.....
บทสรุปการวิจัยเรื่อง การพัฒนารูปแบบการสอนแบบจัดการความรู้
เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
โรงเรียนโป่งแพร่วิทยา จังหวัดเชียงราย**
โดย วิไลภรณ์ ฤทธิคุปต์
ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่า ผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษา ต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ เน้นความสำคัญทั้งความรู้ คุณธรรม กระบวนการเรียนรู้ และ บูรณาการตามความเหมะสมในเรื่อง ความรู้และทักษะด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียน โดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล ฝึกทักษะกระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์และการประยุกต์ความรู้มาใช้เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหา และให้สถานศึกษาพัฒนากระบวนการเรียนการสอน ที่มีประสิทธิภาพ (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ. 2546 : 13 – 17)
หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กำหนดจุดมุ่งหมายให้ผู้เรียนมีทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ โดยยึดหลักว่าผู้เรียน ทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนสำคัญที่สุด ดังนั้น ครูผู้สอน และผู้จัดการศึกษาจะต้องเปลี่ยนแปลงบทบาทจากการเป็นผู้ชี้นำ ผู้ถ่ายทอดความรู้ ไปเป็นผู้ช่วยเหลือ ส่งเสริม และสนับสนุนผู้เรียนในการแสวงหาความรู้จากสื่อและแหล่งต่างๆ และให้ข้อมูลแก่ผู้เรียน เพื่อนำข้อมูลเหล่านั้นไปใช้สร้างสรรค์ความรู้ของตน ทั้งนี้ การจัดการเรียนรู้สาระวิทยาศาสตร์ มีกระบวนการและวิธีการที่หลากหลาย ครูผู้สอนต้องคำนึงถึงพัฒนาการทางด้านร่างกาย และสติปัญญา ความสนใจ และความสามารถของผู้เรียน (กระทรวงศึกษาธิการ. 2545 : 4, 21)
ในสังคมแห่งความรู้ “ความรู้” ถือว่าเป็นทรัพยากรหลักที่มีค่ายิ่ง ซึ่งแตกต่างจากปัจจัยการผลิตอื่นๆ เนื่องจากความรู้เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงและสร้างขึ้นใหม่ได้ตลอดเวลา ซึ่งสภาวะดังกล่าวก่อให้เกิดความได้เปรียบทางการแข่งขัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสังคมเศรษฐกิจฐานความรู้ ความรู้ได้กลายเป็นตัวขับเคลื่อนที่สำคัญ ดังนั้นแนวคิดและหลักบริหารจัดการความรู้ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับองค์กรในทุกระดับ การจัดการความรู้เป็นกระบวนการ (Process) วงจรต่อเนื่อง ที่ดำเนินการร่วมกันโดยผู้ปฏิบัติงานในองค์กรหรือหน่วยงานย่อยขององค์กร เพื่อสร้างและใช้ความรู้ในการทำงานให้เกิดผลสัมฤทธิ์ดีขึ้นกว่าเดิม เกิดการพัฒนางานอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ เป้าหมายคือ การพัฒนางานและพัฒนาคน โดยมีความรู้เป็นเครื่องมือ มีกระบวนการจัดการความรู้เป็นเครื่องมือจึงเป็นกิจกรรมของผู้ปฏิบัติงาน ไม่ใช่กิจกรรมของนักวิชาการหรือ นักทฤษฎี แต่นักวิชาการหรือนักทฤษฎีอาจเป็นประโยชน์ในฐานะแหล่งความรู้ (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. http://www.obec.go.th/teacherzone. 2551)
จากประสบการณ์การสอนกลุ่มสาระวิทยาศาสตร์ ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน เรื่องอาหารและสารอาหาร อยู่ในระดับต่ำ และนักเรียนขาดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นสูง ได้แก่ ทักษะการกำหนดและควบคุมตัวแปร การตั้งสมมติฐาน การกำหนดนิยามเชิงปฏิบัติการ การทดลอง และการตีความหมายข้อมูล และการลงข้อสรุป นอกจากนี้ นักเรียนไม่สามารถนำความรู้และประสบการณ์ในการเรียนวิทยาศาสตร์เชื่อมโยงให้สอดคล้องกับสภาพชีวิตจริง จึงไม่เห็นความสำคัญและประโยชน์ของการเรียนรู้ ในเรื่องดังกล่าว ด้วยเหตุนี้ ผู้วิจัยจึงได้พัฒนารูปแบบการสอนแบบจัดการความรู้ เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการเรียนของนักเรียน กลุ่มสาระวิทยาศาสตร์ ภายใต้พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 และหลักสูตรการศึกษา ขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2544 อันจะนำไปสู่การพัฒนาผู้เรียนทุกด้าน ให้ได้ระดับมาตรฐานตามความมุ่งหวังของประเทศชาติต่อไป
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์คือ
1. เพื่อพัฒนารูปแบบการสอนแบบจัดการความรู้ เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนโป่งแพร่วิทยา จังหวัดเชียงราย
2. เพื่อประเมินผลการใช้รูปแบบการสอนแบบจัดการความรู้ เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนโป่งแพร่วิทยา จังหวัดเชียงราย
สมมุติฐานการวิจัย
1. รูปแบบการสอนแบบจัดการความรู้ มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80 / 80
2. การสอนโดยใช้รูปแบบการสอนแบบจัดการความรู้ทำให้นักเรียนมีสมรรถนะการเรียนวิทยาศาสตร์สูงกว่าก่อนเรียน
ขอบเขตการวิจัย
1. การวิจัยครั้งมุ่งพัฒนารูปแบบการสอนแบบจัดการความรู้ เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนโป่งแพร่วิทยา จังหวัดเชียงราย
ประชากร ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนโป่งแพร่วิทยา
กลุ่มตัวอย่างได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ปีการศึกษา 2551 จำนวน 27 คน โดยวิธีเลือกแบบเจาะจง
2. ตัวแปรที่ใช้ในการศึกษา ประกอบด้วย
ตัวแปรต้น การสอนโดยใช้รูปแบบการสอนแบบจัดการความรู้
ตัวแปรตาม ได้แก่ 1) ดัชนีประสิทธิภาพ E1/E2 ของรูปแบบการสอนแบบจัดการความรู้ 2) สมรรถนะการเรียนวิทยาศาสตร์ และ 3) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนตามรูปแบบการสอนแบบจัดการความรู้
3. ระยะเวลาที่ใช้ในการศึกษา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2551
นิยามศัพท์เฉพาะ
การพัฒนารูปแบบ หมายถึง การดำเนินการศึกษาและพัฒนาแบบแผนการเรียนการสอนโดยใช้วิธีการบูรณาการองค์ความรู้ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน แล้วนำเสนอเป็นรูปแบบขั้นตอนของการจัดการเรียนการสอน
รูปแบบการสอน หมายถึง แบบแผนการจัดการเรียนการสอน ที่อาศัยหลักปรัชญา ทฤษฎี แนวคิด หรือความเชื่อต่างๆ โดยจัดให้มีองค์ประกอบของการเรียนการสอน ได้แก่ วัตถุประสงค์ เนื้อหา กิจกรรมการเรียนการสอน สื่อการสอน การประเมินผลไว้อย่างเป็นระบบแสดงความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน เป็นแบบอย่างให้ผู้อื่นนำไปใช้ได้
รูปแบบการสอนแบบจัดการความรู้ หมายถึง แบบแผนการเรียนการสอน โดยใช้วิธีการบูรณาการองค์ความรู้แนวคิดและกระบวนการของการจัดการความรู้ กับการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยมี 5 ขั้นตอน คือ การสร้างความรู้ การจัดและเก็บ การถ่ายทอดความรู้ การนำความรู้มาใช้ และการประเมินผล
สมรรถนะการเรียนวิทยาศาสตร์ หมายถึง ความรู้ด้านเนื้อหา ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และจิตวิทยาศาสตร์ ในกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
เรื่อง อาหารและสารอาหาร
ประโยชน์ที่ได้รับ
1. ได้รูปแบบการสอนแบบจัดการความรู้ เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
2. นักเรียนกลุ่มเป้าหมายได้รับการพัฒนาสมรรถนะทางการเรียนวิทยาศาสตร์ เรื่อง อาหารและสารอาหาร
3. แนวทางในการพัฒนารูปแบบการสอนวิทยาศาสตร์และนำไปประยุกต์ใช้ในกลุ่มสาระวิชาอื่นๆ
วิธีดำเนินการวิจัย
การพัฒนารูปแบบการสอนแบบจัดการความรู้ เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ในครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ดำเนินการวิจัยดังนี้
1. แบบแผนของการวิจัย
การพัฒนารูปแบบการสอนแบบจัดการความรู้ เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ได้ดำเนินการโดยใช้รูปแบบกลุ่มเดียววัดก่อนหลังการทดลอง (One-Group Pretest-Posttest Design)
2. ระยะในการดำเนินการวิจัย
ใช้ระยะเวลาในการทดลองในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2551 โดยทำการสอนสัปดาห์ละ 4 ชั่วโมง รวมจำนวนทั้งหมด 15 ชั่วโมง ใช้แผนการสอนจำนวน 7 แผน
3. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ประกอบด้วย
1. เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ แผนการเรียนรู้ เรื่อง อาหารและสารอาหาร โดยใช้รูปแบบการสอนแบบจัดการความรู้ เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 7 แผน
2. เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย
2.1 แบบทดสอบสมรรถนะการเรียนวิทยาศาสตร์ จำนวน 30 ข้อ มีลักษณะเป็นแบบเลือกตอบ 4 ตัวเลือก
2.2 แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียน ตามรูปแบบการสอนแบบจัดการความรู้ มีลักษณะเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) จำนวน 17 ข้อ
4. วิธีสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
การสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้ดำเนินการดังต่อไปนี้
1. การพัฒนาแผนการเรียนรู้ ตามรูปแบบการสอนแบบจัดการความรู้ เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการเรียนวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ได้ดำเนินการดังต่อไปนี้
1.1 ศึกษา และวิเคราะห์หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 มาตรฐานการเรียนรู้ และผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง
1.2 วิเคราะห์สภาพปัญหาที่เกิดจากการจัดการเรียนการสอน กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
1.3 สร้างตารางวิเคราะห์หลักสูตร (Table of Specification) และพัฒนารูปแบบการการสอน ให้สอดคล้องกับผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง จุดประสงค์
1.4 กำหนดเวลาที่ใช้ในการเรียนการสอน แต่ละแผนการจัดการเรียนรู้
1.5 กำหนดกิจกรรมการเรียนรู้
1.6 นำรูปแบบการสอนแบบจัดการความรู้ไปให้ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 คน ตรวจสอบคุณภาพด้านเนื้อหา จุดประสงค์ และการจัดกิจกรรม สื่อการเรียนรู้ การวัดผลและประเมินผล ผู้เชี่ยวชาญให้ข้อเสนอแนะ แล้วจึงนำมาปรับปรุงแก้ไข
1.7 หลังจากที่ได้แก้ไขตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญแล้ว จึงได้ให้ผู้เชี่ยวชาญประเมินค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) โดยใช้เกณฑ์ค่าดัชนีความสอดคล้อง ³ 0.75 ขึ้นไป
1.8 ทดลองใช้รูปแบบการสอนกับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 3 คน เพื่อหาประสิทธิภาพเบื้องต้น แบบหนึ่งต่อหนึ่ง ได้ประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมเท่ากับ 76.67/75.56 จึงดำเนินการปรับปรุงรูปแบบการสอน หลังจากนั้นได้นำไปทดลองใช้กับกลุ่มย่อย คือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 20 คน ได้ประสิทธิภาพของรูปแบบเท่ากับ 79.64/77.83 ปรับปรุงรูปแบบการสอน แล้วจึงนำไปใช้กับนักเรียนชั้นมธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนโป่งแพร่วิทยาั
2. การพัฒนาแบบทดสอบสมรรถนะการเรียนวิทยาศาสตร์ เรื่อง อาหารและสารอาหาร  
Advertisement