..... ชื่อเรื่อง การพัฒนาทักษะกระบวนการคิดและนิสัยรักการทำงานของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
ชื่อผู้วิจัย นางอุ่นจิต คุ้มสวัสดิ์
ตำแหน่ง ครู ชำนาญการ
วุฒิการศึกษา กศ.บ. ภาษาไทย
ชื่อสถานศึกษา โรงเรียนเติมแสงไขปากช่องวิทยา
ภาคเรียน / ปีการศึกษาที่ทำวิจัย ภาคเรียนที่ 1 / 2550
ความเป็นมาของการวิจัย
จากการวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ N.T. พบว่านักเรียนขาดทักษะด้านการคิดวิเคราะห์ คิด สังเคราะห์ และนอกจากนี้แล้วนักเรียน ยังขาดนิสัยรักการทำงานอีกด้วย จากการสังเกตของผู้วิจัยพบว่า นักเรียนคุ้นเคยกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ครูเป็นผู้ให้อย่างเดียว กล่าวคือ ครูจะเป็นผู้บรรยาย อธิบายให้นักเรียนฟัง นักเรียนไม่ได้รับการฝึกฝนให้ศึกษาค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง อีกทั้ง เมื่อจะทำการวัด – ประเมินผล ครูก็มักจะให้นักเรียนทำแบบทดสอบแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ ทำให้นักเรียนสามารถที่จะเดาคำตอบได้ หรืออาจจะลอกคำตอบจากเพื่อน และเมื่อใดที่ครูกำหนดภาระงานให้ เช่น การทำโครงงาน มักไม่ได้ผลงานที่ดีร้อยเปอร์เซ็นต์ และอาจพบปัญหานักเรียนไม่ส่งงาน เนื่องจากกระบวนการจัดทำยุ่งยากซับซ้อนหลายขั้นตอน เนื้อหามากเกินไป ทำให้นักเรียนเบื่อหน่าย จึงคิดว่า การนำโครงงานแผ่นเดียวหรือวิจัยสำหรับนักเรียนมาใช้ในการพัฒนาและฝึกทักษะแก่นักเรียน น่าจะส่งผลให้นักเรียนมีทักษะด้านการคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ และมีนิสัยรักการทำงานมากยิ่งขึ้น เพราะการทำโครงงานแผ่นเดียว มีเนื้อหาที่ไม่มากและกระบวนการก็ไม่ยุ่งยากซับซ้อน ซึ่งนักเรียนสามารถฝึกทำได้ อีกทั้งการฝึกเขียนวิจัยสำหรับนักเรียน, การเขียนโครงงานยังเป็นการส่งเสริมให้นักเรียนได้ศึกษาค้นคว้าหาความรู้จากแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย สามารถสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง เสริมสร้างคุณลักษณะอันพึงประสงค์ด้านนิสัยรักการทำงาน และมีส่วนช่วยเสริมทักษะด้านกระบวนการทำงานได้ด้วยทางหนึ่งเช่นกัน
วัตถุประสงค์และเป้าหมายของการวิจัย
วัตถุประสงค์
เพื่อพัฒนานักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ให้มีทักษะกระบวนการคิดและนิสัยรักการทำงาน
เป้าหมาย
เพื่อศึกษาวิธีการพัฒนาทักษะกระบวนการคิดและนิสัยรักการทำงานของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 3
วิธีดำเนินการวิจัย
วิธีการวิจัย
กลุ่มเป้าหมาย
ประชากรกลุ่มเป้าหมายเป็นนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3/2 จำนวน 28 คน ภาคเรียนที่ 1 / 2550
เครื่องมือในการวิจัย ( นวัตกรรม )
1. โครงงานแผ่นเดียว
2. วิจัยของหนู ( วิจัยสำหรับนักเรียน )
เครื่องมือรวบรวมข้อมูล
1. แบบประเมินผลงานนักเรียน และเกณฑ์การประเมิน ( Rubrics )
2. แบบสังเกตพฤติกรรมการทำงาน และเกณฑ์การประเมิน ( Rubrics )
วิธีการรวบรวมข้อมูล
1. นำรูปแบบของโครงงานแผ่นเดียวและวิจัยสำหรับนักเรียนมาปรับประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับวิชาภาษาไทย
2. ออกแบบแบบประเมินผลงานนักเรียน และแบบสังเกตพฤติกรรมการทำงานที่มีกระบวนการ พร้อมทั้งเกณฑ์การประเมิน ( Rubrics )
3. นักเรียนศึกษารูปแบบการทำโครงงานแผ่นเดียวจากตัวอย่างที่ดีหลากหลายตัวอย่าง
4. นักเรียนจัดทำโครงงานแผ่นเดียว โดย ;
- ครั้งที่ 1 ฝึกทำโครงงานเลียนแบบตัวอย่าง
- ครั้งที่ 2 – 5 จัดทำโครงงานแผ่นเดียวตามแผนการจัดการเรียนรู้
5. นักเรียนศึกษารูปแบบการเขียนวิจัยของหนูจากตัวอย่างที่ดีหลากหลายตัวอย่าง
6. นักเรียนจัดทำโครงงานแผ่นเดียว โดย ;
- ครั้งที่ 1 ฝึกเขียนวิจัยของหนูเลียนแบบตัวอย่าง
- ครั้งที่ 2 – 5 เขียนวิจัยของหนูตามแผนการจัดการเรียนรู้
7. ประเมินผลงานนักเรียนทุกครั้ง โดยนักเรียนประเมินตนเอง – เพื่อนประเมิน – ครูประเมิน เพื่อให้นักเรียนได้รู้จักเปรียบเทียบผลงานของตนกับเพื่อน และมีการพัฒนาผลงานของตนต่อไป
8. ประเมินทักษะกระบวนการคิดของนักเรียนด้วยแบบสังเกตพฤติกรรม และจากการสังเกตผลงานของนักเรียนที่ปรากฏให้เห็นหรือแสดงถึงการพัฒนาด้านความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ด้านความคิดที่เป็นกระบวนการมากขึ้น เป็นต้น
9. ทดสอบนักเรียนด้วยแบบทดสอบที่เน้นการคิด วิเคราะห์
10. สรุปผลการพัฒนานักเรียนด้วยโครงงานแผ่นเดียวและวิจัยของหนู โดยพิจารณาจากคะแนนการทดสอบ เปรียบเทียบกับเกณฑ์ที่กำหนดไว้ และข้อมูลจากแบบประเมินการทำโครงงาน, การเขียนวิจัยของหนู, การสังเกตพฤติกรรมการทำงาน
การวิเคราะห์ข้อมูล
ใช้ค่าร้อยละเปรียบเทียบ, ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน, ค่าสัมประสิทธิ์การกระจาย และการหาประสิทธิภาพของกระบวนการด้วยค่า t - test
ผลการวิเคราะห์ข้อมูล
ผลการพัฒนาทักษะกระบวนการคิดของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ด้วยโครงงานแผ่นเดียว และวิจัยของหนู สรุปได้ ดังนี้
ตารางที่ 1 แสดงคะแนนเฉลี่ย, ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์การกระจาย
นวัตกรรม
ชุดที่
|
คะแนนเฉลี่ย
|
ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
( S.D.)
|
ค่าสัมประสิทธิ์
การกระจาย
( C.V. )
|
ก่อนเรียน
|
หลังเรียน
|
ก่อนเรียน
|
หลังเรียน
|
1
|
5.93
|
8.57
|
1.02
|
0.97
|
9.22
|
2
|
6.18
|
8.50
|
0.82
|
0.64
|
7.53
|
รวมเฉลี่ย
|
6.06
|
8.54
|
0.92
|
0.81
|
8.38
|
จากตารางที่ 1 พบว่า คะแนนเฉลี่ย หลังเรียนของนักเรียนสูงขึ้น แสดงว่า การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการคิดโดยใช้โครงงานแผ่นเดียวและวิจัยของหนู ทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น
เมื่อเปรียบเทียบส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ( S.D ) หลังเรียนต่ำกว่าก่อนเรียน แสดงว่า หลังเรียนมีคะแนนมากกว่าก่อนเรียน ซึ่งถือว่า เป็นการสอนที่มีคุณภาพ
ส่วนค่าสัมประสิทธิ์การกระจาย ( C.V. ) และหาค่าก่อนเรียนและหลังเรียน พบว่า ค่า C.V หลังเรียนเป็นไปตามสมมุติฐาน
คือ ค่า C.V. น้อยกว่า 10 แสดงว่าผลการสอนดีเยี่ยม
ค่า C.V. อยู่ระหว่าง 10-15 แสดงว่าผลการสอนดี
ค่า C.V. มากว่า 15 แสดงว่าผลการสอนไม่น่าพอใจ
ตารางที่ 2 แสดงแสดงการหาประสิทธิภาพ และค่าทีของกระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
นวัตกรรม
ชุดที่
|
ค่าเฉลี่ยร้อยละ
|
P*
|
ก่อนเรียน
|
Advertisement
|
เรื่องน่าสนใจจากสมาชิกท่านอื่น | |
|
|
![](../images/view_block_01.gif) |
|
![](../images/view_block_03.gif) |
|
เกี่ยวกับเรื่อง วิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน
|
|
![](../images/view_block_07.gif) |
|
![](../images/view_block_09.gif) |
|