใจความโจมตีบุคคลใดบุคคลหนึ่งอย่างโจ๋งครึ่ม โดยระบุชื่อ นามสกุล (รวมถึงภาพถ่ายบัตรประจำตัวประชาชน) ของผู้ถูกโจมตีอย่างแจ่มชัด ซึ่งผู้ได้รับมักอดไม่ได้ต้องรีบส่งต่อไปยังเพื่อนฝูงทันที โดยมีวัตถุประสงค์ (หรือเจตนาดี) เพื่อให้คนทั่วไปได้รับรู้พฤติกรรมอันชั่วร้าย
การกระทำแบบนี้ จะเรียกว่าการรวมหัว "ด่า" กันทางอินเตอร์เน็ต ก็คงไม่ผิดนัก
ในกรณีนี้การส่งต่อข้อมูลในทางบวกคงไม่เป็นปัญหาเท่ากับการส่งต่อข้อมูลในทางลบ และปรากฏการณ์ต่างๆ เหล่านี้ คงไม่ใช่เรื่องน่าวิตก หากประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่าผู้ที่ให้ข้อมูล และส่งข่าวสารทางอินเตอร์เน็ตกว่าร้อยละ 90 เป็นบุคคลทั่วไป ไม่ใช่ผู้ที่มีวิชาชีพโดยตรงในทางสื่อสารมวลชน
เป็นที่ชัดเจนว่าผู้มีวิชาชีพสื่อสารมวลชน ล้วนมีมาตรฐานจริยธรรมและความรับผิดชอบธรรมต่อวิชาชีพและข้อมูลข่าวสารที่ตนส่งออกไปตามกฎเกณฑ์เกี่ยวกับจริยธรรมสื่อ โดยสื่อวิทยุและโทรทัศน์จะอยู่ภายใต้การควบคุมของพระราชบัญญัติการประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ.2551 ส่วนสื่อสิ่งพิมพ์จะอยู่ภายใต้ข้อบังคับว่าด้วยจริยธรรมแห่งวิชาชีพหนังสือพิมพ์ สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ พ.ศ.2541
ในขณะที่บุคคลผู้ส่งข่าวสารทางอินเตอร์เน็ต ส่วนใหญ่เป็นเพียงบุคคลธรรมดาที่หันมาใช้ช่องทางอินเตอร์เน็ต ซึ่งมีความสะดวกรวดเร็วกว่า เป็นช่องทางหนึ่งในการส่งผ่านข้อมูลข่าวสารอะไรก็แล้วแต่ตามที่ตนเองต้องการ
แล้วเราจะมีมาตรการอะไรมาควบคุมผู้ส่งสารเหล่านี้???
ตามปกติสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของสื่อมวลชนและบุคคลทั่วไป ได้รับการรับรองร่วมกันไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 45 ที่บัญญัติให้บุคคลธรรมดาและสื่อสารมวลชนล้วนมีเสรีภาพในการการสื่อสารทุกประการ การกำหนดกฎเกณฑ์ใดๆ อันเป็นการจำกัดหรือเป็นอุปสรรคต่อการสื่อสารดังกล่าว ย่อมขัดต่อหลักประชาธิปไตยและจะกระทำมิได้
เว้นแต่เฉพาะการสื่อสารที่จะเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐ "การสื่อสารที่กระทบถึงบุคคลอื่น " หรือการสื่อสารที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
เฉพาะ "การสื่อสารที่กระทบถึงบุคคลอื่น" ซึ่งจำแนกออกเป็นด้านสิทธิ เสรีภาพ เกียรติยศ ชื่อเสียง หรือสิทธิในครอบครัวหรือความเป็นอยู่ส่วนตัวนั้น ยังได้มีการบัญญัติรับรองไว้อีกชั้นภายใต้บทบัญญัติว่าด้วยละเมิดและหมิ่นประมาท ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และประมวลกฎหมายอาญา
บัญญัติทางกฎหมายดังกล่าวข้างต้นถือเป็นหลักทั่วไป ในขณะที่การส่งข่าวสารทางอินเตอร์เน็ตไม่ว่าจะโดยบุคคลทั่วไปหรือสื่อมวลชน ยังถูกควบคุมภายใต้พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 ซึ่งกำหนดให้ผู้นำเข้า เผยแพร่ หรือส่งต่อข้อมูลอันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อผู้อื่นหรือประชาชน จะต้องรับผิดในการนำเข้าเผยแพร่ หรือส่งต่อข้อมูลของตน
ตัวอย่างคดีประเภทนี้เช่น คดีหมายเลขแดงที่ 3529/2547 ผู้เสียหายถูกบุคคลนิรนามโพสต์ถ้อยคำซึ่งเข้าข่ายหมิ่นประมาทลงในอินเตอร์เน็ต ผู้เสียหายได้เริ่มคดีโดยเข้าแจ้งความกับตำรวจเพื่อสืบหา IP และค้นหาตัวผู้กระทำผิด จนรู้ตัวว่าเป็นใคร และในที่สุดศาลก็ได้ตัดสินว่าบุคคลนั้นมีความผิดในคดีหมิ่นประมาททางอาญา มาตรา 328 โดยเรียงตามกระทงที่ทำผิดตามจำนวนครั้งที่เขียนลงข้อความ รวม 5 กระทง ตัดสินให้จำคุกกระทงละ 3 เดือน และปรับกระทงละ 10,000 บาท รวมจำคุก 15 เดือน และปรับ 50,000 บาท ต่อจากนั้น ผู้เสียหายยังได้ดำเนินการฟ้องเรียนค่าเสียหายในคดีแพ่ง ซึ่งจะเป็นจำนวนเงินเท่าใดก็ได้โดยไม่มีการจำกัดเพดานสูงสุด ตามความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง
หากคดีนี้เกิดขึ้นภายหลังการบังคับใช้พระราชบัญญัติการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 บัญญัติไว้ว่า ผู้กระทำผิดอาจต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นอกจากนี้ผู้เสียหายยังสามารถเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่งได้อีกด้วย
อย่างไรก็ดี ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า ผู้ใช้บริการสื่ออินเตอร์เน็ตมีจำนวนมาก และข้อมูลที่ถูกส่งผ่านทางอินเตอร์เน็ตจะสามารถเคลื่อนย้ายไปได้รวดเร็วกว่าการสื่อสารทางสิ่งพิมพ์หรือแม้แต่วิทยุโทรทัศน์หลายเท่า นอกจากนี้ยังเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย และยังสามารถทำสำเนาแจกจ่าย หรือสามารถส่งซ้ำๆ ได้หลายๆ ครั้งเรื่อยไปไม่มีที่สิ้นสุด
แม้จะมีมาตรการควบคุมตามพระราชบัญญัติการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ แต่กว่าจะหาตัวผู้กระทำผิดและรวบรวมพยานหลักฐาน ข้อมูลเท็จเหล่านั้นก็ถูกเผยแพร่ไปไกลและส่งผลเสียหายเกินเยียวยาเสียแล้ว
ด้วยเหตุนี้ ในฐานะผู้ใช้บริการอินเตอร์เน็ตคนหนึ่ง ผู้เขียนเห็นว่ามาตรการควบคุมการส่งผ่านข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตโดยอาศัยกฎหมายแต่เพียงประการเดียวคงไม่เพียงพอ เราในฐานะผู้ใช้บริการทุกคนจึงจำเป็นต้องอาศัยจริยธรรมส่วนบุคคลมาร่วมด้วย
รศ.ดร.ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร ได้กล่าวไว้ในหนังสือชื่อ รัฐ-ชาติ กับ (ความไร้) ระเบียบโลกชุดใหม่ (2549) ดังนี้ว่า
"ในโลกที่ความรู้ ข้อมูล ข่าวสารเผยแพร่อย่างรวดเร็ว มากมาย หลากหลาย และกว้างขวาง พร้อมๆ กับการมีอิสระเสรีในการเข้าถึงสิ่งเหล่านี้ ใครมีความรู้ ข้อมูล ข่าวสาร ก็สามารถเผยแพร่ในวงกว้างได้ง่ายสะดวก และรวดเร็วผ่านการสื่อสารแบบอิเล็กทรอนิกส์ แม้กระทั่งการให้ข้อมูลความรู้ในการทำยาพิษจากสารเคมีต่างๆ หรือการทำระเบิด ก็อยู่ในวิสัยที่จะกระทำได้ดังที่ปรากฏเป็นข่าวอยู่เสมอๆ
ความสำคัญของสังคมแบบนี้มิได้อยู่ที่ตัวความรู้ ข้อมูล ข่าวสาร แต่ความสำคัญกลับอยู่ที่ความสามารถในการแยกแยะและคัดสรรบรรดาความรู้ ข้อมูล ข่าวสาร ที่มีอยู่อย่างมากมายและดาษดื่น เพื่อไม่ให้เกิดอาการท้องอืดแน่นเฟ้อ อันเป็นผลมาจากการอัดแน่นของข้อมูล นั่นคือ ยิ่งโลกมีความรู้ ข้อมูล ข่าวสารมากเท่าใด เรายิ่งมีความจำเป็นจะต้องพัฒนาความสามารถในการแยกแยะ คัดสรร และสังเคราะห์สิ่งเหล่านี้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ในทางสร้างสรรค์"
ในฐานะผู้ใช้บริการอินเตอร์เน็ต ผู้เขียนอยากเสนอให้เราทุกคนร่วมกันมีความรับผิดชอบต่อสังคม และมีกระบวนการใช้ข้อมูลข่าวสารเหล่านี้ในทางสร้างสรรค์ ด้วยการคิด พิเคราะห์ ก่อนการส่งผ่านข้อมูลต่างๆ ทุกครั้งว่า ข้อมูลที่ส่งออกจากมือเรา จะส่งผลเสียหายในทางลบต่อบุคคลหนึ่งบุคคลใดหรือไม่
ไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะเป็นใครก็ตาม ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง เชื่อว่าไม่มีใครเกิดมาชั่วร้ายร้อยเปอร์เซ็นต์ ถึงขนาดจำเป็นต้องถูกประจานทั้งชื่อสกุลทาง forward เมล ให้จงเกลียดจงชังกันต่อๆ ไปถึงลูกถึงหลานกระทั่งหมดโอกาสในชีวิต
แม้แต่อาชญากรในความผิดฉกรรจ์ เช่น นักโทษประหาร ท้ายที่สุดยังมีพื้นที่ยืนในสังคม โดยอาศัยกระบวนการลดหย่อนผ่อนโทษตามกฎหมาย ที่เปิดโอกาสให้ผู้เคยผิดพลาดเหล่านี้กลับมาใช้ชีวิตในสังคมได้เช่นคนปกติ
โปรดคิด ก่อนกด enter ทุกครั้งอย่าเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสร้างจำเลยสังคมผ่าน forward เมล
|
จาก วาไรตี้
Advertisement
|