หน้าแรก | ครูบ้านนอกบล็อก
ศูนย์รวมความคิด ความรู้ ประสบการณ์ ของคุณครู สมาชิกเว็บไซต์ ครูบ้านนอก.คอม ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านที่ตั้งใจทำเพื่อสังคมครับ
เจ้าของโพสต์นี้
สุภาภรณ์ นิลยกานนท์(เพชรสุภา)
จากจังหวัด ชุมพร

ผูกหัวใจไม่ต้องใช้คำพูด...BEE SEASON
โพสต์เมื่อวันที่ : 20 มี.ค. 2552 IP : เปิดอ่าน : 6440 ครั้ง
คะแนนของ BLOG นี้
(50.00%-4 ผู้โหวต)
☰แชร์เลย >  
  Share on Google+   LINE it!  
เพิ่มเพื่อน
ไม่พลาดข่าวการศึกษา
ครูบ้านนอก Line Official
กดเพิ่มเพื่อนเลย

Advertisement

.....

Bee Season – “เมื่อถึงคราที่คำพูดไร้ความหมาย”



Bee Season - ผูกหัวใจไม่ต้องใช้คำพูด


เรื่องราวของพ่อผู้หมกมุ่นต่อการฝึกสอนลูกสาวผู้เปี่ยมด้วยพรสวรรค์ของเขา เพื่อเข้าแข่งขันชิงแชมป์สะกดคำศัพท์ระดับประเทศ ซึ่ง Eliza (Flora Cross) ก็แสดงให้เห็นถึงความสามารถอันน่าทึ่งที่ Saul (Richard Gere) พ่อของเธอได้ทุ่มเทให้ แต่ยิ่ง Eliza พบกับความสำเร็จมากขึ้นเท่าไร ความมุ่งมั่นของ Saul ก็ทวีตามมายิ่งขึ้น อันเป็นสาเหตุถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่หลวงของสมาชิกทุกคนในครอบครัว ทั้งการทำตัวแปลกไปของแม่ (Juliette Binoche) และพี่ชายคนโตที่เริ่มตีตัวออกห่างจากคำว่าครอบครัว ปัญหาต่างๆดูจะถาโถมเข้ามาพร้อมๆกับการแข่งขันสะกดคำระดับชาติที่ใกล้จะมาถึงโดยไม่มีใครรู้ว่าปัญหาทุกอย่างจะลงเอยเช่นไร…


ตอนแรกที่เห็นเนื้อเรื่องคร่าวๆของหนังเรื่องนี้มีหนัง 2 เรื่องผุดเข้ามาในหัว เรื่องแรกคือ Akeelah And The Bee หนังที่เล่าเรื่องราวของเด็กผู้หญิงที่มีพรสวรรค์ด้านการสะกดคำ กับอีกเรื่องคือ Little Miss Sunshine หนังครอบครัวอารมณ์ดีที่วุ่นวายกับการส่งเด็กหญิงตัวน้อยของครอบครัวในการประกวดนางงามรุ่นจิ๋ว แต่สำหรับ Bee Season นั้นมีความเป็นดราม่าหนักๆ รวมไปถึงนัยยะทางความเชื่อและศาสนาต่างๆที่แฝงอยู่เกือบตลอดทั้งเรื่องอีกด้วย แต่ตัวหนังเองก็ยังสามารถเล่าเรื่องได้อย่างค่อนข้างน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว

นักแสดงต่างๆในเรื่องก็เด่นไม่น้อย โดยได้ดาราหนุ่มขวัญใจสาวๆรุ่นใหญ่อย่าง “Richard Gere” (ดาราหนุ่มคนเดียวที่ผมคิดว่าไว้ผมขาวแล้วหล่อที่สุด) มารับบทเป็นพ่อพ่อต้องเจอกับปัญหาต่างๆได้อย่างเป็นธรรมชาติ พร้อมด้วย “Juliette Binoche” ที่ยังคงรักษามาตรฐานการแสดงไว้ได้ไม่มีตกหล่น อีกรายที่ถือว่าเด่นที่สุดในเรื่อง “Flora Cross” ก็ถือว่าสอบผ่านครับทั้งการแสดงและความน่ารักของหนูน้อยคนนี้



สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นจุดศูนย์กลางของเรื่องก็คงจะไม่พ้นเรื่องราวของ Eliza ลูกสาวคนเล็กในครอบครัวที่ค้นพบว่าตัวเองมีความสามารถในการสะกดคำเป็นเลิศ โดยที่ผู้เป็นพ่อและแม่ไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อน จะมีก็แต่พี่ชายและครูที่โรงเรียนของเธอเท่านั้นที่พอจะเห็นแววพรสวรรค์ด้านการสะกดคำของเธอ ซึ่งกว่าพ่อและแม่จะรู้ก็ตอนที่เธอชนะการประกวดระดับโรงเรียนไปแล้ว โดยผู้เป็นพ่ออย่าง Saul ที่ปกติจะหมกมุ่นกับการทำงานเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยอยู่ก่อนแล้วเริ่มหันมาเทความสนใจให้กับลูกสาวคนนี้ทั้งการหาเวลาว่างมาฝึกสะกดคำกับ Eliza การพูดคุยกับเธอมากขึ้น ตลอดจนเป็นตัวตั้งตัวตีพาเธอไปแข่งขันยังสถานที่ต่างๆ ซึ่งน่าจะนับเป็นครั้งแรกที่ Saul ให้ความสำคัญกับคนในบ้านมากกว่างานที่ทำอยู่ ด้าน Miriam ผู้เป็นแม่ที่รู้สึกภูมิใจในลูกสาวคนนี้ไม่ต่างจากสามีชองเธอเลย เพียงแต่ว่าในความรู้สึกนั้นกลับมีความรู้สึกแปลกๆ “บางอย่าง” ในตัวเธอที่เธอก็ไม่สามารถเข้าใจได้ปนอยู่ด้วย และสุดท้ายกับลูกชายคนโตในบ้านหลังนี้ที่กำลังเป็นวัยรุ่นหัวเลี้ยวหัวต่อที่ภูมิใจในตัวน้องสาวของเขาไม่แพ้ใคร และดูเหมือนเขาจะสนิทกับ Eliza มากกว่าทุกคนในครอบครัวเพราะทั้งคู่มักจะเปิดใจคุยกันได้ทุกเรื่องอยู่เสมอ

เมื่อเวทีการแข่งขันสะกดคำเริ่มใหญ่ขึ้นจากระดับโรงเรียนเป็นระดับเขต ก่อนที่จะมาถึงระดับประเทศ ก็ดูเหมือนกับว่า “ปัญหา” ในครอบครัวของพวกเขาก็ดูจะใหญ่และตีวงกว้างมากขึ้นเช่นกัน เริ่มจาก Miriam ผู้เป็นแม่ที่เคยมีอดีตอันเลวร้ายมาก่อนทำให้เธอเกิดอาการ “จิตหลอน” อย่างอ่อนๆเสมอมา ทุกครั้งที่เธอกำลังดำเนินชีวิตตามปกติในแต่ละวัน เธอก็มักจะได้ยิน “เสียง” หนึ่งดังขึ้นในหัวของเธอสั่งให้เธอทำบางอย่าง โดยส่วนมากจะเป็นการงัดเข้าบ้านของชาวบ้านแล้วเข้าไปขโมยสิ่งของที่ “ส่องแสงแวววาว” ออกมา และอาการของเธอก็ดูจะรุนแรงขึ้นหลังจากเธอได้คุยกับ Eliza ในคืนหนึ่งหลังการแข่งขัน

“ลูกสามารถสะกดคำยากๆอย่างนั้นได้อย่างไงกัน ลูกเห็นอะไรเวลาลูกหลับตา ?”

Miriam เอ่ยถามลูกสาวด้วยความสงสัยหลังสังเกตลูกบนเวทีตอนประกวดแล้วมักจะหลับตาทุกครั้งที่สะกดคำ

“หนูได้ยินเสียงของคำ ทุกครั้งเวลาหนูหลับตาหนูมักจะได้ยินเสียงของใครสักคนที่หนูไม่รู้จักมากระซิบบอกตัวอักษรต่างๆ หนูก็จะเห็นมัน เห็นตัวอักษร สุดท้ายก็เหลือแค่สะกดมันออกมาเป็นคำเท่านั้น”

คำตอบของ Eliza ทำให้ผู้เป็นแม่หน้าถอดสีด้วยความเป็นกังวลว่าลูกตัวน้อยของเธอจะมีอาการแบบเดียวกับเธอ หลังจากนั้นอาการหลอนของเธอก็ดูจะรุนแรงขึ้นเธอเริ่มงัดเข้าบ้านคนอื่นไปขโมยของมากขึ้นจนกระทั้งถูกตำรวจจับ ซึ่งเรื่องแค่นี้อาจจะทำให้ Saul เข้าใจภรรยาบ้างหากแต่ว่าตำรวจไม่พาเขาไปยังโกดังแห่งหนึ่งที่ Miriam อ้างว่าได้เช่าเป็นเวลาหลายปีแล้วเพื่อเก็บสิ่งของที่ได้จากการขโมยมา ซึ่งทุกอย่างล้วน เป็นสิ่งของเครื่องใช้ที่ "ส่องแสงแวววาว” จำพวกเครื่องแก้ว โมบาย กระจก ของประดับบ้านสารพัดนำมาถักทอเป็นม่านขนาดใหญ่เต็มไปทั่วโกดัง นั่นทำให้ผู้เป็นสามีอย่างเขาเริ่มไม่เข้าใจในความนึกคิดของภรรยาในตอนนี้แล้วนอกจากคิดว่าเธอกำลังป่วยอยู่เท่านั้น ด้าน Saul ผู้เป็นพ่อหลังจากทุ่มเวลาให้กับลูกสาวในการแข่งสะกดคำก็เริ่มที่จะตระหนักแล้วว่าบางทีที่ผ่านๆมาเขาอาจจะไม่ได้เป็นผู้นำครอบครัวที่ดีอย่างที่คิดก็เป็นได้ เพราะเขาไม่ได้เอาใจใส่ภรรยาและสังเกตถึงอาการที่เธอเป็นเลยตลอดระยะเวลาที่อยู่ด้วยกัน ทั้งยังเทความสนใจไปที่ลูกสาวคนเล็กโดยปล่อยลูกชายคนโตไว้ให้โดดเดี่ยวอีกต่างหาก





ส่วนลูกชายคนโตหลังผู้เป็นพ่อทุ่มความสนใจไปที่น้องคนเล็กหมดแล้ว โดยไม่ค่อยได้มาใส่ใจกับเขามากนัก จากยามว่างที่เขามักจะใช้เล่นดนตรีที่ชอบในห้องนอนก็ต้องถูกสั่งห้ามเพราะพ่อบอกว่าจะเป็นการรบกวนน้องที่กำลังฝึกสะกดคำอยู่ จนเหมือนเป็นส่วนเกินในครอบครัว เป็นที่รู้กันว่าเด็กในวัยนี้ต้องการ “สิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ” ในการดำเนินชีวิตบ้าง แต่เขาก็ไม่คิดว่าคนอย่างพ่อของเขาจะเป็นที่ปรึกษาของสิ่งนั้นได้ในเวลานี้ ความสับสนต่างๆที่ถาโถมเข้ามาทำให้เขาพยายามไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนาต่างๆไม่ซ้ำกัน เพื่อหาเพียงที่แห่งเดียวที่เขาจะฝากหัวใจไว้ให้ได้พักพิงบ้าง จนกระทั้งมาเจอกับสาวสวยนางหนึ่งที่ชวนเขาเข้าร่วมกับกลุ่มคนของศาสนาฮินดู และที่นี่เองที่ทำให้ความสับสนต่างๆในใจได้บรรเทาลง สุดท้ายกับ Eliza น้องเล็กของบ้านที่ดูเหมือนว่าการที่พ่อของเธอที่เธอคิดเสมอมาว่าไม่เคยสนใจหรือรักเธอเลยมาทุ่มเทเวลาและความสนใจให้กับเธอในการเตรียมการแข่งจะเป็นเรื่องดี แต่ในทางเดียวกันมันก็เป็นการสร้าง “ความกดดัน” ให้กับเธอด้วย เพราะเธอเชื่อว่าถ้าเธอทำให้พ่อผิดหวังพ่ออาจจะหันไปไม่สนใจเธอ ไม่รักเธออีกเหมือนเมื่อก่อนก็เป็นได้ ยิ่งเมื่อเธอรู้ว่าแม่ของเธอป่วยและพี่ของเธอถูกจับได้ว่าชอบมาหมกมุ่นอยู่กับชมรมทางศาสนาแล้ว คงไม่แปลกที่เธอจะนึกโทษตัวเองว่าเป็น “ต้นเหตุ” ของปัญหาทั้งหมดในครอบครัว


“พระเจ้าคือทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ว่าแม้แต่พระเจ้าก็ต้องการอีก ประสบอีก ให้อีก พระเจ้าจึงสร้างภาชนะที่ใช้บรรจุซึ่งความสามารถรับของขวัญชิ้นนี้ แสงบริสุทธิ์ของพระเจ้า แสงศักดิ์สิทธิ์ที่หลั่งไหลสู่ภาชนะนี้ แน่นอน ภาชนะนี้ไม่สามารถบรรจุแสงที่มากมายนี้ไว้ได้จึงแตก ทำลายภาชนะนั้นแล้วทำให้เศษเล็กเศษน้อยกระจายไปในการสร้างสรรค์ครั้งใหญ่ ทีนี้หน้าที่ของมนุษย์คือค้นหาและรวบรวมเศษเล็กเศษน้อยเหล่านั้นเพื่อสร้างภาชนะซึ่งก็คือโลกของเราใหม่อีกครั้ง” (ทิคคูน โอลัม - การซ่อมแซมโลก)

ข้อความข้างต้นเป็นสิ่ง Saul พยายามสอนลูกศิษย์ในห้องเรียนและเป็นสิ่งเขาพูดให้คนในครอบครัวฟังอยู่เสมอ ซึ่งมันสะท้อนไปยังพฤติกรรมของ Miriam ที่อ้างถึงการเก็บรวมรวมแสงจากสิ่งที่เธอขโมยมา ถ้ามองกันตรงๆในหนังจะเห็นว่า Saul มักจะไม่ค่อยพูดในสิ่งที่ตัวเอง “รู้สึก” จากใจแต่จะพูดในสิ่งที่ “เชื่อ” จากสมองมากกว่า จึงทำให้อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ลูกทั้ง 2 รู้สึกห่างเหินกับผู้เป็นพ่อ อีกอย่างที่มองเห็นในครอบครัวนี้ก็คือ การที่คนในครอบครัวไม่เปิดใจพูดกันอย่างตรงไปตรงมา (เว้นแต่ระหว่างลูกทั้ง 2 คนที่เปิดใจคุยกันบ้าง)


ถ้าจะคุยก็จะเป็นเพียงแค่ถ้อยคำประโยคพื้นๆเท่านั้น ฉากที่ 2 พี่น้องเอาจดหมายสำคัญของตัวเองลอดผ่านใต้ประตูห้องพ่อของพวกเขาสื่อได้ชัดเจนในเรื่องของการที่เป็นครอบครัวที่ขาด "ความใกล้ชิด" ที่จะเปิดใจหรือคุยกันตามประสาพ่อๆลูกๆทั่วไป



“คนเราพูดคุยติดต่อกับพระเจ้าได้ไม่ใช่แค่สวดมนต์แต่ให้พระเจ้าฟังเรา และบางครั้งในกรณีพิเศษก็ให้พระเจ้าพูดคุยกับเรา ให้พระเจ้าไหลผ่านตัวเรา การเพ่งสมาธิไปที่ตัวหนังสือ จิตใจจะเปิดกว้าง ซึ่งเป็นวิธีที่พิเศษที่สุดของการอยู่กับพระเจ้า” (นักลักธิลึกลับ)


ข้อความข้างต้นถูกสื่อออกมาในฉากการแข่งขันของ Eliza บนเวทีต่างๆ โดยระหว่างที่เธอหลับตาผู้ชมก็จะได้ยินเสียงกระซิบเบาๆทเหมือนกับที่ Eliza ได้ยิน พร้อมกับเห็นตัวอักษรไปพร้อมๆกัน และช่วงสุดท้ายของหนัง ก่อนวันที่ Eliza จะขึ้นเวทีแข่งสะกดคำระดับประเทศ แล้วพลางคิดถึงคำพูดนี้ เมื่อเธอเพ่งไปที่ตัวอักษรในห้องก่อนที่จะลอยขึ้นจากพื้นพร้อมๆกับตัวอักษรที่ลอยเหมือน "ภาชนะที่เต็มไปด้วยแสง" ไหลผ่านตัวเธอก่อนที่จะล้มลงกลางห้อง ซึ่งตรงนี้ผู้ชมอาจจะตีความถึงเรื่องของการที่ Eliza ได้ใกล้ชิดกับพระเจ้าอย่างที่เรื่องของนักลักธิลึกลับที่พ่อเคยเล่าให้ฟังจะเกิดขึ้นกับเธอ กับ การที่ Eliza อาจจะเกิดภาพหลอนอย่างที่แม่เธอเป็นก็เป็นได้ แล้วแต่จะตึความกันไป




แต่ไม่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้จะเป็นอะไรก็ตาม เมื่อฉากสุดท้ายของหนังมาถึง โดย Eliza เพียงสะกดคำสุดท้ายได้ก็จะเป็นผู้ชนะเวทีการแข่งสะกดคำระดับประเทศได้ดั่งที่คนเป็นพ่อหวังไว้ และครั้งนี้เมื่อหลับตาเธอยังคงได้ยินเสียงนั้น แต่เมื่อลืมตาภาพของตัวอักษรก็ยังปรากฏอยู่ตรงหน้าเธอเช่นเคย ภาพและเสียงของตัวอักษรที่ไม่เคยผิดพลาดสักครั้งถ้าเธอเลือกที่จะเชื่อและเอ่ยออกมา แต่สุดท้ายเธอก็เลือกในสิ่งที่เธอและคนอื่นในครอบครัวไม่เคยนึกถึงมาก่อน เธอเลือกที่จะ “ฟังเสียงของตัวเอง” เป็นครั้งแรก ซึ่งผลที่ออกมานั้นแม้จะไม่เป็นอย่างที่ผู้เป็นพ่อหวังไว้ แต่ภาพที่พี่ชาย น้องสาว และพ่อสวมกอดกันอย่างมีความสุข พร้อมด้วยน้ำตาที่พรั่งพูลไหลออกมาอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในครอบครัวนี้ รวมถึงผู้เป็นแม่ที่นั่งชมการถ่ายทอดสดอยู่ที่โรงพยาบาลซึ่งร้องไห้ด้วยความยินดีที่ตรงข้ามกับผลการแข่งที่ออกมา แต่นั่นก็เพราะเธอรู้แล้วว่าตอนนี้ Eliza ได้เลือกในทางที่สมควรที่สุดแล้ว ทางที่เธอไม่สามารถทำได้ ความโล่งใจและดีใจจึงเป็นสิ่งที่ผู้เป็นแม่คนนี้รู้สึกในตอนนี้ และนี่ถือเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ของครอบครัวหลังรวบรวมเก็บแสงสว่างมานาน คราวนี้โลกใหม่ของพวกเขา โลกที่มีความเข้าใจกัน ความรักและความสุขก็เริ่มต้นเสียที …



Advertisement


เรื่องน่าสนใจจากสมาชิกท่านอื่น
 

ไม่มีความเห็น
เกี่ยวกับเรื่อง ผูกหัวใจไม่ต้องใช้คำพูด...BEE SEASON
 
 


 
เกมส์ รวมเกมส์ เกมส์แข่งรถ เกมส์ต่อสู้ เกมส์ภาษา เกมส์วางระเบิด เกมส์แต่งตัว เกมส์ท่องเที่ยว เกมส์หมากฮอส เกมส์ผจญภัย เกมส์เต้น เกมส์รถ เกมส์ดนตรี เกมส์ขายของ เกมส์ฝึกสมอง เกมส์เด็กๆ เกมส์ปลูกผัก เกมส์การ์ด เกมส์จับผิดภาพ เกมส์ตลก เกมส์ตัดผม เกมส์ก้านกล้วย เกมส์ทําอาหาร เกมส์เลี้ยงสัตว์ เกมส์ผี เกมส์จับคู่ เกมส์กีฬา เกมส์เศรษฐี เกมส์ฝึกทักษะ เกมส์วางแผน เกมส์จีบหนุ่ม เกมส์มาริโอ เกมส์ระบายสี เกมส์จีบสาว เกมส์เบ็นเท็น เกมส์ยิง เกมส์ยาน เกมส์สร้างเมือง เกมส์มันส์ๆ เกมส์แต่งบ้าน เกมส์ความรู้

สุภาภรณ์ นิลยกานนท์(เพชรสุภา)
เจ้าของบล็อกนี้
Advertisement
Advertisement
เรื่องราวล่าสุด ของ
สุภาภรณ์ นิลยกานนท์(เพชรสุภา)..