ศูนย์รวมความคิด ความรู้ ประสบการณ์ ของคุณครู สมาชิกเว็บไซต์ ครูบ้านนอก.คอม ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านที่ตั้งใจทำเพื่อสังคมครับ |
เจ้าของโพสต์นี้ บัวกันต์ วิลามาศ จากจังหวัด ศรีสะเกษ 33150 |
|
ตามรอยพระยุคลบาท..ใต้ร่มฉัตรจักรีวงศ์ |
โพสต์เมื่อวันที่ : 8 ธ.ค. 2552 IP : เปิดอ่าน : 6417 ครั้ง คะแนนของ BLOG นี้ (44.00%-5 ผู้โหวต)
☰แชร์เลย > |
|
![เพิ่มเพื่อน](http://biz.line.naver.jp/line_business/img/btn/addfriends_en.png) |
ไม่พลาดข่าวการศึกษา
ครูบ้านนอก Line Official
กดเพิ่มเพื่อนเลย
|
|
Advertisement
|
ทรงพระเจริญ ![](http://www.kroobannok.com/images/quote_close.png) ..... ข้าพเจ้าเคยให้คำขวัญเกี่ยวกับครูว่า “ครู คือผู้กำหนดอนาคตของสังคม” ซึ่งทำให้คำขวัญดังกล่าวได้มีการนำไปใช้ในการพัฒนาบทบาทของครูอยู่ในระยะหนึ่ง ในโอกาสนี้ ข้าพเจ้าขอถือโอกาสเสนอคำขวัญที่เกี่ยวกับการศึกษาว่า “การศึกษา คือหัวใจของการพัฒนาคนบนแผ่นดิน” โดยมีเหตุผลแห่งความคิดนี้ว่า แผ่นดินใดที่ไร้การศึกษา การพัฒนาความคิด การพัฒนาจิตใจ ตลอดการพัฒนาสังคมย่อมไม่เกิดขึ้น ดังนั้นการศึกษาจึงเป็นแม่แรงที่จะยกแผ่นดินให้สูงขึ้นกว่าที่เป็นอยู่
ใครกันเล่าจะเป็นคนที่ขันสกรูแม่แรงทางการศึกษาให้สูงขึ้น คำตอบ คือทุกคนในชาติ
การจัดการศึกษาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีจุดมุ่งหมายสำคัญพอสรุปได้สามประการ คือ
1.เพื่อสนองความต้องการของบ้านเมืองที่ต้องการคนเข้ารับราชการ
2.เพื่อคุณประโยชน์ทั่วไป (จัดการศึกษาเพื่อทวยราษฎร์หรือเพื่อเยาวชนของชาติส่วนใหญ่ได้รับการศึกษา)
3.เพื่อเป็นการส่งเสริมการศึกษาพระศาสนา
ด้วยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นความสำคัญของการศึกษาเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นในปี พ.ศ.2414 พระองค์ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโรงเรียนหลวงขึ้นในพระบรมมหาราชวัง นับเป็นโรงเรียนแรกที่ได้จัดตั้งขึ้นตามแบบโรงเรียนที่เข้าใจอยู่ในปัจจุบัน โดยทรงโปรดเกล้า ฯให้พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) เมื่อครั้งเป็นหลวงสารประเสริฐ ปลัดกรมพระอาลักษณ์เป็นอาจารย์ใหญ่ มีแนวการจัดการศึกษามุ่งไปในทางวิชาหนังสือและเลข เพื่อให้กุลบุตรกุลธิดามีความรู้ความสามารถพอที่จะเข้ารับราชการได้ แต่โรงเรียนหลวงที่จัดตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกนี้ ก็เป็นโรงเรียนสำหรับบุตรพระราชวงศ์และข้าราชการเท่านั้น
ในด้านการศึกษาเพื่อทวยราษฎร์ พระองค์ก็ทรงมีพระราชดำริที่จะจัดขึ้นพร้อม ๆกัน
ดังปรากฏว่า ในการประชุมที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ.2417 พระองค์ได้ทรงมีพระราชดำรัสที่จะให้เครื่องมือสำหรับการประกอบอาชีพแก่ลูกทาสที่จะเป็น”ไท” ว่าเครื่องมือที่จะทำให้ลูกทาสเป็นไทได้จริงนั้น คือ การศึกษา จากนั้นอีกเพียงปีเดียวพระองค์ทรงโปรดเกล้า ฯ ที่จะให้มีอาจารย์สอนหนังสือไทยและเลขในทุกพระอารามทั่วพระราชอาณาจักรจนกระทั่งปี พ.ศ.2427 พระราชดำริที่จะจัดการศึกษาเพื่อทวยราษฎร์จึงปรากฏชัดเจนขึ้น เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จไปพระราชทานรางวัลแก่นักเรียนที่โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ ในพระราชดำรัสที่พระองค์ได้ทรงประทานแก่นักเรียน ได้เน้นให้เห็นถึงพระราชประสงค์ที่จะจัดการศึกษาเพื่อทวยราษฎร์ ดังมีข้อความบางตอนว่า
“เจ้านายราชตระกูลตั้งแต่ลูกฉันเป็นต้นไป จนถึงราษฎรที่ต่ำสุดจะได้ทีโอกาส
เล่าเรียนได้เสมอกันไม่ว่าเจ้า ว่าขุนนาง ว่าไพร่”
ดังนั้น การศึกษาสำหรับทวยราษฎร์หรือที่สมเด็จพระยาดำรงราชานุภาพทรงเรียกว่า
“โรงเรียนสำหรับราษฎร” จึงได้มีการริเริ่มขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ในเดือน สิงหาคม พ.ศ.2428 โดยที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินงานเกี่ยวกับการจัดการศึกษาเพื่อทวยราษฎร์ขึ้นคระหนึ่ง และโรงเรียนสำหรับราษฎรจึงได้มีการจัดตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกที่วัดมหรรณพาราม ตำบลหัวลำโพง ในปี พ.ศ.2428 นั้นเอง
ในยุคปัจจุบัน การศึกษาถือว่าเป็นหัวใจของการพัฒนาอย่างแท้จริง ชนใดไร้การศึกษา การพัฒนาก็ล้าสมัย ดังนั้นการที่จะทำให้คนในประเทศชาติมีศักยภาพ จะต้องพัฒนาระบบการศึกษาให้มีคุณภาพเสียก่อน ดังพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่นิสิตและนักศึกษาวิทยาลัยวิชาการศึกษา เมื่อวันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน 2516 ว่า “จุดประสงค์ของการให้การศึกษานั้น คือการแนะนำส่งเสริมให้บุคคลมีความเจริญงอกงามในการเรียนรู้ การคิดอ่าน การกระทำ และสามารถนำเอาคุณสมบัติทั้งปวงที่มีอยู่ในตัวออกมาใช้ให้เป็นประโยชน์ เกื้อกูลตนเกื้อกูลผู้อื่น เพื่อให้อยู่ร่วมกันเป็นสังคม เป็นประเทศได้ ผู้มีหน้าที่ในการให้การศึกษาแก่อนุชน จึงจำเป็นต้องระมัดระวังตั้งใจปฏิบัติงาน โดยคำนึงถึงจุดมุ่งหมายทั้งนี้อยู่เสมอเป็นนิตย์
การที่จะอบรมสนับสนุนอนุชน ให้ได้ผลตามความมุ่งหมายของการศึกษานั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าการฝึกฝนและปลูกฝังความรู้จักเหตุผล ความรู้จักผิดชอบชั่วดี เป็นสิ่งจำเป็นไม่น้อยไปกว่าการใช้วิชาการ เพราะการรู้จักพิจารณาให้เห็นเหตุเห็นผล ให้รู้จักจำแนกสิ่งผิดชอบชั่วดีได้โดยกระจ่างแจ้ง ย่อมทำให้มองบุคคลและในสิ่งนั้น ๆ และเมื่อได้มองเห็นความจริงแล้ว ก็สามารถใช้ความรู้และวิชาการ ปฏิบัติงานทุกอย่างได้ดีและถูกต้องยิ่งขึ้นเป็นประโยชน์แก่ตนแก่ผู้อื่นได้มากขึ้น”
จากพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะเห็นได้ว่า พระองค์ทรงเห็นความสำคัญของการศึกษาอย่างมาก โดยเฉพาะเน้นตรงการฝึกปฏิบัติที่จิตใจ คือเอาใจเอาจิตคิดพัฒนา หรือเน้นพัฒนาการศึกษาที่ตัวคนควบคู่ไปกับวิชาการ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงสนพระราชหฤทัยในการทำนุงบำรุงการศึกษาของประชาชนเป็นอย่างมาก ดังนั้น ใน พ.ศ.2500 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้สร้างอาคารเรียนชั้นเดียวในบริเวณสวนจิตรลา และพระราชทานนามโรงเรียนว่า “โรงเรียนจิตรลดา”และโปรดเกล้า ฯ “ให้โรงเรียนรับนักเรียนทั่วไปโดยไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นเชื้อพระวงศ์”
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช มีพระราชดำริให้ตั้งโรงเรียนในเขตชนบทห่างไกลและบริเวณชานแดนที่ราษฎรยากจนไม่มีสถานที่เรียนของบุตรหลาน เพื่อให้เด็กและเยาวชนที่ด้อยโอกาสในการศึกษาเหล่านั้นได้เล่าเรียนเท่าเทียมกับเยาวชนในท้องถิ่นอื่น โดยโรงเรียนประเภทนี้เรียกว่า “โรงเรียนร่มเกล้า” และ”โรงเรียนพ่อหลวงอุปถัมภ์”
โรงเรียนร่มเกล้าแห่งแรก ตั้งขึ้นที่โรงเรียนร่มเกล้าบ้านหนองแคน จังหวัดนครพนม และต่อมาได้เกิดโรงเรียนร่มเกล้าขึ้นหลายแห่งทั่วประเทศไทย โดยลักษณะสำคัญของโรงเรียน คืออยู่ในชนบทห่างไกล บางแห่งอยู่ชายแดนและอยู่ในเขตก่อกวนของผู้ก่อการร้าย ซึ่งการพิจารณาตัดสินใจก่อสร้างโรงเรียนร่มเกล้าขึ้น ณ แห่งใดนั้น ทรงมอบให้แม่ทัพภาคของแต่ละเขตพื้นที่เป็นผู้พิจารณา การสร้างโรงเรียนร่มเกล้าจึงเป็นการให้ความเสมอภาคทางการศึกษาแก่ผู้ด้อยโอกาสที่อยู่ในชนบทห่างไกล เป็นพระปรีชาสามารถและพระมหากรุณาธิคุณโดยแท้
ในส่วนของโรงเรียนพ่อหลวงอุปถัมภ์ เกิดจากกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดน
เขต 5 ค่ายดารารัศมี จังหวัดเชียงใหม่ จัดตั้งขึ้นแห่งแรกที่โรงเรียนบ้านดอนมหาวัน อำเภอ
เชียงของ ซึ่งต้องใช้ตำรวจตระเวนชายแดนเป็นครู ต่อมาได้มีการขยายการก่อสร้างโรงเรียนในลักษณะนี้เพิ่มขึ้นตามลำดับ ที่สำคัญคือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้า ฯ
พระบรมราชินีนาถ พระราชทานทรัพย์ร่วมสร้างโรงเรียนเหล่านี้
นอกจากการจัดสร้างโรงเรียนดังกล่าวแล้ว พระราชกรณียกิจด้านการศึกษาอันเป็นคุณประโยชน์แก่ชาติไทยนั้นมีมากมาย ทรงจัดตั้งโรงเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์ ดังนี้
โรงเรียนราชวินิต เป็นโรงเรียนประถมศึกษาให้แก่บุตรหลานข้าราชบริพาร ข้าราชการในสำนักพระราชวัง และบุคคลทั่วไป ซึ่งคำว่า “โรงเรียนราชวินิต” มีความหมายว่า “สถานที่อบรมสั่งสอนกุลบุตรกุลธิดาของพระราชา”
โรงเรียนวังไกลกังวล อยู่ในเขตพระราชวังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โรงเรียนไกลกังวลเป็นโรงเรียนแม่ข่ายในการที่จะเป็นโรงเรียนที่นำสื่อในการศึกษาทางไกลสายสามัญ ไปสู่โรงเรียนในชนบททั่วทุกแห่งในจังหวัดต่าง ๆทั่วประเทศไทย
โรงเรียนราชประชาสมาสัย โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระดำริที่จะหาวิธีควบคุมและกำจัดโรคเรื้อนให้หมดไป จึงพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ให้กระทรวงสาธารณสุขจัดตั้งสถาบันวิจัยโรคเรื้อนขึ้น ชื่อว่า “สถาบันราชประชาสมาสัย” ซึ่งมีความหมายว่า “พระราชาและประชาชนต้องอาศัยซึ่งกันและกัน” ต่อมาจึงได้ตั้งโรงเรียนสำหรับบุตรของผู้ป่วยโรคเรื้อนแยกออกมา ที่อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ บริหารขึ้นต่อมูลนิธิราชประชาสมาสัย
โรงเรียน ภปร.ราชวิทยาลัย เป็นโรงเรียนที่มีพระราชประสงค์จะให้โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนนักเรียนอยู่ประจำ เป็นการอบรมสั่งสอนแบบประเทศตะวันตก ปัจจุบันอยู่ในความดูและของกระทรวงศึกษาธิการ
โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ ไปช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้าของประชาชน ที่ได้รับผลจากการเกิดวาตภัย จึงเป็นที่มาของ “มูลนิธิราชประชานุเคราะห์” โดยในระยะต่อมามูลนิธิได้ร่วมกับจังหวัดต่าง ๆที่เกี่ยวข้องจัดสร้างโรงเรียนขึ้นทดแทนโรงเรียนที่ถูกพายุพัดพัง และพระราชทานนามว่า”โรงเรียนราชประชานุเคราะห์” โดยปัจจุบันมีโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ทั้งสิ้น 30 โรงเรียน โดยมีอยู่ที่จังหวัดศรีสะเกษด้วย คือโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ที่ 29
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นอกจากจะพระราชทานพระบรมราชูปถัมภ์กิจการของโรงเรียนแล้ว พระองค์ยังมีพระดำริที่จะพระราชทานการสนับสนุนตัวผู้ศึกษา ด้วยการพระราชทานทุนการศึกษาในระดับต่าง ๆ ด้วย
ขณะเดียวกัน พระองค์ทรงมีพระราชดำริจัดตั้ง”ศูนย์ศึกษาการพัฒนา” ขึ้นตามภาคต่าง ๆ เพื่อใช้เป็นศูนย์รวมทางวิชาการของภาค เช่น ศูนย์การศึกษาพัฒนาภูพาน จังหวัดสกลนคร เป็นต้น
โครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน นับว่าเป็นโครงการที่เกิดจากพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ทรงพระราชทานแก่ชาวไทย เนื่องด้วยหนังสือตามโครงการดังกล่าว เป็นหนังสือ
ประเภทสารานุกรมที่บรรจุสรรพวิชาอันเป็นสาระไว้ครบทุกแขนง จึงเป็นหนังสือที่มีประโยชน์เกื้อกูลการศึกษา เพิ่มพูนปัญญาด้วยตนเองของประชาชน
พระราชนิพนธ์เรื่อง “พระมหาชนก” เป็นวรรณกรรมชั้นเยี่ยมที่พระมหากษัตริย์ไทย
ทรงพระราชนิพนธ์ โดยมีวรรคทองของวรรณกรรมว่า “ของจงมีความเพียรที่บริสุทธิ์ ปัญญา
ที่เฉียบแหลม กำลังกายที่สมบูรณ์”
สุดท้ายนี้ ข้าพเจ้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่า “เรา” ซึ่งหมายถึงคนไทยทุกคน ตลอดจนผู้มีส่วนได้เสียต่อการศึกษา ต่อประเทศชาติ คงจะร่วมกันเดินตามรอยพระยุคลบาท เพื่อนำการศึกษา นำประเทศไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนและแท้จริงต่อไปอย่างแน่นอน
Advertisement
|