ขณะที่ผมเขียนต้นฉบับอยู่นี้ ผมยังตะลึงอยู่กับสิ่งที่ได้เกิดขึ้นกับประเทศไทย
เมื่อปีที่แล้วชื่อเสียงประเทศไทย sunk to new depths = จมลงสู่จุดต่ำอย่างที่ไม่เคยถึงมาก่อน จากการยึดสนามบินเป็นเวลาแปดวันโดยพวกเสื้อเหลือง
ยังไม่ทันได้ฟื้น ปีนี้เราก็ทำร้ายประเทศกันอีกครั้งจากที่ฝ่ายเสื้อแดงบุกสถานที่การประชุมสุดยอดอาเซียนและ dialogue partners = คู่เจรจา ที่พัทยา
ข้อตกลงต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์กับไทยและกับภูมิภาคโดยรวมในการฝ่าฟันวิกฤติเศรษฐกิจ ผ่านการเจรจาเตรียมการมาเนิ่นนานกว่าจะตกลงกันได้ แต่แทนที่จะได้คลอดอย่างสง่างามในที่ประชุมโดยมีไทยเป็นหมอตำแย กลับต้องแท้งไปอย่างน่าอนาถใจ
เกียรติภูมิและศักดิ์ศรีของประเทศไทยหรือครับ คงไม่ต้องพูดถึงแล้ว
ภาพที่ชาวโลกจะจำได้จากการประชุมครั้งนี้คือการที่ภรรยานักการทูตต่างประเทศร้องไห้ด้วยความหวาดกลัวเมื่อเสื้อแดงกรูเข้ามาในโรงแรมที่จัดการประชุมพร้อมกับส่งเสียงตะโกนโหวกเหวก ภาพของเฮลิคอปเตอร์พาผู้นำต่างประเทศหนีจากดาดฟ้าของโรงแรมที่ประชุม
นักการทูตหญิงหลายคนพากันวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิตเมื่อเสื้อแดงหลั่งไหลเข้ามาในโรงแรม แต่แม้ว่าชาวเสื้อแดงจะดูน่ากลัว ส่งเสียงดัง แต่เมื่อเดินผ่านนักการทูตที่ยืนมองอย่างตกตะลึงพวกเขาก็ยกมือไหว้และกล่าวขอโทษผู้ร่วมประชุมเหล่านั้น เป็นภาพที่ surreal มาก ๆ
ปีที่แล้วเสื้อเหลืองประกาศว่าการยึดสนามบินเป็น “ชัยชนะ” ปีนี้เสื้อแดงประกาศว่าการล้มการประชุมอาเซียนเป็น “ชัยชนะ” โดยใช้ยุทธวิธีที่ละม้ายคล้ายคลึงกัน เช่นอ้างว่ายึดสันติวิธีแต่ใช้ความรุนแรง
แต่ “ชัยชนะ” ของทั้งสองฝ่ายล้วนเป็น pyrrhic victory (พ้ายหริก ฟิคถะหรี่) = ชัยชนะที่ได้มาด้วยความสูญเสียอันใหญ่หลวง ทั้งสิ้น
และความสูญเสียใหญ่หลวงทั้งสองครั้งไม่ได้ตกอยู่กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่ตกอยู่กับประชาชนทั้งประเทศ
ในอดีต ประเทศจีนยุคราชวงศ์ฉิงช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 และต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ถูกเรียกว่าเป็น the sick man of Asia = คนป่วยแห่งเอเชีย เพราะมีความแตกแยกภายในประเทศ ไม่สามารถรักษาอำนาจอธิปไตยไว้ได้ และญี่ปุ่นก็ใช้สำนวนนี้เรียกจีนในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
อีกประเทศที่ถูกขนานนามว่าเป็น the sick man of Asia ก็คือฟิลิปปินส์ช่วงที่วุ่นวายไร้ระเบียบตั้งแต่ช่วงปลายยุคประธานาธิบดีมาร์คอสเป็นต้นมา
คนไทยทั้งเหลืองทั้งแดงอย่าให้ต่างชาติเรียกเราว่าเป็น the sick man of Asia รายใหม่เลยนะครับ.
|