.....
ทำไมจึงได้นิมนต์พระมาสวดศพ
เรามักจะเข้าใจว่า...พระสวดศพหรือสวดผี คนที่สุภาพก็เรียกว่า พระสวดศพ แต่ถ้าเป็น
เป็นคนที่ไม่ค่อยสุภาพเรียบร้อยก็มักจะเรียกว่า พระสวดผี โดยเฉพาะคนที่มาดื่มเหล้าใน
งานศพมักจะพูดว่า พระสวดผี พูดทั้งสองอย่ามันก็ไม่ถูกทั้งนั้น คือพระไม่ได้สวดศพ ไม่
ได้สวดผีอะไร คนตายแล้วไม่ต้องสวดก็ได้ แต่ว่าที่สวดกันอยู่นั้น เป็นเรื่องสวดให้คนเป็น
ฟัง ไม่ได้สวดให้คนตายฟัง
แม้ว่าเวลาพระจะให้ศีล พระจะเริ่มสวดก็มีคนไปเคาะข้างโลง เคาะบอกให้ลุกขึ้น
รับศีล ให้ลุกขึ้นฟังสวด เคาะอย่างนี้ไม่ได้เคาะให้ศพในโลงลุกขึ้น แต่ว่าเขาเคาะเพื่อเตือน
คนเป็นให้เกิดความรู้สึกสำนึกตัว ให้รู้สึกว่า ดูเถอะ ตายแล้วลุกขึ้นรับศีลก็ไม่ได้ ทำบุญก็ไม่
ได้ เอาอาหารมาวางที่ข้างโลงก็กินไม่ได้ แปลว่า ตายแล้วนี้ทำอะไรไม่ได้ ทำบาปก็ไม่ได้
ทำบุญก็ไม่ได้ เรื่องการกระทำทั้งหลายทั้งปวงนั้น เป็นเรื่องทำเสียก่อนตาย ความชั่วนั้นไม่
พึงกระทำนัก แต่คนมันก็หลงทำกันอยู่ ตามสมควรแก่ความโง่ความเขลา
ความจริงนั้น การกระทำทั้งหลายต้องทำเมื่อยังมีชีวิตอยู่ แต่ว่าทำจึงได้นิมนต์พระ
มาสวดในงานศพ เรื่องมันเป็นอย่างนี้ คือว่าสมัยก่อนนี้ เวลามีใครตายขึ้นในบ้านเรือน
ใครก็ตาม พระท่านสงสารคนที่ยังเป็นอยู่ คนตายแล้วไม่ต้องสงสารอะไร ตายแล้วก็
แล้วกันไป พูดอะไรกันไม่รู้เรื่อง แต่ว่าคนยังเป็นอยู่ มีความทุกข์ มีความเสียดาย เพราะ
ความรักความชอบใจกัน
เช่น พ่อแม่รักลูก ลูกตายก็เสียใจ ภรรยารักสามี สามีตายก็เสียใจ ภรรยาตาย
สามีก็เสียดายเสียใจ ลูกตายก็เสียดายเสียใจ อันนี้มันเป็นเรื่องธรรมดาของคนที่ยังมี
ความยึดมั่นถือมั่น ว่าสิ่งทั้งหลายเป็นของเรา เมื่อสิ่งนั้นสูญเสียไปก็มีความเสียดาย
พระท่านเห็นว่ามันเป็นความทุกข์ ในธรรมะของพระพุทธศาสนาก็สอนไว้ว่า “การพลัด
พรากจากของรักของชอบใจเป็นทุกข์”
คัดมาจากหนังสือธรรมะเตือนใจเนื่องในงานฌาปนกิจศพ นางพิศ นิลปักษ์ เมื่อวันที่ 14 ธ.ค.36
Advertisement