ศูนย์รวมความคิด ความรู้ ประสบการณ์ ของคุณครู สมาชิกเว็บไซต์ ครูบ้านนอก.คอม ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านที่ตั้งใจทำเพื่อสังคมครับ |
เจ้าของโพสต์นี้ ธนัชชา โพธิกุล จากจังหวัด นครสวรรค์ |
|
ทำไมเหรียญจึงมีด้านหัวและก้อยหันตรงข้ามกัน |
โพสต์เมื่อวันที่ : 31 ธ.ค. 2551 IP : เปิดอ่าน : 6552 ครั้ง คะแนนของ BLOG นี้ -ไม่มีผลโหวต-
☰แชร์เลย > |
|
|
ไม่พลาดข่าวการศึกษา
ครูบ้านนอก Line Official
กดเพิ่มเพื่อนเลย
|
|
Advertisement
|
ทำไมเหรียญจึงมีด้านหัวและก้อยหันตรงข้ามกัน แต่หลังๆ มานี้เหรียญผลิตออกมาหันด้านหัว-ก้อยด้านเดียวกัน .....คุณกษาปณ์ หรือเรียกกันเต็มๆว่า “เหรียญกษาปณ์” ถือกำเกิดขึ้นเมื่อ 2,700 ปี ที่แล้ว เมื่อเจ้าผู้ครองแผ่นดินลิเดียที่มั่งคั่ง ประทับตราพระราชลัญจกรลงบนก้อนโลหะนาก (เงินผสมทองและทองแดง) ที่ตัดแบ่งเป็นขนาดต่างๆ ตามน้ำหนักมาตรฐานที่กำหนด(กัน)ขึ้น อีก 50 ปีต่อมา เมื่อสามารถแยกทองออกจากเงินได้ เหรียญเงินและเหรียญทองจึงถือกำเนิดขึ้น ลิเดียจึงเป็นชนชาติแรกที่ใช้เหรียญกษาปณ์ และผลิตเหรียญกษาปณ์ทองขึ้นใช้
เหรียญกษาปณ์ได้รับความนิยม แพร่หลายทั้งในประเทศลิเดียและประเทศคู่ค้า เพราะช่วยให้ชีวิตของพ่อค้าง่ายขึ้น ไม่ต้องเสียเวลาตัดและชั่งโลหะกันทุกครั้งที่ตกลงการค้า นอกจากนี้ การผลิตด้วยวิธีการง่ายๆ นำก้อนโลหะตามน้ำหนักมาตรฐานมาวางบนทั่งเหล็กที่แกะรูปหัวสิงโต อันเป็นตราพระราชลัญจกร แล้วทุบด้วยค้อนนี้ กลายเป็นต้นแบบของการผลิตเหรียญกษาปณ์ ซึ่งตามทฤษฎีการตลาดพระราชลัญจกร คือแบรนด์ของสินค้า ที่ทำให้ผู้ใช้(คู่ค้า)เกิดความเชื่อมั่นและการยอมรับ ผลในทางรูปธรรมคือประเทศคู่ค้าอย่างกรีก รับมาทั้งระบบการใช้และการผลิต เหรียญกษาปณ์จึงแพร่หลายในเมืองท่ารอบทะเลเมดิเตอร์เรเนีย ขยายสู่ยุโรป แอฟริกาเหนือ และบางส่วนของเอเชีย ในยุคที่อาณาจักรโรมันที่เรืองอำนาจ
จากเหรียญหน้าเดียวที่ประทับตราเจ้าผู้ครองแผ่นดินของชาวลิเดีย กรีกใช้พื้นที่อีกด้านให้เป็นประโยชน์ นำรูปเทพเจ้าที่นับถือประทับลงไป เหรียญจึงมีสองด้าน “หัว - ก้อย” ซึ่งในช่วงแรกๆเหรียญกษาปณ์ของอาณาจักรโรมัน ก็มีรูปแบบเดียวกัน แต่ต่อมาภาพที่ปรากฏบนเหรียญหลากหลายมากขึ้น อาทิ สัญลักษณ์ของเมืองที่ผลิต เครื่องมือที่ใช้ พระบรมฉายาลักษณ์ของจักรพรรดิที่มีชื่อเสียง การชนะศึกครั้งสำคัญ และพระบรมฉายาลักษณ์ของจักรพรรดิที่ยังทรงพระชนม์ (เริ่มในสมัยจูเลียส ซีซาร์) เมื่ออาณาจักรโรมันเสื่อมสลาย คริสต์ศาสนาเป็นที่นับถือแพร่หลาย เครื่องหมายทางศาสนาจึงนำมาประทับบนเหรียญกษาปณ์
ภาพและตราประทับบนเหรียญ แสดงอำนาจของผู้ปกครอง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการบันทึกประวัติศาสตร์โลก ฐานอำนาจที่เปลี่ยนแปลงไป ปกติแล้วภาพเหมือนที่ปรากฏบนเหรียญจะเป็นภาพของผู้ครองนคร แต่หากเมืองใดมีเจ้าครองนคร แต่เหรียญกษาปณ์กลับปรากฏรูปอื่น แสดงว่านครนั้นไม่มีอำนาจอธิปไตยในการปกครอง พูดง่ายๆ คือเป็นเมืองขึ้น และถ้าใช้สัญลักษณ์ทางศาสนาแสดงว่าช่วงเวลานั้นอำนาจของผู้ปกครองน้อยกว่าความเชื่อ ความศรัทธาทางศาสนา
และนี่คือเรื่องราวความเป็นมาของคุณกษาปณ์ แต่ที่ผมว่าน่าคิดในเส้นทางชีวิตของคุณกษาปณ์ คือภาวะตกรุ่น ส่วนหนึ่งเอาท์ เทรนด์ขึ้นทำเนียบของสะสม ส่วนที่ยังใช้อยู่ก็มีค่าเพียงเศษสตางค์ เส้นทางชีวิตที่ผันแปรไปของคุณกษาปญ์ คือผลจากความนิยมตามเทรนด์ที่ไม่เคยเอาท์ นั่นคือเพื่อชีวิตที่ง่ายกว่าเดิมนั่นเอง
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9) ได้มีการผลิตเหรียญกษาปณ์หมุนเวียน และเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก รวมทั้งมีการพัฒนาจัดทำเหรียญที่ระลึก ต่อเนื่องมาจนกระทั่งปัจจุบัน คือ
1. เหรียญกษาปณ์หมุนเวียน (Circulated coins) เป็นเหรียญกษาปณ์ที่ใช้หมุนเวียนกันอยู่ทั่วไปในชีวิตประจำวัน มี 8 ชนิดราคา คือ 10 บาท, 5 บาท และ 1 บาท 50 สตางค์, 25 สตางค์, 10 สตางค์, 5 สตางค์ และ 1 สตางค์ แต่ที่ใช้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมี 5 ชนิดราคา คือ 10 บาท, 5 บาท และ 1 บาท 50 สตางค์, 25 สตางค์ ส่วนเหรียญชนิดราคา 10 สตางค์, 5 สตางค์ และ 1 สตางค์ มีใช้ในทางบัญชีเท่านั้น
2. เหรียญกษาปณ์ที่ระลึก (Commemorative coins) เป็นเหรียญกษาปณ์ที่ผลิตออกใช้ในวโรกาสและโอกาสที่สำคัญตทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับสถาบันคือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ หรือเหตุการณ์ระหว่างประเทศ โดยจัดทำ 2 ประเภท คือ ขัดเงา และไม่ขัดเงา
*** ข้อแตกต่างระหว่างเหรียญกษาปณ์หมุนเวียน และเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกก็คือการวางลวดลายด้านหน้าและด้านหลัง โดนเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนจะวางลวดลายแบบ American Turning ซึ่งจะต้องพลิกดูลวดลายด้านหลังในแนวดิ่ง สำหรับเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกได้จัดวางลวดลายแบบ European Turning ซึ่งจะต้องพลิกในแนวนอนเพื่อดูลวดลายด้านหลัง ***
3. เหรียญที่ระลึก (Medal) เป็นเหรียญที่ผลิตขึ้นเนื่องในวโรกาสและโอกาสที่สำคัญต่างๆ ซึ่งมีความแตกต่างจากเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกตรงที่จะ ไม่มีราคาหน้าเหรียญ เนื่องจากมิใช่เงินตราจึงไม่สามารถใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย
ขอขอบคุณ สุทธิรักษ์.คอม
Advertisement
|