ปัญหาที่มาจากความปรารถนาดีของกระทรวงพลังงานที่จะนำเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมาจ่ายให้ก่อนเพื่อ "ชะลอ" การปรับขึ้นราคาขายปลีกจากการเพิ่ม ภาษีสรรพสามิตเป็นระยะเวลา 2 เดือน ก็คือเมื่อปรับลดการจัดเก็บเงิน ส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจากน้ำมันแก๊สโซฮอล์/น้ำมันเบนซินลง1 บาท/ลิตร

ปรากฏว่าการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตของน้ำมันแก๊สโซฮอล์ มีผลทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 91 "ต่ำกว่า" ราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 ซึ่งหมายถึงราคาน้ำมันขายปลีกหลังวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ไม่ส่งเสริมให้ผู้บริโภคหันไปใช้พลังงานทดแทน โดยเฉพาะ อย่างยิ่งน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 และมี แนวโน้มว่าในอนาคต ราคาจะใกล้เคียงกันมากขึ้น



ดังนั้นเพื่อเป็นการแก้ปัญหาดังกล่าว "แบบง่ายๆ" ที่ประชุม กบง.จึงมีมติให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯเฉพาะของน้ำมันเบนซิน 91 ขึ้นจาก 4 บาท/ลิตรด้วย นั่นหมายถึงว่า ผู้บริโภคที่ไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องใช้น้ำมันเบนซิน ออกเทน 91 จำเป็นต้อง "จ่ายเงินค่า น้ำมันเพิ่มขึ้น" เพื่ออุดหนุน "ส่วนต่าง" ราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์กับน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้นอีก นับเป็นผลพวง "แอบแฝง" ของการปรับขึ้นอัตราภาษีสรรพสามิต อีกข้อหนึ่งที่ไม่มีใครกล่าวถึงเช่นกัน

อย่างไรก็ตามทุกครั้งที่มีการปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศโดยมีลักษณะของการ "อุดหนุน" จากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง จะต้องมีการตรวจเช็ก สต๊อกน้ำมัน ณ คลังน้ำมันและสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศ ครั้งนี้ก็เช่นกันที่ประชุม กบง.จึงมอบหมายให้ กรมธุรกิจพลังงาน รับไปแก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งนายกรัฐมนตรีเรื่อง การกำหนดมาตรการ เพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง

เพื่อให้ คณะกรรมการ เข้าไปดำเนินการตรวจสอบปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิง "คงเหลือ" ณ คลังน้ำมันและสถานี บริการน้ำมันทั่วประเทศทุกครั้งที่มีการปรับขึ้นราคาครั้งใหม่ ตั้งแต่เวลา 24.00 น.ของวันก่อนที่ประกาศราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงราคาใหม่จะมีผลใช้ บังคับและให้เรียกเก็บเงิน "ส่วนเกิน" ของปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงคงเหลือจาก ผู้ประกอบการค้าน้ำมัน-คลังน้ำมันและ สถานีบริการน้ำมัน และให้นำเงิน ส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงต่อไป

โดย ศัลยาพลังงาน