หลังจากเรื่องราวความโสมมสุดทราม ที่ซุกอยู่ในอีกซอกหลืบหนึ่งของสังคมไทย  เป็นที่เปิดเผยโดย  น.ส.ลัดดา ตั้งสุภาชัย ผอ.ศูนย์เฝ้าระวังทางวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม กรณีซีดีอุบาทว์ที่แก๊งซีดีนรกจ้างแม่มีเซ็กซ์ กับลูกแท้ๆ ด้วยเงิน 5 พันบาทนั้น 

น.ส.ลัดดากล่าวถึงเรื่องนี้เมื่อ 19 ก.พ. 2552 ว่า

ข้อมูลที่ออกไปนั้น เป็นข้อมูลจากการประชุมคณะอนุกรรมาธิการปราบปรามสื่อลามก โดยมีนายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ เป็นประธาน เมื่อ 2 ปีที่แล้ว กรณีซีดีอุบาทว์เป็นกรณีศึกษาจากที่ประชุมได้มีการหยิบยกขึ้นมานำเสนอ  เพื่อหาแนวทางการป้องกันแก้ไข และขยายผลจับกุม สำหรับข่าวที่ออกไป เป็นการหยิบยกประเด็นตัวอย่าง ออกมาพูดคุยแลกเปลี่ยนปัญหาที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับเรื่องการถ่ายคลิปลามกในการเสวนาของมูลนิธิกระจกเงา นอกจากนี้จากการที่สื่อมวลชนได้นำเสนอข่าวเกี่ยวกับครูสาวและลูกศิษย์ชายมีเพศสัมพันธ์กันนั้น  ศูนย์เฝ้าระวังทางวัฒนธรรม  ก็ได้รับเรื่องร้องเรียนจากทางเครือข่าย ผู้ปกครอง เกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์ ระหว่างครูสาวกับลูกศิษย์จำนวนมาก ในหลากหลายรูปแบบ ทั้งนำเสนอเนื้อหา ภาพ นิยาย การ์ตูน คลิปวีดิโอ ทางสื่ออินเตอร์เน็ต มีรูปแบบทั้งการที่ครูเป็นผู้กระทำชำเราเด็กนักเรียน อาจารย์ใหญ่มีเซ็กซ์กับเด็กในห้องพักครู เด็กนักเรียนรุมข่มขืนครู ภาพคลิปวีดิโอครูและศิษย์กำลังมีเพศสัมพันธ์กัน เป็นคลิปที่เป็นครูและศิษย์จากต่างประเทศ เป็นต้น 

ผอ.ศูนย์เฝ้าระวังทางวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า

จากการค้นหาต้นตอของการนำเสนอเนื้อหา รูปภาพดังกล่าว พบว่า ขณะนี้ในสื่ออินเทอร์เน็ต มีการเขียนนิยายของการมีเพศสัมพันธ์ ระหว่างครูกับเด็ก เมื่อได้อ่านแล้ว พบว่าเนื้อหาของนิยายได้บรรยายการกระทำเป็นขั้นเป็นตอนของการมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วง เพราะขณะนี้มีพฤติกรรมการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างเด็กและครู เกิดขึ้นจริงๆ หากปล่อยไว้อาจจะเกิดขึ้นอีก เพราะนิยายและคลิปวีดิโอลามกในโลกอินเทอร์เน็ต มีการแพร่หลายอย่างรวดเร็ว อาจเป็นภัยร้ายส่งผลให้เด็กในกลุ่มเสี่ยง เกิดจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ มีพฤติกรรมเลียนแบบการกระทำดังกล่าวได้ ทั้งนี้ ตนจะนำเรื่องดังกล่าวเสนอต่อนายธีระ สลักเพชร รมว.วัฒนธรรม เพื่อประสานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการขยายผลจับกุมเว็บไซต์ ที่มีการนำเสนอนิยายลามก มีส่วนชี้นำเด็กให้เกิดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม อยากให้รับรู้กันว่า ขณะนี้สังคมไทยกำลังอยู่ในภาวะวิกฤติทางสังคมที่เน่าเฟะ หากไม่มีการตีแผ่นำเสนอข่าวเหล่านี้ออกไป เรื่องที่เป็นภัยต่อสังคมก็จะถูกปล่อยปละละเลย ไม่มีหน่วยงานใดเข้ามารับผิดชอบอย่างจริงจัง