หน้าแรก | ครูบ้านนอกบล็อก
ศูนย์รวมความคิด ความรู้ ประสบการณ์ ของคุณครู สมาชิกเว็บไซต์ ครูบ้านนอก.คอม ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านที่ตั้งใจทำเพื่อสังคมครับ
เจ้าของโพสต์นี้
ศุภฤกษ์ รัตน์คุณากร
จากจังหวัด นครราชสีมา

วิธีสวดมนต์ที่ถูกต้อง
โพสต์เมื่อวันที่ : 4 ก.พ. 2552 IP : เปิดอ่าน : 6438 ครั้ง
คะแนนของ BLOG นี้
(50.00%-8 ผู้โหวต)
☰แชร์เลย >  
  Share on Google+   LINE it!  
เพิ่มเพื่อน
ไม่พลาดข่าวการศึกษา
ครูบ้านนอก Line Official
กดเพิ่มเพื่อนเลย

Advertisement

.....

วิธีสวดมนต์ที่ถูกต้อง
	บทสวดมนต์หลายบทนั้นมีอานุภาพในตัวเองมากมายมหาศาล  แต่ต้องขึ้นอยู่กับ "ผู้สวด" ด้วย
	มีหลายท่านได้ยินได้ฟังมาว่า  คนนั้นคนนี้สวดมนต์บทนั้นบทนี้แล้วจะได้รับสิ่งที่ดีๆ อย่างนั้น
อย่างนี้  จึงมีผู้เลือกเอาบทสวดมนต์ต่างๆ มาบอกเล่ากันว่าควรสวดบทไหน
	ขอเรียนให้ท่านทราบด้วยความจริง....ว่า...
	การที่สวดมนต์ตามบทสวดมนต์ต่างๆ แล้วได้สมหวังตามความปรารถนา  หรือสวดแล้วได้โชค
ลาภต่างๆ นั้น  ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ "บทสวดมนต์" แต่เพียงอย่างเดียว  มีองค์ประกอบอย่างอื่นด้วย
	องค์ประกอบของการได้ทุกอย่างตามที่ปรารถนานั้น  มีส่วนสำคัญอยู่ 3 ส่วน
	1. กรรม		2.ตัวเราเอง     	3.ผู้ช่วยหรือสิ่งต่างๆ ช่วย

	1.กรรม  มีอัตราส่วน 50 %
	ถ้าคนเราไม่มีส่วนของการกระทำที่ได้เคยทำไว้ในอดีตมาเป็นพื้นฐานแล้ว  ไม่มีทางที่จะดีขึ้นมาได้  
เปรียบเทียบว่า กรรม ดีที่เราทำนั้น  เป็นกำลังพื้นฐานที่รองรับเรื่องราวต่างๆ
	2.ตัวเราเอง  มีอัตราส่วน 25 %
	ถ้าเราเองไม่ทำตัวให้ดี  เพื่อรองรับ  หรือรอรับสิ่งที่ดีๆ แล้ว  ก็ไม่มีทางที่จะได้ดีขึ้นมาได้
	3.ผู้ช่วยหรือสิ่งที่มาช่วย  มีอัตราส่วน 25 %
	ผู้ช่วยในที่นี้  รวมถึงทุกสิ่งทุกอย่าง  ไม่ว่าจะเป็นครูบา  อาจารย์  ผู้ที่มีจิตดี   จิตบริสุทธิ์  พรหม 
เทพ   เทวดา  สิ่งศักดิ์สิทธิ์  บทสวดมนต์  พระคาถา  เครื่องราง  ของขลัง  วัตถุมงคล ฯลฯ
	สิ่งเหล่านี้  เป็น "อุปกรณ์" เสริมที่มีความจำเป็น  เพื่อให้สิ่งที่เราต้องการ  สิ่งที่เราปรารถนา  สม
ตามความต้องการ
	นี่เป็นการเปรียบเทียบเพื่อให้เห็นชัดๆ
	สมมติว่า  ถ้าเป็นการสอบ  ต้องการคะแนน 50 เพื่อ "ผ่าน"
	ลองคิดดูง่ายๆ ว่า  ถ้าเราจัดอัตราส่วนแล้วเราต้องใช้ส่วนไหนมากที่สุด
	ถ้าใช้ส่วนที่มากที่สุด  ก็คือ ส่วนที่เป็น "กรรม"  เรามีอัตราส่วนถึง 50 % 
	ถ้าเราเคยทำกรรมดีไว้พอสมควร  คือทำกรรมดีไว้เต็มเปี่ยมได้ครบ 50 % เราก็ไม่จำเป็นต้องไป
หาคะแนนมาจากไหนมาเพิ่ม  เพราะได้ครบ 50 % แล้ว
	เคยสังเกตหรือไม่ว่า  คนบางคนแค่เพียง "นึก" ก็ได้สมตามความปรารถนาแล้ว
	ไม่จำเป็นต้อง "ร้องขอ" จากสิ่งใดๆ อีก  ก็ได้ทุกอย่างตามที่ปรารถนา
	นั่นก็แสดงว่า  บุคคลนั้นได้กระทำ "กรรม" ที่ดีๆ มาอย่างเต็มเปี่ยมแล้วในอดีต

	แต่ถ้าท่านยังทำความดีไม่เพียงพอ  กระพร่องกระแพร่ง  หรือขาดตกไปบ้าง  สมมติว่ามี "กรรมดี" 
ได้คะแนนเพียง 30 %  จำเป็นที่จะต้องหาคะแนนจากที่อื่นมาเพิ่มให้ครบ 50 คะแนน
	จะไปเอาจากไหน ก็จากที่เหลือ 2 ส่วนที่เหลือ คือจากตัวเราเองและผู้ช่วยเหลือหรือสิ่งช่วยเหลือ
	การที่จะไปหาให้ครบ 50 คะแนนนั้น  ถ้าเอามาจากตัวเองน่าจะง่ายกว่าไปหาจากคนอื่น  เพราะ
การที่ทำเอง  ก็จะได้เอง  และได้มากกว่าคนอื่นมาทำให้
	แต่ถ้าถามว่า  เราทำเองนั้น  ทำดีได้แค่ไหน  จริงใจกับการทำความดีได้แค่ไหน  หรือทำไปแล้ว  
ผลที่ได้จะเพียงพอกับคะแนนที่ต้องการหรือไม่
	สมมติว่าทำได้อีก 10 คะแนน (จาก 25 คะแนน)  เราก็ได้เพิ่มแล้วเป็น 40 คะแนน
	ยังขาดอยู่ 10 คะแนน  เราก็ต้องอาศัยผู้ช่วยเหลือ  หรือสิ่งช่วยเหลือ เช่น ครูบา  อาจารย์  ผู้ที่มี
"จิต" ดี   "จิต" บริสุทธิ์ เทพ  เทวดา  พรหม  สิ่งศักดิ์สิทธิ์  บทสวดมนต์  พระคาถา  เครื่องราง  ของขลัง  
วัตถุมงคล ฯลฯ
	เหล่านี้ก็สามารถช่วยท่านได้อีก 10 คะแนน  รวมแล้วครบ 50 คะแนน  ถือว่า "ผ่าน"
	นี่เป็นเพียงการเปรียบเทียบ  และแสดงให้เห็นว่า  ทุกส่วนต้องมีการเกื้อหนุนและประกอบกัน
	ถ้าแค่ผ่าน  ก็ใช้เพียง 50 % หรือ 50 คะแนน
	แต่ถ้าจะให้ "เยี่ยม" ต้องใช้คะแนนมากๆ
	บางคนทำคะแนนได้มากถึง 90 หรือเกือบร้อย
	เช่น  ทำแต่กรรมดี  มาตั้งแต่อดีต  เป็นคนที่ทำตัวเองดี  และได้ผู้ช่วยเหลือดี
	เลยทำให้ได้ดี  มากยิ่งขึ้น
	จำเอาไว้ว่า  กรรม 50  ตัวเอง 25  ผู้ช่วยเหลือ 25
	ไปจัดสัดส่วนเอาเอง
	ถ้าจะมานั่งรอแต่ให้คนอื่นช่วย (25 คะแนน  ซึ่งความเป็นจริง  ใครหรืออะไรจะมาช่วยได้ครบ 
25 คะแนน) แล้วไม่ทำตัวเองให้ดีๆ  ไม่ทำกรรมดีมาแต่ก่อน
	จะไปได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ  หรือจะได้รับสิ่งที่ดีๆ ได้อย่างไร
	เพราะฉะนั้นความเป็นจริง  ตัวเราเองเป็นส่วนสำคัญ
	มีคะแนนถึง 75 % หรือ 75 คะแนน
	จากการกระทำดีของเราที่ได้เคยทำไว้  ซึ่งก็คือ "กรรม" 50
	ตัวเราเองทำดีด้วย 25
	ถ้าทำได้แค่นี้  75 คะแนนแล้ว  ผ่านได้อย่างสบายๆ
	จะมานั่งรอผู้ช่วยเหลือ  หรือสิ่งช่วยเหลือทำไม  แค่เพียง 25 คะแนนเอง
	เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว  ทำไมไม่ฝึกตัวเองก่อน
	ให้ตัวเองมี "ดี" พอก่อน  ก่อนที่จะไปหา "ดี" จากที่อื่น

	บทสวดมนต์ก็เช่นกัน  จัดอยู่ในข้อที่ 3 คือผู้ช่วยเหลือ  หรือสิ่งช่วยเหลือ
	อย่าลืมว่าเป็นเพียง "ส่วนประกอบเท่านั้น"
	คนที่ไม่มี "กรรม" ดีมาก่อน  ไม่ได้ทำตัวให้เป็นคนดีก่อน  ไม่ทำบุญทำกุศลมาก่อน   ให้สวด
พระคาถาชินบัญชร 100 จบ 1000 จบก็ไม่ได้อย่างที่ตัวเองต้องการ
	หรือเรียกง่ายๆ ว่า อาจจะไม่ได้ดีตามที่หวัง
	แต่การสวดมนต์ก็ได้ "กุศล" แล้ว  แต่ได้อย่างมากที่สุดก็ไม่เกิน 25 คะแนน
	
	รู้อย่างนี้แล้วจะมามัวมานั่งทำอย่างใดอย่างหนึ่งทำไมกัน
	ทำทั้ง 3 ส่วนให้สมดุลย์กันไม่ดีกว่าหรือ ?
	ทั้งทำ "กรรม" ดี  ทำตัวเองให้ดี (รวมถึงการทำบุญกุศล  ปฏิบัติภาวนา ฯลฯ)  และ
หาผู้ช่วยเหลือสิ่งช่วยเหลือที่ดี
	แล้วสิ่งที่คุณต้องการ...ก็จะไม่ไกลเกินความจริง

	 การสวดมนต์เพื่อให้ได้อานิสงส์สูงสุด
	1.อย่าสักแต่ว่าสวดเป็นนกแก้วนกขุนทอง  คือท่องๆ บ่ยๆ ไปตามอักขระที่อ่านหรือนึกได้
	ข้อนี้ไม่ได้หมายความว่าต้องให้รู้ความหมายด้วย  ไม่จำเป็นขนาดนั้น  เพราะการรู้ความหมาย
เป็นเพียงส่วนเสริมเท่านั้น (แต่ถ้ารู้ความหมายด้วย  ก็เป็นเรื่องดี)
	จะรู้ความหมายหรือไม่รู้ความหมายก็ไม่สำคัญเท่ากับการสวดมนต์อย่างมีสมาธิ
	2.ต้องสวดมนต์อย่างมีสมาธิ  หมายความว่า  เวลาที่จะสวดมนต์นั้น  ต้องรู้ก่อนว่าสวดมนต์
บทไหน (จะรู้ความหมายหรือไม่รู้ก็ได้)  แต่เวลาที่สวดมนต์นั้น  ให้รู้ว่าอักขระหรือตัวหนังสือที่เรากำลังจะ
ท่องนั้น คือตัวอะไร
	ฟังดูอาจจะเข้าใจยาก  เอาอย่างนี้ เวลาที่จะสวดมนต์ เช่น นะโม  ตัสสะ ฯลฯ  ก็ต้องรู้ว่าตอนนี้
กำลังสวดคำว่า นะ  คำว่า โม  คำว่า ตัส  คำว่า สะ
	คือให้รู้ตัวทุกตัวอักขระว่ากำลังสวดคำไหน
	ทำได้มั้ยครับ  ถ้าทำได้..คือรู้ตัวว่าสวดอักขระตัวไหน  เราก็จะมีสติใจจดจ่อกับคำสวดตามอักขระ  
	เมื่อมีสติเราก็จะมีสมาธิ
	การมีสติ  และมีสมาธิในเวลาสวดมนต์นั้น  จะได้รับ "พลังงาน" ที่ดี
	ทำให้ได้  แล้วจะได้รู้ว่า  สวดมนต์เวลาที่มีสติและสมาธิ  จะ "ดีกว่า" สวดมนต์แบบนกแก้วนก
ขุนทองอย่างมากมายมหาศาล

	 การเรียงการสวดมนต์  ตามที่ได้ลงในเวบนี้
	ให้สวดมนต์ตามที่ได้ลงเอาไว้  ตั้งแต่ บทสวดมนต์ที่เกี่ยวกับพระรัตนตรัย  บท
ชัยมงคลคาถา (บทพาหุง ฯ)  และจบด้วยพระคาถาชินบัญชร
	จะท่องโดยไม่ต้องดูตัวหนังสือก็ได้  แต่อย่าขี้เกียจ  หมั่นท่องจำไว้ให้ได้ก็ดี  อย่านึกว่ามีหนังสือ  
มีตำรา  แล้วเอาแต่เปิดหนังสือ  เปิดตำราท่อง
	แรกๆ ก็เปิดได้   เพราะคนไม่เคยท่องจะให้จำได้อย่างไร
	แต่ถ้านานๆ ไป  ควรท่องจำเองโดยไม่ต้องเปิดหนังสือหรือตำรา
	เพราะการท่องด้วยจิตใจที่จดจ่อกับคำที่เราท่อง  สิ่งที่เราได้ก็คือ จิตจะมีสมาธิ
	การสวดมนต์ก็คือการปฏิบัติสมาธิอย่างหนึ่งเช่นกัน

   จาก  http://www.extrasoul.com/pray.html

Advertisement


เรื่องน่าสนใจจากสมาชิกท่านอื่น
 

ไม่มีความเห็น
เกี่ยวกับเรื่อง วิธีสวดมนต์ที่ถูกต้อง
 
 


 
เกมส์ รวมเกมส์ เกมส์แข่งรถ เกมส์ต่อสู้ เกมส์ภาษา เกมส์วางระเบิด เกมส์แต่งตัว เกมส์ท่องเที่ยว เกมส์หมากฮอส เกมส์ผจญภัย เกมส์เต้น เกมส์รถ เกมส์ดนตรี เกมส์ขายของ เกมส์ฝึกสมอง เกมส์เด็กๆ เกมส์ปลูกผัก เกมส์การ์ด เกมส์จับผิดภาพ เกมส์ตลก เกมส์ตัดผม เกมส์ก้านกล้วย เกมส์ทําอาหาร เกมส์เลี้ยงสัตว์ เกมส์ผี เกมส์จับคู่ เกมส์กีฬา เกมส์เศรษฐี เกมส์ฝึกทักษะ เกมส์วางแผน เกมส์จีบหนุ่ม เกมส์มาริโอ เกมส์ระบายสี เกมส์จีบสาว เกมส์เบ็นเท็น เกมส์ยิง เกมส์ยาน เกมส์สร้างเมือง เกมส์มันส์ๆ เกมส์แต่งบ้าน เกมส์ความรู้

ศุภฤกษ์ รัตน์คุณากร
เจ้าของบล็อกนี้
Advertisement
Advertisement
เรื่องราวล่าสุด ของ
ศุภฤกษ์ รัตน์คุณากร..