.....
2. ได้ดำเนินการตามขั้นตอนดังนี้
1.
2.
2.1 วิเคราะห์หลักสูตร มาตรฐานการเรียนรู้และผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง ของกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
2.2 สร้างแบบทดสอบแบบทดสอบสมรรถนะการเรียนวิทยาศาสตร์ ประเภทเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 40 ข้อ
2.3 นำแบบทดสอบให้ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน ประเมินความสอดคล้องระหว่างผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง กับแบบทดสอบรายข้อ
2.4 นำแบบทดสอบสมรรถนะการเรียนวิทยาศาสตร์ ที่ปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญไปทดลองใช้ กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 20 คน แล้ววิเคราะห์รายข้อ เพื่อหาค่าความยากง่าย (p) และค่าอำนาจจำแนก (r)
2.5 คัดเลือกข้อสอบสมรรถนะการเรียนวิทยาศาสตร์ จำนวน 30 ข้อ ที่มีค่าความยากง่าย (p) อยู่ระหว่าง .20 - .85 และค่าอำนาจจำแนก (r) อยู่ระหว่าง .40 - .90 มาวิเคราะห์หาค่าความเชื่อมั่น โดยใช้สูตร KR- 20 ของคูเดอร์ริชาร์ดสัน ได้ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .85
3. การพัฒนาแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน ดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปนี้
3.1 ศึกษาเอกสาร แนวคิดทฤษฎี และงานวิจัย แล้ววิเคราะห์ เพื่อนำไปใช้เป็นข้อมูลเบื้องต้นในการสร้างแบบสอบถาม
3.2 สร้างแบบสอบถาม แล้วนำไปให้ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน ตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) และความเหมาะสมของภาษาในแต่ละข้อคำถาม
3.3 ทดลองใช้แบบสอบถามความพึงพอใจต่อการใช้รูปแบบการสอนแบบจัดการความรู้ กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 20 คน แล้วหาค่าความเชื่อมั่นโดยใช้วิธีสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค (Cronbach’s Coefficient of Alpha) ได้ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ เท่ากับ .86
1. วิธีดำเนินการทดลอง
การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ดำเนินการศึกษาและเก็บรวบรวมข้อมูล กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2551 จำนวน 27 คน ดังนี้
1. ชี้แจงให้นักเรียนทราบถึงการเรียนการสอน โดยใช้รูปแบบการสอนแบบจัดการความรู้ ที่สร้างขึ้นเพื่อให้นักเรียนปฏิบัติตนได้อย่างถูกต้อง
2. นำแบบทดสอบสมรรถนะการเรียนวิทยาศาสตร์ ไปทำการทดสอบกับนักเรียน แล้วบันทึกคะแนนที่ได้
3. ดำเนินการสอนตามรูปแบบที่สร้างขึ้น และประเมินผลหลังการสอนแต่ละเรื่อง
4. เมื่อนักเรียนได้รับการสอนโดยใช้รูปแบบการสอนแบบจัดการความรู้ แล้ว ให้นักเรียนทำแบบทดสอบสมรรถนะการเรียนวิทยาศาสตร์ แล้วบันทึกคะแนนที่ได้จากการทดสอบ
5. สำรวจความพึงพอใจของนักเรียน ที่มีต่อการเรียนตามรูปแบบการสอนแบบจัดการความรู้ โดยตอบแบบสอบถาม แล้วบันทึกผลการประเมิน
6. การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้
ผู้วิจัยได้ดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลตามขั้นตอน ดังนี้
1. การพัฒนารูปแบบการสอนแบบจัดการความรู้ เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 วิเคราะห์ข้อมูล โดยการหาค่าประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 โดยใช้สูตร E1/E2 นำเสนอในรูปตารางประกอบคำบรรยาย
2. การศึกษาสมรรถนะการเรียนวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้ คำนวณหาค่าเฉลี่ย (
) และ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เปรียบเทียบผลต่างระหว่าง คะแนนก่อนเรียนและหลังเรียน และร้อยละของคะแนนที่เพิ่มขึ้น และทดสอบค่าที (t-test แบบ Dependent) นำเสนอในรูปตารางประกอบคำบรรยาย
3. การศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อการเรียนตามรูปแบบการสอนแบบจัดการความรู้ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน นำเสนอในรูปตารางประกอบคำบรรยาย
ผลการวิจัย
จากการนำรูปแบบการสอนแบบจัดการความรู้ เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียน ไปทดลองใช้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ได้ข้อสรุปที่สำคัญดังนี้
สรุปผลการวิจัย
1. ผลการวิจัยครั้งนี้ ได้รูปแบบการสอนแบบจัดการความรู้ เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการเรียนวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ใช้เวลาในการศึกษา 15 ชั่วโมง ผลการตรวจสอบประสิทธิภาพ (E1 /E2) เท่ากับ 80.58/80.12 เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ คือ 80/80
2. ผลการสอนโดยใช้รูปแบบการสอนแบบจัดการความรู้ เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะ การเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หลังการสอนโดยใช้รูปแบบการสอนแบบจัดการความรู้ สูงกว่าก่อนการสอน มีคะแนนเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 12.04 คิดเป็นร้อยละ 40.12 โดยก่อนการสอน มีคะแนนเฉลี่ยเป็น 12.00 หลังการสอนคะแนนเฉลี่ยเป็น 24.04 และเมื่อพิจารณาคะแนนของนักเรียนเป็นรายบุคคล พบว่า นักเรียนมีคะแนนสูงขึ้นทุกคน โดยมีคะแนนเพิ่มขึ้นสูงสุดเท่ากับ 16 คะแนน และต่ำสุดเท่ากับ 6 คะแนน
3. ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนการสอน โดยใช้รูปแบบการสอนแบบจัดการความรู้ เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการเรียนวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายข้อ พบว่า ข้อที่นักเรียนมีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด ได้แก่ นักเรียนมีส่วนร่วมในการวัดและประเมินผล ส่วนข้อที่อยู่ในระดับมาก เรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ได้แก่ ระยะเวลาที่ใช้ในการเรียนรู้แต่ละเรื่องมีความเหมาะสม การเรียนแบบจัดการความรู้ทำให้นักเรียนมีโอกาสได้แสดงความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ และ นักเรียนเข้าใจจุดประสงค์การเรียนรู้ของบทเรียน ตามลำดับ
อภิปรายผลการวิจัย
ผลการวิจัยครั้งนี้ ได้รูปแบบการสอนแบบจัดการความรู้ เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการเรียนวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ตรวจสอบประสิทธิภาพ (E1 /E2) เท่ากับ 80.58/80.12 เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ คือ 80/80 อาจเนื่องมาจาก ในขั้นตอนของการพัฒนารูปแบบการสอนแบบจัดการความรู้ ซึ่งเป็นลักษณะของการเรียนการสอนที่จัดขึ้นอย่างเป็นระบบระเบียบตามปรัชญา ทฤษฎี หลักการ หรือความเชื่อต่างๆ โดยมีความครอบคลุมองค์ประกอบที่สำคัญๆ ของระบบนั้น และได้รับการยอมรับหรือพิสูจน์ ทดสอบ ถึงประสิทธิภาพของระบบนั้นๆ มาแล้ว ผู้วิจัยได้ดำเนินการอย่างมีระบบ โดยศึกษาหลักสูตร วิเคราะห์ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง จุดมุ่งหมายและเนื้อหาของกิจกรรม ให้มีความเหมาะสมกับระดับของผู้เรียน ให้สอดคล้องกับมาตรฐานกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ และมาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้น ซึ่งครอบคลุมทุกมาตรฐานตามเป้าหมายของหลักสูตรที่วางไว้ ประการต่อมา ในขั้นตอนของการพัฒนารูปแบบ การสอนแบบจัดการความรู้ ได้มีการตรวจสอบแก้ไขตามข้อเสนอแนะ และตรวจสอบคุณภาพและประเมินคุณภาพจากผู้เชี่ยวชาญ ทั้งในด้านเนื้อหา ด้านการใช้ภาษา เพื่อหาข้อบกพร่องของรูปแบบ และนำข้อพกพร่องมาปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้อง มีการทดลองใช้ ปรับปรุงจนมีประสิทธิภาพอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานเป็นที่เชื่อถือได้ ก่อนนำไปใช้จริง ส่งผลให้รูปแบบการสอนแบบจัดการความรู้ มีประสิทธิภาพและมีความเหมาะสมที่จะนำไปใช้จัดการเรียนรู้สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
ผลการสอนโดยใช้รูปแบบการสอนแบบจัดการความรู้ เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะ การเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หลังการสอนโดยใช้รูปแบบการสอนแบบจัดการความรู้ สูงกว่าก่อนการสอน และเมื่อพิจารณาคะแนนของนักเรียนเป็นรายบุคคล พบว่า นักเรียนมีคะแนนสูงขึ้นทุกคน อาจเนื่องมาจาก การสอนโดยใช้รูปแบบการสอนแบบจัดการความรู้ เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เป็นการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ซึ่งกระบวนการเรียนรู้เป็นไปตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา 24 (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ. ม.ป.ป. : 14) คือ จัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจของนักเรียน ฝึกทักษะกระบวนการคิด จัดกิจกรรมให้นักเรียนได้ฝึกปฏิบัติให้ทำได้ คิดเป็นทำเป็น และการพัฒนารูปแบบการสอนแบบจัดการความรู้ เป็นการออกแบบการเรียนการสอนที่ครอบคลุมองค์ประกอบสำคัญ ซึ่งได้รับการจัดไว้อย่างเป็นระเบียบตามหลักปรัชญา ทฤษฎี หลักการ แนวคิดหรือความเชื่อต่างๆ โดยประกอบด้วยกระบวนการหรือขั้นตอนสำคัญในการเรียนการสอน รวมทั้งวิธีสอนและเทคนิคการสอนต่างๆ ที่สามารถช่วยให้สภาพการเรียนการสอนนั้นเป็นไปตามทฤษฎี หลักการ (ทิศนา แขมมณี. 2547 : 221) สอดคล้องกับผลการศึกษาของ วิมล ปฐมสุรทิน (2542) ที่พบว่า รูปแบบการสอนทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทำให้ผลสัมฤทธิ์ด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียน ที่เรียนจากรูปแบบการสอนที่พัฒนาขึ้น กับนักเรียนที่เรียนจากรูปแบบการสอนของ สสวท. ไม่แตกต่างกัน และ เชาวน์ศิริ ธาระรัตน์ (2550) พบว่า นักเรียนที่เรียนด้วยกิจกรรมพัฒนาสมรรถนะทางวิทยาศาสตร์ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 นอกจากนี้ รัฐกรณ์ คิดการ (2551) ยังพบว่า หลังการเรียนจากรูปแบบการสอนบนเว็บโดยใช้กลยุทธ์การจัดการความรู้ รายวิชาเทคโนโลยีการศึกษา ของนักศึกษาระดับอุดมศึกษา สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
จากการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียน โดยใช้รูปแบบการสอนแบบจัดการความรู้ เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการเรียนวิทยาศาสตร์ ที่พบว่าโดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก อาจเนื่องมาจาก ช่วยให้ผู้เรียนสนใจและกระตือรือร้นที่จะเรียนบทเรียนมากยิ่งขึ้น เนื่องจากรูปแบบการสอนเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ยึดหลักการวัดและประเมินผลตามสภาพจริง นักเรียนมีส่วนร่วมในการปฏิบัติกิจกรรม และมีส่วนร่วมในการประเมินผลการเรียนรู้ด้วยตนเอง แสดงให้เห็นว่า นักเรียนมีทัศนคติที่ดีต่อการเรียนโดยใช้รูปแบบการสอนแบบจัดการความรู้ ซึ่งแสดงว่า รูปแบบการสอนแบบจัดการความรู้ ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น สามารถเพิ่มสมรรถนะการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง อาหารและสารอาหาร ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ให้สูงขึ้น
ข้อเสนอแนะ
จากการพัฒนารูปแบบการสอนแบบจัดการความรู้ เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนโป่งแพร่วิทยา จังหวัดเชียงราย มีข้อเสนอแนะดังนี้
ข้อเสนอแนะเพื่อนำผลการศึกษาไปใช้
1. การนำรูปแบบการสอนแบบจัดการความรู้ เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียน ควรศึกษารายละเอียดจากคู่มือครูประกอบการเรียนการสอน เพื่อจะได้ให้ปฏิบัติตามรูปแบบ และได้ให้คำแนะนำกับนักเรียนได้อย่างถูกต้อง เกิดประสิทธิภาพในการเรียนการสอนมากยิ่งขึ้น
2. การนำรูปแบบการสอนแบบจัดการความรู้ เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียน อาจปรับกิจกรรมหรือระยะเวลา สถานที่ใช้ให้เหมาะสมกับระดับความสามารถของนักเรียน
3. การจัดหาสื่อและอุปกรณ์ในการเรียน ควรให้มีความเพียงพอกับนักเรียนเพื่อจะให้นักเรียนสามารถปฏิบัติกิจกรรมรายบุคคลและกิจกรรมกลุ่มได้อย่างสมบูรณ์
ข้อเสนอแนะในการศึกษาครั้งต่อไป
1. ศึกษารูปแบบการสอนรูปแบบการสอนแบบจัดการความรู้ เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่นๆ
2. พัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียน โดยใช้รูปแบบการสอนแบบจัดการความรู้