หน้าแรก | ครูบ้านนอกบล็อก
ศูนย์รวมความคิด ความรู้ ประสบการณ์ ของคุณครู สมาชิกเว็บไซต์ ครูบ้านนอก.คอม ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านที่ตั้งใจทำเพื่อสังคมครับ
เจ้าของโพสต์นี้
ผ่องศรี บัวขาว
จากจังหวัด ยโสธร

ปรัชญาความรัก...
โพสต์เมื่อวันที่ : 28 ม.ค. 2552 IP : เปิดอ่าน : 6405 ครั้ง
คะแนนของ BLOG นี้
(50.00%-4 ผู้โหวต)
☰แชร์เลย >  
  Share on Google+   LINE it!  
เพิ่มเพื่อน
ไม่พลาดข่าวการศึกษา
ครูบ้านนอก Line Official
กดเพิ่มเพื่อนเลย

Advertisement

.....

.. ปรัชญาความรัก 14 แบบ ..


1. A man overtime falls in love with woman he is attracted to,
and a woman overtime become more attracted to the man she loves.
ผู้ชายมักจะตกหลุมรักคนที่เค้าหลงเสน่ห์
และผู้หญิงจะหลงเสน่ห์คนที่เธอตกหลุมรัก


2. Friendship is love minus sex and plus reason LOVE is friendship
but love is friendship plus sex and minus reason.
มิตรภาพคือ ความรักลบด้วยเซ็กซ์
และบวกเอาเหตุผลเพิ่มเข้าไป
ส่วนรักคือ มิตรภาพบวกด้วยเซ็กซ์ และลบเอาเหตุผลออกไป


3.To love is nothing. To be loved is something.
To love and be loved is everything!!!!
การได้รักเป็นเรื่องขี้ผง
การถูกรักเป็นเรื่องของอะไรบางอย่าง
ส่วนการได้รักและการถูกรักเป็นทุกอย่าง (ว้าว)


4.You may only be one person to the world
but you may also be the world to one person
คุณอาจจะเป็นแค่ "คนๆ หนึ่ง" ในโลกใบนี้
แต่คุณอาจจะเป็น "โลกทั้งใบ" ของคนคนหนึ่งก็ได้


5.You know when you love someone when you want them to be happy
even if their happiness means that you're not of it.
คุณรู้ว่าคุณรักเค้าก็ต่อเมื่อคุณต้องการให้เค้ามีความสุข
แม้ว่าความสุขนั้นจะหมายถึง
การที่คุณไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของมัน


6. Love looks not with eyes, but with the mind.
ความรักนั้นเห็นไม่ได้ด้วยตา แต่สัมผัสได้ด้วยใจ


7. Love is like standing in the wet cement.
The longer you stay, the harder it is to leave.
And you can never go without leaving your shoes behind.
ความรักก็เหมือนปูนเปียกๆ
ยิ่งคุณอยู่นานเท่าไหร่ก็ยิ่งติดหนึบ
จากไปไม่ได้เท่านั้น
และคุณจะไม่มีวันจากมาได้เลย
โดยที่ไม่ได้ทิ้งรองเท้าไว้ข้างหลัง


8. Don't marry a person you can live with,
marry somebody you can't live without.
จงอย่าแต่งงานกับคนที่คุณ "อยู่ด้วยได้"
จงแต่งงานกับคนที่คุณ "ขาดไม่ได้"


9. If you love someone tell them don't wait or also
you will lose the chance.
ถ้าคุณรักใคร บอกเค้าซะ อย่ารีรออยู่เลย
ไม่งั้นคุณจะเสียโอกาสนะ..


10. It only takes a second to say " I love you"
but it will take a lifetime to show you how much.
ใช้เวลาแค่เพียงชั่ววินาทีในการบอกว่า" ฉันรักเธอ"
แต่ใช้เวลาตลอดชีวิตในการแสดงให้เห็นว่า รักมากเพียงไร?


11. The essential sadness is to go through life without loving.
But it would be almost equally sad to leave this
world without ever telling those you loved that you love them.
ความเศร้าที่สำคัญคือการใช้ชีวิตโดยปราศจากความรัก
แต่มันคงจะเศร้าพอๆกันที่จะจากโลกนี้ไปโดยไม่ได้บอกคนที่คุณรักว่า
"คุณรักพวกเค้า"


12. A man falls in love through his eyes,
a woman through her ears.
ผู้ชายตกหลุมรักทางตา
แต่ผู้หญิงน่ะ ตกหลุมรักทางหู


13.To love is to risk not being loved in return.
To hope is to risk pain.
To try is to risk failure,
but risk must be taken,
because the greatest hazard in life is to risk nothing.
การที่ได้รักคือการเสี่ยงว่าจะไม่ได้รับความรักเป็นการตอบแทน
การตั้งความหวังคือการเสี่ยงกับความเจ็บปวด
การพยายามคือการเสี่ยงกับความล้มเหลว
แต่ยังไงก็ต้องเสี่ยง
เพราะสิ่งที่อันตรายที่สุดในชีวิตก็คือการไม่เสี่ยงอะไรเลย


14. When loving someone.. never regret what you
do. only regret what you didn't do.
เวลารักใคร..อย่าเสียใจในสิ่งที่คุณได้กระทำ
จงเสียใจในสิ่งที่คุณไม่ได้กระทำ…..

 
 
 

.. ตำนานของเทพ อีรอส (Eros) ..


...ได้กล่าวมาแล้วว่าเทวีอโฟร์ไดที่ให้ประสูติบุตรธิดาดับเทพเอเรส 3 องค์ ธิดาคือ นางเฮอร์โมไอนีนั้น ได้อภิเษกกับแคดมัสเจ้ากรุงธีบส์ ส่วนบุตรคือ คิวพิด กับแอนทีรอส คิวพิดนั้นคือกามเทพของโรมัน ชาวกรีกเรียกว่า อีรอส อีรอสหรือคิวพิดซึ่งเป็นบุตรของอโฟร์ไดที่กับเอเรสนี้ เป็นคนละองค์กับอีรอสหรือคิวพิดที่อุบัติขึ้นแต่ครั้งสร้างโลก และการกล่าวขวัญถึงโดยทั่ว ๆไป ก็มักจะหมายถึงอีรอสซึ่งเป็นบุตรของอโฟร์ไดที่กับเอเรสองค์นี้

นอกจากเทพอพอลโลแล้ว อีรอสเป็นที่ถือกันว่าประกอบด้วยรูปลักษณะงามที่สุดในบรรดาเทพทั้งหลาย ปรัชญาเมธีเพลโตกล่าวความอุปอุปไมยเกี่ยวกับเทพองค์นี้ไว้ว่า "กามเทพ-คือ อีรอส-ย่อมเข้าสิงหัวใจคนก็จริง แต่ก็ไม่ทุกหัวใจไป ด้วยว่าที่ใดมีความแข็งกระด้างเธอก็ผละหนี เกียรติคุณอันล้ำเลิศของเธอนั้นอยู่ที่ว่า เธอหา อาจที่จะทำผิด หรือยอมให้ผู้ใดทำผิดไม่ แม้กำลังบังคับก็ไม่สามารถจะหักเธอได้ลง" ว่ากันว่า ตำนานของเทพอีรอสผู้นี้ นักกวีชาวกรีกรุ่นก่อนมิได้แต่งขึ้น ต่อมากวีฮีสิออดได้แต่งให้มีเทพองค์นี้ เกิดขึ้น แต่มิใช่โอรสของเทวีอโฟร์ไดที่เลย เป็นเพียงแค่เพื่อนกันเท่านั้น เพราะฉะนั้นตำนานของเทพผู้นี้จึงเป็นนักกวี ชาวโรมันเป็นผู้สร้างสรรค์ขึ้น และจะมีเฉพาะตำนานของโรมันเท่านั้นที่มีเรื่องราวของเทพองค์นี้ปรากฏอยู่ ตามตำนานที่ยอมรับทั่วไปกล่าวว่า อีรอสเป็นเทพ"ติดแม่" เป็นที่สุด เมื่อมีเทวีอโฟร์ไดที่อยู่ณ ที่ใดอีรอสก็ปรากฏอยู่ ณ ที่นั้นด้วย อันเป็นข้อเปรียบถึงธรรมดาแห่ง ความงามและกามวิสัยนั่นเอง อีรอสถือลูกศรแห่ง กามฉันท์กับคันธนูน้อยเป็นอาวุธ สำหรับยิงเสียบหัวใจของเทพและมนุษย์ให้เกิดความปรารถนาเร่าร้อนไปด้วยความ พิศวาส โดยที่ในชั้นเดิมเธอเป็นเด็กเยาว์อยู่เป็นนิตย์ไม่มีวันเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ดังนั้นจึงต้องมีเทพน้อยอีกองค์ หนึ่งอุบัติขึ้นเพื่อเป็นเพื่อนเล่นและบริวารของเธอ เรียกว่า แอนทีรอส กำเนิดของแอนทีรอสนั้นมีตำนานเล่าไว้ดังนี้


เมื่อไม่เห็นอีรอสเจริญวัยขึ้นเสียเลย อโฟรไดที่ปรารภกับธีมิส เทวีแห่งความยุติธรรมว่า อีรอสบุตรของเธอ ทำอย่างไรจึง จะเลี้ยงดูเธอให้โตขึ้นได้ ธีมิสชี้แจงว่า เหตุที่อีรอสไม่เติบโต ก็เพราะเธอขาดเพื่อนเล่นแก้เหงา ถ้ามีน้องเกิดขึ้นสักองค์หนึ่ง เธอคงจะ โตขึ้นอีกมาก ต่อมาในไม่ช้าแอนทีรอสก็เกิดขึ้น ภายหลังแต่นั้นอีรอสก็เติบโตแข็งแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว (ถึงกระนั้นรูปคิวพิดหรืออีรอส ที่เขียนและแกะสลักกันขึ้นทั่วไปก็ไม่พ้นรูปเด็ก) แอนทีรอสนอกจากจะเป็นเพื่อนเล่นของอีรอสแล้ว ยังถือกันว่าเป็นเทพบันดาลให้มี การรักตอบด้วย


เรื่องของเทพ อีรอสกับนาง ไซคิ ซึ่งจะเล่าต่อไปนี้ เป็นเรื่องที่รู้จักกันแพร่หลายที่สุดเรื่องหนึ่งในเทพปกรณัมกรีกโรมัน ด้วย เป็นเรื่องที่จับใจและให้คติน่าคิดหลายทำนอง สุดแต่ผู้อ่านผู้ฟังจะคิดเห็นตามอัธยาศัย โดยเฉพาะเรื่องนี้เป็นเรื่องรักของเทพอีรอส เอง ผู้มีฤทธิ์จะบันดาลให้ใครรักใครก็ได้ประการหนึ่ง และชื่อนาง ไซคิ (Psyche) ตัวเอกของเรื่องนั้นก็เผอิญเป็นคำเดียวกันกับ คำที่หมายถึง จิตใจหรือดวงวิญญาณอีกประการหนึ่งด้วย หรืออาจกล่าวว่า เทพปกรณัมกรีกอุปโลกน์นางไซคิให้หมายแทนลักษณะของ ดวงวิญญาณก็ได้ บรรยายตามเรื่องที่เล่าในปกรณัมนั้นว่า


ในกาลครั้งหนึ่ง กษัตริย์องค์หนึ่งของกรีกมีธิดา 3 องค์ ล้วนทรงสิริโฉมงามสะคราญ แต่ความงามของ 2 องค์พี่รวมกันจะเทียม เท่าด้วยความงามองค์น้องสุดก็หาไม่ ธิดาองค์หลังสุดนี้ทรงนามว่า ไซคิ เป็นเจ้าของความงามอัน ลือเลื่องเฟื่องฟุ้งยิ่งนัก ถึงกับใคร ๆ พา กันยกย่องเทิดทูนจนลือกระทำบูชาเทวีอโฟร์ไดที่ เจ้าแม่แห่งความงามเสีย เป็นเหตุให้ศาลของเจ้าแม่เงียบเหงาวังเวง แท่นที่บูชา เจ้าแม่ก็ว่างเปล่าหาผู้ใดจะเข้าไปบวงสรวงมิได้ แม้แต่แขกเมืองก็ พากันผ่านศาลเจ้าแม่ไปชมความงามของไซคิกันหมดสิ้น เจ้าแม่ ริษยานวลอนงค์ยิ่งนัก คิดใคร่จะแกล้งนางไซคิให้ตกต่ำ ด้วยความอัปยศ เพื่อมิให้คนทั้งปวงยกย่องเทิดทูนและใฝ่ฝันถึงนางอีกต่อไป เจ้าแม่จึงเรียกอีรอสเทพบุตรมาบอกความ ประสงค์ของเจ้าแม่ให้ทราบ โดยสั่งให้อีรอสไปทำให้นางไซคิหลงรัก!อุบาทว์ทรลักษณ์สัก คนหนึ่ง


อีรอสกระทำตามเจ้าแม่สั่ง แต่ผลปรากฏในภายหลังกลับกลายเป็นว่า "!อุบาทว์ทรลักษณ์" ที่ไซคิจะต้อง หลงรักนั้นได้แก่ อีรอสเอง !
ในอุทยานของเจ้าแม่อโฟร์ไดที่มีน้ำพุอยู่ 2 แอ่ง แอ่งหนึ่งเป้นน้ำหวาน อีกแอ่งเป็นน้ำขม น้ำพุหวานเป็นน้ำสำหรับ บันดาลความ ชื่นบาน ส่วนน้ำขมสำหรับบันดาลความขมขื่นระทมใจ ในครั้งแรกอีรอสตักน้ำพุทั้งสองชนิดบรรจุกุณโฑ ชนิดละใบ นำไปยังห้องที่ไซคิ หลับอยู่ อีรอสเอาน้ำขมในกุณโฑประพรมลงบนโอษฐ์ไซคิแล้ว จึงเอาปลายศรบันดาลความ พิศวาสสะกิดสีข้างของนางในบัดดลไซคิก็ สะดุ้งตื่น ถึงแม้ว่าอีรอสจะมิได้ปรากฏองค์ให้นางเห็น แต่ด้วยอารามลืมองค์ เธอจึงทำศรสะกิดองค์เธอเองด้วย เพราะตกใจและเธอก็ตก ห้วงรักนางไซคิด้วยอำนาจศรของเธอเองตั้งแต่บัดนั้น เธอเอาน้ำพุหวานรดลงบนเรือนผมของไซคิ แล้วก็ผละผินบินออกจากที่นั้นไป


เวลาผ่านไป ไซคิก็ยิ่งเหงาเปล่าเปลี่ยวใจไม่มีผู้ใดใฝ่ฝันจะขอวิวาห์ด้วย สายตาคนทั้งหลายยังคงตะลึงลาน ในรูปโฉมและ คำคนยังแจ้วจำนรรจาสรรเสริญนางยังมีอยู่ แต่มิมีใครสู่ขอนางเป็นคู่ชีวิต เนื่องจากใคร ๆ ก็พากันเกรง นางอยู่สุดเอื้อมเหมือน กันหมด พี่สาวทั้งสองของนางได้แต่งงานไปแล้วกับเจ้ากรีกต่างนคร ส่วนไซคิยังคงอยู่เดียว เปลี่ยวใจต่อมาอีกเป็นเวลานาน จนบิดามารดาของนางเกิดปริวิตกเกรงว่าเหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะมีความบกพร่องอะไร สักอย่างหนึ่ง ซึ่งตนได้กระทำลงไปโดย รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทำให้เทพเจ้าโกรธถึงบันดาลโทษให้ปรากฏเช่นนี้ ท้าวเธอจึง บวงสรวงเสี่ยงทายคำพยากรณ์แห่งเทพอพอลโล และได้รับคำพยากรณ์ว่า นางจะได้คู่ครองเป็นมนุษย์ปุถุชนก็หาไม่ คู่ครองของนางในภายหน้านั้นคอยนางอยู่แล้วบนยอดเขาขุนเขา เป็นอมนุษย์ซึ่งไม่มีมนุษย์หรือเทพองค์ใดจะขัดขืน หรือต้านทานได้


คำพยากรณ์นี้เป็นเหตุให้เกิดความเศร้าสลดแก่คนทั้งหลายและบิดามารดาของนางไซคิอย่างหาที่เปรียบมิได้ แต่ตัวนางเอง หาย่อท้อไม่ นางกลับเห็นว่า เมื่อวาสนา ชะตากรรมของนางจะต้องเป็นเช่นนั้นก็ตาม บิดามารดาของนางจึงจัดแจงส่งนางขึ้นไป บนยอดเขา ประกอบด้วยขบวนแห่แหนดั่งแห่ศพฉะนั้น ฝูงคนทั้งปวงที่ตามขบวนแห่ก็ ล้วนแต่เศร้าหมอง มีใจคอห่อเ!่ยวอาลัย เมื่อขึ้นไปถึงยอดเขาแล้ว บิดามารดาของนางและคนทั้งปวงก็พากันกลับ พร้อมด้วยใจละห้อยละเ!่ยยิ่งกว่าตอนขาไปอีก


นางไซคิยืนถอนสะอื้นด้วยความใจหายและว้าเหว่โดยลำพังตนอยู่บนชะง่อนหิน ในบัดดลเทพเสฟไฟรัสเจ้าแห่งลมตะวันตกก็บรรจงโอบอุ้มร่างไซคิขึ้นจากยอดเขา และหอบนางให้เลื่อนลอยลงสู่สถานแห่งหนึ่งเต็มไปด้วยติณชาติเขียวขจี ห้อมล้อม ด้วยนานารุกขพฤกษาชาติร่มรื่น นางเหลียวมองดูรอบข้างเห็นที่แห่งหนึ่งประกอบด้วย ซุ้มไม้ซึ้งตาดูชอบกล นางจึงเยื้องกรายเข้าไป เห็นธารน้ำพุใสไหลรินดังธารแก้วผลึก และถัดจากนั้นไปมีตำหนักหนึ่งตั้งตระหง่านตระการตา ไซคิค่อยมีใจเบิกบานและอาจหาญ ขึ้น จึงเดินเข้าไปในตำหนัก ภายในตำหนักล้วนแล้วด้วยทัศนาภาพอันวิจิตร หาที่เปรียบมิได้ในบรรดาที่มีในมนุษย์โลก แต่ไม่มีสิ่ง มีชีวิตใด ๆ ปรากฏอยู่ในที่นั้นเลย

ในขณะที่เพลินชมภาพเจริญตาทั้งมวลภายในตำหนักนั้น พลันนางไซคิได้ยินเสียงพูดกับนางอยู่ใกล้ ๆ แต่ไม่เห็นตัวพูดว่า "ข้าแต่นางนาฏผู้เป็นใหญ่ สิ่งทั้งปวงที่ ปรากฏแก่ตาท่านในที่นี้เป็นของท่านทั้งหมด พวกเราเจ้าของเสียงนี้คือบริวารของท่าน ซึ่งจะ ปฏิบัติตามคำสั่งท่านทุกประการ จงวางใจพวกเราเถิด พวกเราจัดห้องบรรทม และกระยาหารสรรพด้วยรสอันจะพึงใจท่านพร้อมแล้ว ขอท่านจงเสพกินตามอัธยาศัยเถิด"


ไซคิปฏิบัติตามคำเชื้อเชิญ และคอย "อมนุษย์" ผู้จะมาครองคู่กับนาง ตลอดเวลานั้นนางได้ยินเสียงดนตรีทิพย์ บรรเลงขับ กล่อมแสนไพเราะหูยิ่งนัก แต่ "อมนุษย์" คู่ครองนางหาได้มาในยามกลางวันไม่ หากยามราตรีกาลมืดสนิท จึงจะมา และพอเวลา ใกล้รุ่งก็กลับไป ไซคิไม่สามารถแลเห็นคู่ครองของนางเลยว่ามีรูปร่างพิกลอย่างไร นางเพียงแต่ ได้ยินคำพร่ำพรอดอันเต็มไปด้วย ความอ่อนหวาน ซึ่งก็ชักจูงจิตใจนางให้เคลิบเคลิ้มพลอยสนิทเสน่หาไปด้วยเท่านั้น


ไซคิอยู่ครองกับอีรอสโดยไม่รู้ว่าคู่ครองนางเป็นใครเป็นเวลาแรมเดือน ถึงนางจะอ้อนวอนเท่าใด อีรอสก็ไม่ยอมอยู่ให้นาง เห็น ยิ่งกว่านั้นเธอยังสั่งห้ามนางมิให้จุดไฟในราตรีกาลหรือถามนามของเธอเป็นอันขาด เธอให้เหตุผลกับนางว่า "เจ้าจะต้องการ เห็นข้าเพื่อประสงค์ใด เจ้ายังคลางแคลงใจในความรักของข้าอยู่หรือ ถ้าเจ้าแลเห็นชะรอยเจ้าอาจเทิดทูนบูชาหรือกลัวข้าก็ ได้ แต่ข้าอยากให้เจ้าสมัครรักใคร่ข้าในฐานะปุถุชน คนเสมอกัน มากกว่าอยากให้เจ้าเทิดทูนข้าเสมอด้วยเทพดอกนะ" ไซคิ ยอมจำนนต่อเหตุผลของอีรอส จึงสงบเงียบ ไม่ออดอ้อนเซ้าซี้คู่ครองนางอีก ต่อมาด้วยความคิดถึงวงศาคนาญาติ ทำให้นางไซคิขออนุญาตอีรอสเชิญพี่สาวไปเที่ยว ที่ตำหนัก ใน ครั้งแรกอีรอสอิดเอื้อน แต่ในที่สุดก็อนุญาต

ฝ่ายพี่สาวทั้งคู่ของนางไซคิได้รับคำเชิญชวนของน้องสาวก็รีบมาด้วยความอยากรู้ว่า น้องสาวของตนจะอยู่กับ อมนุษย์อย่างไร ครั้นมาถึงยอดเขาที่นางไซคิมาเป็นครั้งแรก ลมเสฟไฟรัสก็พัดโบกโอบอุ้มสองนางนั้นให้เลื่อนลอย ลงมายังตำหนักของไซคิ เป็นที่พิศวงแก่นางทั้งสองยิ่งนัก และเมื่อน้องสาวพาเข้าไปในตำหนัก นางทั้งสองกลับเพิ่ม ความพิศวงขึ้นอีกในการที่ได้เห็นควมงามอันวิจิตรภายในตำหนัก ได้ประจักษ์ว่า ข้าทาสบริวารของน้องสาวในสถานที่ นั้นมีแต่เสียงไม่เห็นตัว ซ้ำคู่ครองของนางก็ไม่เคยแสดง โฉมหน้า หรือเผยชื่อให้ปรากฏ สองนางพี่น้องจึงเสี้ยมสอน ยุยงไซคิถึงวิธีลักลอบดูตัวคู่ครองนาง หากว่าเป็นอมนุษย์ทรลักษณ์จริงจะได้ฆ่าเสีย


ไซคิปฏิบัติตามคำเสี้ยมสอนยุยงอย่างเสียมิได้ นางจัดแจงหาตะเกียงและมีดดาบซ่อนไว้ไม่ให้อีรอสเห็น เมื่ออีรอสนิทราหลับสนิท นางจึงลุกขึ้นจุดตะเกียงส่องดูสามี ไซคิก็รู้สำนึกว่าตนทำผิดโดยล่วงละเมิดคำสั่งห้ามของภัสดา ไปเสียแล้ว


ภาพที่ปรากฏแก่สายตาของนาง หาใช่อมนุษย์ไม่ แต่เป็นองค์เทพที่สง่างามละไมตาหาที่เปรียบมิได้ ณ เบื้อง ปฤษฎางค์ของอังสานั้นมีปีกติดอยู่ทั้งสองข้าง นางก็รู้ในบัดนั้นแล้วว่า อีรอสคือสามีของนาง ในขณะที่นางถือตะเกียงเขยิบ เข้าไปพิศดูใกล้ ๆ อย่างเพลินตานั้น น้ำมันตะเกียงซึ่งยังร้อนหยดลงบนผิวของอีรอส อีรอสสะดุ้งตื่นจากนิทราทันที พอ เห็นเหตุดังนั้นเธอก็กางปีกออกโผผละจากที่นั้นไปทางช่องแกล ไซคิพยายามโผติดตาม แต่กลับตกลงกับพื้น อีรอสโกรธ นางไซคิถึงกับออกโอษฐ์ว่า "ดูก่อน ไซคิผู้โฉดเขลา เจ้าตอบแทนความรักของข้าโดยฉะนี้ดอกหรือ ไปเถิดไปหาพี่ สาวของเจ้าผู้เสี้ยมสอนดีเถิด ข้าจะลงโทษเจ้าโดยจากเจ้าตลอดกาลแต่บัดนี้ ด้วยความรักย่อมดำรงอยู่ไม่ได้ถ้า ปราศจากความไว้วางใจ" แล้วอีรอสก็เหินหายลับไปในอากาศ ฝ่ายไซคิคืนสติเหลียวมองดูรอบข้าง ได้รู้ว่าทั้งตำหนัก และอุทยานได้อันตรธานหายไป คงเหลือแต่นางอยู่แต่เดียวดายโดยลำพัง ให้บังเกิดความว้าเหว่ระทมทุกข์ยิ่งนัก

ไซคิออกจากที่นั่น ไปหาพี่สาว และเล่าเหตุที่เกิดทั้งหมดให้พี่สาวฟัง สองนางแสร้งทำเป็นพลอยเศร้าสลด แต่ใจจริงลิงโลดในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นางคบคิดกันจะไปยังที่นั้นอีก หากว่าอีรอสจะเลือกนางคนใดคนหนึ่งในสองพี่ น้องแทนนางไซคิ นางแต่ละคนต่างก็ขึ้นไปบนยอดเขาเรียกให้ลมเสฟไฟรัสมารับตัวลงไป แต่ลมไม่ได้รับคำสั่งจาก อีรอสจึงไม่มารับดั่งในครั้งก่อน พอนางแต่ละคนโผออกจากยอดเขาด้วยสำคัญผิดว่าลมเสฟไฟรัสมารับ นางก็กลับตกเขา ตาย

ในระหว่างนั้น ไซคิซัดเซพเนจรเที่ยวค้นหาสามีไปตามที่ต่าง ๆ พบใครก็สืบถามดะไปหมด เช่น นางได้พบแพน เทพบุตรขาแพะ แต่เทพก็ช่วยอะไรไม่ได้ นอกจาก ฟังเรื่องและปลอบใจนางเท่านั้น วันหนึ่งนางมาถึงศาลเจ้าแม่ดีมิเตอร์ เทวีครองการเก็บเกี่ยว เห็นเคียว ข้าวโพด และเครื่องมืออื่น ๆ กองสุมกันอยู่ระเกะระกะไม่เป็น ระเบียบ นางจึงจัดข้าวของเสียใหม่ให้เป็นหมวดหมู่ ดูเรียบร้อย เจ้าแม่ดีมีเตอร์ก็โปรด ให้บังเกิดความสมเพชสงสารนางไซคิในความอาภัพอัปภาคย์ของนางเป็นอย่างยิ่ง เจ้าแม่จึงแนะนำให้นางไปที่ศาลเจ้าแม่อโฟร์ไดที่ และให้บวงสรวงวอนขอความกรุณาต่อเจ้าแม่ดูสักครั้งหนึ่ง แต่เจ้ากรรม เทวีแห่งความงามยังไม่หายคุมแค้นนางไซคิ เจ้าแม่บริภาษเปรียบเปรยว่าว่านางเป็นประการต่าง ๆ ให้นางระกำใจ มิหนำซ้ำยังใช้ให้นางทำการอย่าง หนึ่งซึ่งเป็นงานเหนือวิสัยมนุษย์ปุถุชนจะทำได้ คือ ให้จำแนกเมล็ดพืชนานาชนิดที่ระคนปนกันอยู่ในฉางออกจากกันเป็นพวก ๆ ให้เสร็จก่อนค่ำ เพื่อเก็บไว้ให้นกพิราบของ เจ้าแม่กิน ถ้านางทำได้สำเร็จ เจ้าแม่ก็จะยอมยกโทษให้ นางไซคิมองดูธัญชาติในฉางด้วยความท้อถอย ทอดอาลัยสุดที่จะคิดอ่านประการใด ในขณะนั้นเอง มดฝูงหนึ่งก็มาช่วยกันขนเมล็ดข้าวนานาชนิดไปกองไว้เป็นพวกๆ มดฝูงนั้นมาตามคำบัญชาของอีรอสเพื่อช่วยงานของนางไซคิให้สำเร็จด้วยความสงสาร จนเสร็จภายในเวลาที่กำหนดแล้วก็หายตัวไป พอเวลาพลบ เจ้าแม่ลงมาจากเขา โอลิมปัส ได้เห็นงานสำเร็จเรียบร้อยดังนั้น แทนที่จะโปรด กลับระบุว่านางคงไม่ได้ทำงานสำเร็จด้วยตนเอง และว่าผู้ที่ช่วยนาวในครั้งนี้มิใช่ใครอื่น นอกจากอีรอสเป็นแน่ เจ้าแม่ยังไม่ยอมยกโทษให้ หากกลับใช้นางทำการอีกอย่างหนึ่งต่อไป


ในคราวนี้เจ้าแม่อโฟร์ไดที่ใช้นางไซคิให้ข้ามแม่น้ำสายหนึ่งไปถอนขนแกะซึ่งไม่มีผู้ใดเลี้ยง ณ ฟากตรงข้ามของแม่น้ำเอามาถวายเจ้าแม่ แกะฝูงนั้นล้วนมีขน เป็นทองคำ และเจ้าแม่ก็พึงประสงค์ขนแกะทองคำมากที่สุด ให้นางไซคิถอนขนแกะทุกตัวตัวละขนเอามาถวายให้จงได้ ไซคิไปถึงริมฝั่งแม่น้ำแต่เช้า แต่ต้นอ้อริมฝั่งแม่น้ำ หน่วงนางเอาไว้ ทั้งนี้ด้วยเทพประจำแม่น้ำสงสารนางว่าจะไปตายเสียเปล่า จึงสั่งความลับไว้ให้ต้นอ้อบอกแก่นางเกี่ยวกับวิธีที่ปลอดภัยในการไปเอาขนแกะทองคำ ความลับ นั้นมีว่า ตั้งแต่เวลาเช้าถึงเที่ยงแม่น้ำมีอันตรายมาก และแกะฝูงนั้นก็ดุร้าย ถึงนางจะข้ามแม่น้ำไปถึงฝั่งตรงข้ามได้สำเร็จก็น่ากลัวจะไม่วายถูกฝูงแกะทำลายชีวิตเสีย ต่อเวลา เที่ยงล่วงแล้วฝูงแกะจึงกลับเชื่อง และแม่น้ำก็สงบนิ่ง ให้นางรออยู่จนถึงเวลานั้นจึงค่อยข้ามแม่น้ำไป นางจะพบขนแกะทองคำติดตามพุ่มไม้ ให้นางเที่ยวเก็บเอาตามพุ่มไม้ เหล่านั้นเถิด นางไซคิปฏิบัติตามคำแนะนำของต้นอ้อทุกประการ ในไม่ช้าก็หอบขนแกะทองคำเอามาถวายเจ้าแม่อโฟร์ไดที่เป็นอันมาก เจ้าแม่ไม่สมหวังในการประทุษร้ายนาง ไซคิในครั้งนี้ จึงแกล้งใช้นางให้ทำธุระอีกอย่างหนึ่งเป็นครั้งที่สาม


โดยงานชิ้นที่สามที่เทวีอโฟร์ไดที่ได้สั่งให้นางไซคิทำก็คือ การนำโถใบหนึ่งลงไปในยมโลก ไปเฝ้าเพอร์เซโฟนีเทวี ทูล ขอเครื่องประกอบความงามของเจ้าแม่ ให้เจ้าแม่บรรจุลงในโถใบนี้ แล้วนำกลับมาให้แก่ตน ให้รีบไปและรีบกลับโดยเร็วก่อนค่ำ วันนี้

ไซคิเมื่อได้ยินคำสั่งดังนี้ ให้นึกแน่ว่าครั้งนี้นางคงถึงแก่อับจนไม่พ้นมือมัจจุราชเป็นเที่ยงแท้ แต่นางก็คิดว่าดีเหมือนกัน เรื่องราวทั้งหลายจะได้ยุติลงเสียที และเพื่อตัดบทในการที่จะดั้นด้นลงสู่ยมโลกที่มนุษย์ปุถุชนไม่สามารถที่จะทำได้ นางจึงขึ้นไป บนยอดหอสูงหมายจะโดดลงมาให้ตาย เพื่อมิให้ร่างกายต้องทรมาน และในบัดดล พลันได้ยินเสียงหนึ่งในหอลอยมากระทบหูของ นาง เป็นคำปลอบและบอกทางให้นางลงสู่ยมโลกโดยลัดเลาะไปตามถ้ำ ลงเรือจ้างของเครอนข้ามแม่น้ำคั่นตรุที่ประทับของเทพ ฮาเดส และบอกวิธีหลีกเลี่ยงเซอร์บิรัส สุนัขสามหัวให้ด้วย แต่กำชับว่าในระหว่างที่ยังอยู่ในยมโลก นางจะกินผลไม้ใด ๆ มิได้ เว้นแต่อาหารที่ทำด้วยแป้ง และเมื่อเพอร์เซโฟรีเทวีมอบโถให้แล้วห้ามมิให้นางเปิดโถนั้นดูเป็นอันขาด นางไซคิปฏิบัติตามคำ แนะนำของเสียงนั้นอย่างเคร่งครัดทุกประการ เว้นแต่ประการสุดท้ายประการเดียว

ในขณะที่ไซคินำโถกลับมาตามทางนั้น นางคิดว่าความงามอันใดบรรจุอยู่ในโถ ถ้านางเปิดโถออกให้ความงามนั้นพลุ่ง ขึ้นเสริมความงามของนางเองให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นคงเป็นการดีไม่น้อย นางลุอำนาจแก่ความอยากรู้อยากเห็นเช่นนั้น จนลืมคำกำชับ ห้ามปราม พอเปิดโถออกนางก็ล้มสลบแน่นิ่งไป ด้วยสิ่งที่บรรจุอยู่ในโถมิใช่ความงาม แต่เป็นความหลับในยมโลก

ฝ่ายอีรอสซึ่งยังอยู่ในอำนาจพิษศรกามของเธอเอง ในขณะนั้หายโกรธแล้ว ให้ระลึกถึง นางไซคิเป็นที่สุด เธอรู้ว่าไซคิประสบเคราะห์กรรมเป็นไฉนจึงบินออกจากทิพมนเทียรลงสู่บาดาล เก็บความหลับกลับคืนในโถแล้วเอาปลายศรสะกิดเบา ๆ นางก็ฟื้นตื่นจากวิสัญญีภาพ เธอตัดพ้อชี้ ให้เห็นโทษของความสอดรู้สอดเห็นอันบังเกิดแก่นางถึงสองครั้งแล้ว ให้นางปฏิบัติภาระที่ได้รับ มอบจากเจ้าแม่อโฟร์ไดที่ต่อไปให้เสร็จ ส่วนตัวอีอรสเองจะขึ้นไปบนสวรรค์ทูลขอต่อ ซูสให้โปรด เกลี้ยกล่อมเจ้าแม่แห่งความงามงดโทษโกรธขึ้งนางไซคิเสีย ซึ่งซูสเทพบดีก็โปรดให้ตามที่ขอ เมื่อ เจ้าแม่อโฟร์ไดที่ยอมงดโทษแก่นางไซคิแล้ว ซูสจึงประทานน้ำอมฤตให้นางไซคิดื่ม ซึ่งจะทำให้ เป็นอมตะอยู่ครองคู่กับอีรอสโดยไม่พลัดพรากจากกันอีกเลยนับแต่บัดนั้นมา

 
heartคิวปิด
 

Advertisement


เรื่องน่าสนใจจากสมาชิกท่านอื่น
 

ไม่มีความเห็น
เกี่ยวกับเรื่อง ปรัชญาความรัก...
 
 


 
เกมส์ รวมเกมส์ เกมส์แข่งรถ เกมส์ต่อสู้ เกมส์ภาษา เกมส์วางระเบิด เกมส์แต่งตัว เกมส์ท่องเที่ยว เกมส์หมากฮอส เกมส์ผจญภัย เกมส์เต้น เกมส์รถ เกมส์ดนตรี เกมส์ขายของ เกมส์ฝึกสมอง เกมส์เด็กๆ เกมส์ปลูกผัก เกมส์การ์ด เกมส์จับผิดภาพ เกมส์ตลก เกมส์ตัดผม เกมส์ก้านกล้วย เกมส์ทําอาหาร เกมส์เลี้ยงสัตว์ เกมส์ผี เกมส์จับคู่ เกมส์กีฬา เกมส์เศรษฐี เกมส์ฝึกทักษะ เกมส์วางแผน เกมส์จีบหนุ่ม เกมส์มาริโอ เกมส์ระบายสี เกมส์จีบสาว เกมส์เบ็นเท็น เกมส์ยิง เกมส์ยาน เกมส์สร้างเมือง เกมส์มันส์ๆ เกมส์แต่งบ้าน เกมส์ความรู้

ผ่องศรี บัวขาว
เจ้าของบล็อกนี้
Advertisement
Advertisement
เรื่องราวล่าสุด ของ
ผ่องศรี บัวขาว..