ศูนย์รวมความคิด ความรู้ ประสบการณ์ ของคุณครู สมาชิกเว็บไซต์ ครูบ้านนอก.คอม ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านที่ตั้งใจทำเพื่อสังคมครับ |
เจ้าของโพสต์นี้ นายศุภวัฒน์ คุณานุวัฒน์ จากจังหวัด จันทบุรี |
|
ใคร.??..ตำนานของคน 7 คน กับ "แปลน" ที่เปลี่ยนไปแล้ว.......(ผู้ชนะการประกวดอาคารรัฐสภาฯ) |
โพสต์เมื่อวันที่ : 29 พ.ย. 2552 IP : เปิดอ่าน : 6510 ครั้ง คะแนนของ BLOG นี้ (36.00%-5 ผู้โหวต)
☰แชร์เลย > |
|
![เพิ่มเพื่อน](http://biz.line.naver.jp/line_business/img/btn/addfriends_en.png) |
ไม่พลาดข่าวการศึกษา
ครูบ้านนอก Line Official
กดเพิ่มเพื่อนเลย
|
|
Advertisement
|
.....
ตำนานของคน 7 คน กับ "แปลน" ที่เปลี่ยนไปแล้ว
"ตำนานของคน 7 คน กับ "แปลน" ที่เปลี่ยนไปแล้ว"
โดย อรวรรณ บัณฑิตกุล
จาก นิตยสารผู้จัดการ มิถุนายน 2539
ประวัติศาสตร์ทางการเมืองเมื่อช่วงปี 2516 ก่อให้เกิดผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทแปลนกรุ๊ป บริษัทที่มีวัตถุประสงค์ให้ธุรกิจของตนดำเนินไปพร้อม ๆ กับการทำกิจกรรมเพื่อสังคม
7 ผู้เริ่มก่อตั้งประกอบไปด้วยวิฑูรย์ วิระพรสวรรค์ ครองศักดิ์ จุฬามรกต ธีรพล นิยม อำพล กีรติบำรุงพงศ์ เดชา สุทธินนท์ สันติพงษ์ ธรรมธำรง และพิมาย วิระพรสวรรค์
ชีวิตภายนอกรั้วมหาวิทยาลัย เพื่อนกลุ่มนี้ มาเปิดร้านขายหนังสือที่หัวมุมซอยสุขุมวิท 23 แน่นอนในร้านหนังสือเล็ก ๆ แห่งนี้ต้องเต็มไปด้วยหนังสือด้านความคิดทางสังคม มุมหนึ่งของร้านก็รับงานออกแบบไปด้วย เมื่อช่วง 6 ตุลาคม 2519 หนังสือทางด้านความคิดถูกสั่งห้ามขาย ร้านเลยจำเป็นต้องปิดไป มาเปิดเป็นบริษัทอย่างจริงจังเมื่อปี 2523 บริษัทแรกที่ตั้งคือ แปลน อาคิเต็ค
วัตถุประสงค์หลักในการทำบริษัทตอนนั้นก์คือต้องการทำธุรกิจที่มั่นคงเพื่อเลี้ยงชีพ โดยผลกำไรที่ได้ส่วนหนึ่งจะต้องเอาไปทำกิจกรรมเพื่อช่วยเหลือสังคม และเนื้องานต้องมีคุณภาพในเชิงสร้างสรรค์
16 ปีผ่านไปแปลนกรุ๊ปได้ขยายบริษัทอย่างต่อเนื่องถึง 15 บริษัท มีพนักงานรวมกันนับ 1,000 คน มีรายได้เฉลี่ยปีละ 1,000 ล้านบาท
ลักษณะการขยายงานของบริษัทแปลนในช่วงที่ผ่านมาก็จะแตกต่างจากองค์กรอื่น ๆ ตรงที่ว่าในขณะที่บริษัทอื่น ๆ จะขยายงานตามภาวะของความต้องการของตลาด โดยมองดูว่าธุรกิจใดทำกำไรสูงสุดก็เปิดบริษัทขึ้นมารองรับโกยเงิน ในธุรกิจนั้น ๆ ไปซึ่งเป็นเรื่องที่ถูกต้องที่สุดในการทำสงครามเศรษฐกิจ
แต่แปลนขยายตัวในทิศทางที่ต่างกันหลายบริษัทของกลุ่มแปลน เกิดขึ้นมาได้เพราะผู้นำมองศักยภาพของคนเป็นหลักเมื่อใครอยากขยายศักยภาพของตนก็เปิดโอกาสสนับสนุน
ดังนั้น ธุรกิจกลุ่มหลักของแปลนบางสายจึงอาจจะไม่ได้เกี่ยวเนื่องกันอย่างเช่น การตั้งบริษัทแปลนกราฟฟิคขึ้นมาเมื่อปี 2524 เป็นเพราะมีรุ่นน้องที่จบด้านออกแบบอยากทำงานด้านนี้เลยตั้งบริษัทขึ้นมา และเมื่อปี 2525 ก็ตั้งบริษัทแปลนพับลิชชิ่งทำหนังสือรักลูกขึ้นมา
หนังสือรักลูก มีสุภาวดี หาญเมธี (ภรรยาของเกรียงกมล เลาหไพโรจน์ อดีตผู้นำนักศึกษา) มาเป็นบรรณาธิการอำนวยการ ก่อนหน้านี้สุภาวดีทำงานอยู่ที่มูลนิธิเด็ก ซึ่งมีความสนใจเรื่องเด็กและเรื่องสถาบันครอบครัวอยู่แล้ว
ทั้งแปลนกราฟฟิค และหนังสือรักลูกอาจจะไม่เกี่ยวกับงานของแปลนอาคิเต็ค แต่มันคือการเปิดโอกาสให้คน โดยยังคงผูกพันเกี่ยวรัดกับวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งบริษัท เพราะเนื้อหาของงานมีประโยชน์ต่อสังคม และต้องอยู่ได้ทางเศรษฐกิจเอง
แต่ร้านตัดเสื้อ "วิท วิท" ร้านเสื้อสวย แสนหวานที่ในสังคมไฮโซรู้จักกันดี ว่าทั้งสวย ทั้งแพงนั้น ออกจะแตกต่างออกไป แต่ที่แน่ ๆ ก็คือเกิดขึ้นได้เพราะ พิมายและสันติพงษ์ เรียนจบทางด้านสาขาออกแบบอุตสาหกรรม และมีความชอบทางด้านนี้ ปัจจุบันร้านวิท วิทหยุดกิจการไปแล้วเมื่อปี 2535 โดยพิมายได้ติดตามสามีคือวิฑูรย์ไปอยู่ที่จังหวัดตรัง สันติพงษ์ ไปทำงานที่มูลนิธิสานแสงอรุณ
หรือแม้แต่การเป็นผู้บุกเบิกการตั้งบริษัทผลิตเครื่องเล่นทางด้านการศึกษาของเด็ก คือบริษัทแปลนครีเอชั่น และแปลนทอยนั้นก็เกิดขึ้นเพราะ วิฑูรย์จบทางด้านอินดัสเตรียล ดีไซน์ เลยต้องการทำของเล่นเพื่อการศึกษาของเด็ก
ส่วนธุรกิจดั้งเดิมของแปลนในสายสถาปัตยกรรม ก็ได้รับการขยายตัวจนครบวงจร มีบริษัทที่อยู่ในสายธุรกิจนี้ 5 บริษัท มีขอบเขตการดำเนินการทำธุรกิจและการให้บริการในโครงการสถาปัตยกรรม นับตั้งแต่เป็นที่ปรึกษาโครงการทางด้านการลงทุน วางผังออกแบบ เขียนแบบ ประมาณราคาก่อสร้างและควบคุมการก่อสร้าง
ทุกวันนี้ รายได้หลักของแปลนกรุ๊ปมาจาก 3 บริษัทหลัก ๆ คือบริษัทแปลนทอย บริษัทแปลนอาคิเต็ค และบริษัทแปลนเอสเตท
โดยเฉพาะแปลนทอยนั้นในปี 2537 สร้างผลกำไรประมาณ 37 ล้านบาท ส่วนแปลนเอสเตทนั้นตัวเลขปี 2537 ขาดทุนหุ้นละ 4 บาท แต่ปี 2536 ได้กำไรประมาณ 24 ล้านบาท
ทั้ง 7 คนนั้นมีข้อตกลงที่ต่อเนื่องจากวัตถุประสงค์หลักเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจคือ ผลกำไรที่แต่ละคนถือหุ้นอยู่ในบริษัทในเครือทุกบริษัท จะต้องจัดสรร 60% มาเป็นส่วนกลางเพื่อนำไปทำกิจกรรมทางสังคม ที่เหลืออีก 40% จะนำมาเฉลี่ยเป็นส่วนตัวของแต่ละคน
กิจกรรมทางสังคมที่เป็นรูปธรรมในการใช้เงินส่วนนี้เป็นทุนในการดำเนินงานก็คือมูลนิธิสานแสงอรุณ
ณ วันนี้ในองค์กรของแปลนนับว่าประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในการทำธุรกิจ แต่อีกด้านพวกเขากำลังสูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง
แปลนอาคิเต็คซึ่งเคยเป็นผู้นำในการออกแบบและการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ในวงการสถาปนิกเป็นสิ่งที่เขาได้รับการยอมรับมาตลอดการทำงานที่อิสระทำให้เขาได้สร้างสรรค์สิ่งที่ดี ๆ ให้เกิดขึ้นกับวงการ
แต่พวกเขาต้องยอมรับความเปลี่ยนแปลงและหาวิธีการให้สิ่ง 2 สิ่งดำเนินไปด้วยกันอย่างสวยงาม จะทำอย่างไรให้มันมีความพอดีที่พบกันครึ่งทางไม่ใช่ยอมให้ธุรกิจนำไปสุดกู่ อย่างเช่นในแง่ของสถาปนิก จำเป็นต้องเขียนแบบให้มีที่ว่างมากขึ้นแต่จะทำอย่างไรให้ที่ว่างนั้นเป็นจุดขายของโครงการได้
ที่สำคัญอาคิเต็คของบริษัทก็ต้องมีความรู้ทางธุรกิจเข้ามาช่วยเช่นกัน ต้องวิสัยทัศน์ในการทำธุรกิจ เปิดโลกทัศน์ให้กว้างขึ้นแล้วนำมาดัดแปลงให้เข้ากับโปรดักส์
มีบ้างเหมือนกันที่คนของแปลนบางคนทนความอึดอัดในเรื่องนี้ไม่ได้ และได้ลาออกไปตั้งบริษัทใหม่เพื่อสร้างองค์กรใหม่เช่นเดียวกับแปลนกรุ๊ปในจุดเริ่มต้น แต่กระแสความรุนแรงของธุรกิจที่เกิดขึ้น ทำให้บริษัทใหม่ ๆ พวกนั้นประสบปัญหาเช่นกัน
ธีรพลเขาเคยเขียนถึงความรู้สึกที่มีต่อบริษัทซึ่งเติบโตอย่างรวดเร็ว ในวารสารแปลน เมื่อประมาณปี 2531 ว่า
"สำนักใหญ่ขึ้นต้องรับผิดชอบมากขึ้น ก็ย่อมมีแรงเสียดทานมากขึ้น จะทำศึกด้วยกลยุทธ์เก่า ๆ หาได้ไม่ เมื่อเกิดความผันตัวอย่างรวดเร็วแน่นอน อาหมวย แลซือตี๋ ซือเฮีย ล้วนต้องรู้สึกกดดัน ว้าวุ่น เหงา หนาว เป็นธรรมดา ใช่แล้วเราต้องบีบตัวเพื่อรับความเปลี่ยนแปลง ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีทั้งหลายต้องยกระดับ สำนักเราจึงจะแคล้วคลาดและพัฒนาขึ้น"
ในช่วงนั้นธีรพลเรียกร้องให้บรรดาขุนพลของเขาปรับตัวโดยการพัฒนา "ความคิด" ของตนเอง
องค์กรที่เติบโตอย่างรวดเร็วในเวลานั้นได้สร้างปัญหาหลักในเรื่องการสื่อสารในองค์กร และปัญหาของการเตรียมบุคลากรรวมทั้งวัฒนธรรมที่ดีขององค์กร ที่มีความเคยชินในการทำงานแบบพี่น้องผองเพื่อนนั้นทำให้ก่อให้เกิดความอะลุ้มอล่วยกันสูง ระบบต่าง ๆ ที่วางไว้ในองค์กรจึงค่อนข้างหย่อนยาน
แปลนกรุ๊ป ต้องเน้นในเรื่องการพัฒนาองค์กรภายในเน้นการสื่อสารในองค์กรให้มีความเข้าใจมากขึ้นตั้งแต่นั้นมาโดยให้ความสำคัญของคนมากกว่าระบบ เพราะคนคือผู้ใช้ระบบ
ในปี 2533 ผู้บริหารของแปลนต้องทำการสำรวจองค์กรของตนอีกครั้งพร้อมทั้งพยายามหาข้อสรุปว่าทำอย่างไรที่จะให้คนในองค์กรทำงานอย่างมีความสุข
การออกไปใช้ชีวิตร่วมกันในต่างจังหวัด ด้วยวิธีการออกค่ายนั้นแปลนหวังว่าจะลดปัญหาความขัดแย้งได้ในระดับหนึ่ง แต่โครงการนี้จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงไปในระยะเวลาต่อมา
ในปี 2536 ก็ได้มีการผ่องอำนาจครั้งสำคัญในองค์กรของแปลน คณะกรรมการกลุ่มแปลนได้มีการปรับเปลี่ยนจากผู้ร่วมก่อตั้ง 7 คน เพิ่มเป็น 12 คนประกอบไปด้วยกรรมการผู้จัดการของแต่ละบริษัทร่วมกับผู้อำนวยการสำนักบัญชีกลางโดยมีธีรพลเป็นประธานกลุ่ม
ปัจจุบัน ธีรพลกับอำพลจะรับผิดชอบหลักในสายสถาปัตย์ เดชา ดูแลในสายสื่อและพิมพ์ ส่วนวิฑูรย์รับผิดชอบในสายอุตสาหกรรม ส่วนคนอื่น ๆ ที่เหลือไม่ได้ลงมาบริหารงานเองแล้ว แต่ทั้ง 7 คนยังพบกันอยู่เสมอในฐานะกรรมการมูลนิธิแสงอรุณ
"ผู้ก่อตั้งหลายคนไปอยู่ป่าเขา พอมาเจอกันทีก็คุยกันเรื่องต้นไม้" ธีรพลกล่าว
ถึงแม้คนรุ่นหนึ่งกำลังถอยออกมาก็ไม่ได้หมายความว่าแนวคิดและปรัชญาดั้งเดิมในการทำธุรกิจของแปลนกรุ๊ปจะเปลี่ยนเปลงไป ธีรพลเชื่อมั่นว่าคนรุ่นหลังของแปลนยังสานต่อเจตนารมณ์ดั้งเดิมของบริษัทต่อไปได้ เพราะที่ผ่านมาองค์กรของแปลนยึดมั่นในการทำงานเป็นทีม และสร้างสรรค์วัฒนธรรมขององค์กรร่วมกันมาตลอด เขามั่นใจว่า "ทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่ขัดแย้งกับธรรมชาติที่เป็นจริง ย่อมสามารถดำรงอยู่และปรับตัวพัฒนาให้แข็งแรงไปกับความเปลี่ยนแปลงของสังคมได้"
คนของแปลนในรุ่นต่อไปคือผู้ที่จะพิสูจน์ความจริงของความคิดนี้
|
ธุรกิจสถาปนิกเดินหน้าด้วย "ไอเดีย" จุดเริ่มต้นไม่จำเป็นต้องมีเงินลงทุน แปลนอาคิเตคเริ่มต้นด้วยมันสมองของคน 7 คนรวมกัน ค่อย ๆ สะสมทุนจากไม่มีเลย จนถึงวันนี้ธุรกิจของพวกเขามีสินทรัพย์แล้วประมาณ 50 ล้านบาท ท่ามกลางการขยายธุรกิจออกไปหลายแขนงอันเกี่ยวข้องกับการออกแบบ และสิ่งสวย ๆ งาม ๆ
พวกเขารวมตัวกันครั้งแรกที่คณะสถาปตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พวกเขาประกอบด้วย ธีรพล นิยม ครองศักดิ์ จุฬามรกต วิฑูรย์ วิระพรสวรรค์ อำพล กีรติบำรุงพงษ์ สันติพงษ์ ธรรมธำรง เดชา สุทธินันท์ และพิมาย วิระพรสวรรค์ (ภรรยาวิฑูรย์)
"สำนักงานสถาปนิกครั้งแรกตั้งอยู่ที่บ้านแม่ยายผม แถว ๆ บางโพ ผมสร้างเป็นเรือนหอเล็ก ๆ เพียง 7-8 หมื่นบาท" ธีรพล นิยม 1 ใน 7 ผู้ก่อการกล่าว
การรวมตัวครั้งนั้นเกิดขึ้นหลังจากจบการศึกษากันมาแล้ว 3 ปี เวลาที่เสียไปเพราะธุรกิจขายหนังสือซึ่งเริ่มต้นรวมตัวกันนอกมหาวิทยาลัย ครั้งแรกเมื่อ ปี 2517
พวกเขาล้วนเป็นเด็กบ้านนอก ส่วนใหญ่บ้านเกิดอยู่ปักษ์ใต้ ล้วนเรียนหนังสือเก่ง ๆ และปีท้าย ๆ ของการเรียนในมหาวิทยาลัยพวกเขาเป็นนักกิจกรรมจึงเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ส่งผลดีต่อการทำงานในเวลาต่อมา
ปี 2520 เริ่มตั้งสำนักงานสถาปนิกได้งานครั้งแรกที่จังหวัดชุมพรออกแบบก่อสร้างโรงแรมภราดรอินน์ มูลค่าก่อสร้าง 38 ล้านบาท "คุณครองศักดิ์ มีพื้นเพที่ชุมพรจึงได้งานเพราะคนรู้จักกัน เป็นงานที่พวกเขาตัดสินใจเริ่มต้นรวมตัวกันตั้งสำนักงาน" เพื่อนสนิทพวกเขาคนหนึ่งบอก
"เราคิดกันว่าในเมืองน่าจะมี ทาวน์เฮ้าส์ เป็นบ้านซึ่งไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง เสียค่ารถ เราออกแบบ พีเอส ดีเวลล็อปเมนท์เป็นเจ้าของโครงการ ทำกันหลายโครงการ" ธีรพล เล่าว่าเป็นจุดที่พวกเขาได้งานมากขึ้น เพราะเป็นเจ้าของ "ไอเดีย" ทาวน์เฮ้าส์ครั้งแรก ๆ ในกรุงเทพฯ
โครงการเหล่านั้นได้แก่ ศาลาแดงทาวน์เฮ้าส์ มูลค่า 5 ล้านบาท แสงเงินทาวน์เฮ้าส์ มูลค่า 6 ล้านบาท สันติสุขทาวน์เฮ้าส์มูลค่า 8 ล้านบาทเป็นต้น
ในระยะแรก ๆ งานของพวกเขาที่ได้จะมาจาก 2 ทาง เริ่มต้นที่ต่างจังหวัดกับงานขนาดย่อมในกรุงเทพฯ ในปีที่ 3 พวกเขากระโดดไปหากินถึงสิงคโปร์ซึ่งถือเป็นการฝึกฝนวิทยายุทธครั้งสำคัญ
ปี 2522 ธุรกิจเริ่มปักหลักและแตกแขนงในเวลาเดียวกัน จดทะเบียนบริษัทแปลนอาคิเตคอย่างเป็นทางการ ขณะเดียวกันก็ตั้งบริษัทแปลนดีเวลล็อปเมนท์ ร่วมโครงการพัฒนาที่ดิน สร้างและจัดสรรทาวเฮ้าส์ ธีรพลยอมรับว่าจุดนี้เป็นจุดก้าวกระโดดในการสะสมทรัพย์สิน และขยายตัวออกไปอย่างมาก "ถึงแม้มีเงินพวกเราใช้เงินอย่างประหยัด เงินเดือนเพียงคนละ 2,500 บาท ได้แค่นี้อยู่หลายปี"
ในช่วงนี้แปลนอาคิเตคมีรายได้และกำไรเป็นล้านๆ บาทแล้ว!
"เราพยายามขยันทำงานและตรงไปตรงมากับคนที่ใช้บริการเรา ผมว่ามันเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้เรามีเครดิต เราก็ได้รับความไว้วางใจเราทำโครงการ REAL ESTATE กำไรเป็นของเราค่าที่ดินเป็นของเขา" ธีรพลคุย
หลังจากปี 2522 เป็นต้นมา แปลนอาคิเตคก็ได้ขยายกิจการและแตกแขนงออกไปหลายทางมากขึ้น ตั้งแต่ REAL ESTATE MANAGEMENT (แปลนดีเวลล้อปเมนท์) บริษัทแปลนทอย (เดิมชื่อแปลนครีเอชั่น) ผลิตของเด็กเล่นส่งออก ซึ่งเพิ่งจะขยายกิจการลงทุนเพิ่มเกือบ 20 ล้านบาททั้งได้รับการส่งเสริมจาก บีโอไอ. และกู้เงินจาก ไอเอฟซีที. เมื่อไม่นานมานี้ด้วย บริษัทแปลนกราฟฟิค (เดิมชื่อกราฟฟิค อินเตอร์ฯ) ผลิตสิ่งพิมพ์รายงานประจำปี ปฏิทิน และไดอารี่ต่าง ๆ ในงานที่เรียกว่า GRAPHIC DESIGN ธุรกิจที่ใกล้เคียงกันนี้คือ บริษัทแปลน พับลิชชิ่ง ดำเนินงานหนังสือรักลูกและโรงพิมพ์แปลนพริ้นติ้งเฮ้าส์
นอกจากนี้ยังเปิดร้านเสื้อผ้า-วิทวิทที่ศูนย์การค้ามาบุญครอง และสยามเซ็นเตอร์
"แปลนอาคิเตคและแปลนทอย ดูจะไปได้ดีกว่ากิจการอื่นๆ" ผู้ใกล้ชิดกลุ่มนักธุรกิจหนุ่มกลุ่มนี้ตั้งข้อสังเกต
"เรา DIVERSIFIED ออกไปก็เพื่อมารองรับบริษัทออกแบบแปลนอาคิเตคของเรา ขณะเดียวกันก็สร้างโอกาสให้คนของเราฝึกฝนพวกเขาขึ้นมา อีกประการหนึ่งเราคิดว่างานบริการ (ออกแบบ) ในอนาคตจะหาเงินมากๆ ลำบาก เราเลยต้องลงทุน เพื่อให้ได้เงินมามากๆ และเป็นกิจการที่มีคุณภาพ ซึ่งก็นับว่าโชคดี" ธีรพลร่ายยาว
ถึงไม่บอกชัดก็พอจะทราบว่าพวกเขาเริ่มทำธุรกิจเป็น หลังจากเดินเครื่อง DIVERSIFIED ธุรกิจ
"พวกเราพยายามทำความเข้าใจธุรกิจตอนต้น ๆ ก็ไปเชิญเพื่อน ๆ ที่เรียน MBA มา LECTURE ไม่งั้นเราไม่รู้เรื่องเหมือนกัน" ธีรพล แจงถึงพัฒนาการของพวกเขาที่มาจาก ACTIVIST มีความคิดทางการเมือง และมีเป้าหมายการดำเนินธุรกิจที่มุ่งไปทางพัฒนาคนและเพื่อสังคมมากไปในระยะแรกๆ "บางบริษัทเราไม่ตั้งเป้าหมายเพื่อกำไรสูงสุดเช่นบริษัทผลิตหนังสือ เรารู้สึกว่าหนังสือจะเป็นสื่อให้อะไรกับสังคมได้บ้าง"
ปี 2525-2527 เป็นช่วงที่แปลนอาคิเตคได้งานมาก ได้รับรางวัลออกแบบสถาปัตยกรรมดีเด่น วงการนี้ยอมรับว่าแปลนอาคิเตคเป็นท็อปเท็น
โครงการใบหยกทาวเวอร์ อาคารสูงที่สุดในกรุงเทพฯ มูลค่า 280 ล้านบาทสำนักงานใหญ่ ปตท. มูลค่า 400 ล้านบาท ชาญอิสระทาวเวอร์มูลค่าก่อสร้าง 150 ล้านบาท ฯลฯ เหล่านี้ล้วนเป็นฝีมือออกแบบของพวกเขา
แปลนอาคิเตคได้รับรางวัลออกแบบดีเด่นตากอาคารคอนโดมิเนียม "สิทธาคาร" ศูนย์เรียนรวมแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน เป็นต้น
ความสำเร็จของพวกเขาเกิดขึ้นจาก "มันสมอง" ของพวกเขาโดยแท้!
สถานการณ์ธุรกิจสถาปนิกทุกวันนี้เปลี่ยนไปมาก มีการแข่งขันกันมากขึ้น การ DIVERSIFIED สู่ธุรกิจอื่น ๆ ของพวกเขาที่ดำเนินการและวางรากฐานมาประมาณ 5 ปีก่อนจึงเป็นการมองการณ์ไกล
ลักษณะการบริหารของแปลนกรุ๊ปเริ่มจากคณะกรรมการ 7 คนเป็นผู้กุมนโยบายและแผนงาน โดยแบ่งงานให้กรรมการแต่ละคนรับผิดชอบโดยตรง อาทิ ธีรพล รับผิดชอบแปลนอาคิเตค แปลนดีเวลล็อปเมนท์ วิฑูรย์รับผิดชอบแปลนทอย พิมายบริหารร้านเสื้อผ้าวิทวิท เป็นต้น "แต่ละบริษัทเราพยายามให้มีแผนงาน มีระบบงบประมาณ จะได้รู้ว่ากองกลางจะสนับสนุนการเงินอย่างไร คณะกรรมการบริหารของกลุ่มประชุม 3 เดือน/ครั้ง" ธีรพลเล่าและว่าแปลนกรุ๊ปให้ความสำคัญของการประชุมมากถึง 30% ของการทำงานทีเดียว" แต่หากมีปัญหาใหญ่ก็จะเปิดประชุมทันที ซึ่งมันไม่ค่อยเกิด"
จุดเด่นของแปลนกรุ๊ปจึงอยู่ตรงที่คณะกรรมการสามัคคีกัน ถึงมีความเห็นขัดแย้งกัน ก็สามารถแก้ตกในที่ประชุมเป็นส่วนใหญ่ ไม่ออกมาระเบิดนอกห้อง อย่างไรก็ตามบางคนของพวกเขาก็ยอมรับความอะลุ้มอล่วย เป็นจุดอ่อนในการบริหารของแปลนกรุ๊ป
"แต่ละบริษัทจะต้องทำงบประมาณของตัวเองขึ้นมา ถ้าไม่พอ จำเป็นต้องใช้เงินเราก็จะประชุมคณะกรรมการกลุ่มว่าเรามีเครดิตไลน์ที่ไหน หรือถ้าไม่พอจะทำอย่างไร จะชวนคนมาร่วมหุ้นหรืออย่างไร เรามีสมุห์บัญชีคนหนึ่ง ไม่ใช่ 7 คนนี้นะเรียก FINANCE DIRECTOR และจะมีนักบัญชีรับผิดชอบแต่ละบริษัทขึ้นต่อ FINANCE DIRECTOR ส่วนการวางแผนด้านการเงินในลักษณะด่วนมาก ผมจะทำโดยปรึกษากับเพื่อน ๆ ก่อน" ธีรพล ในฐานะรับผิดชอบด้านการเงินของกรุ๊ปโดยตรงกล่าว
แปลนกรุ๊ปค่อนข้างโชคดีที่ได้รับการยอมรับจากธนาคารพาณิชย์ไม่ยากเหมือน YOUNG ENTREPRENUER คนอื่น ๆ เพราะผลงานเป็นที่ประจักษ์ และจับต้องได้" เขามีฝีมือเป็นที่ยอมรับในวงการธุรกิจออกแบบก่อสร้าง และของเล่นเปรียบเทียบกับธุรกิจอื่นๆ แล้วเสี่ยงน้อยกว่า" คนวงการธนาคารแสดงความเห็น
แปลนเริ่มกู้เงินธนาคารในยุคที่ CONDOMINEUM บูมในปี 2524-25 ซึ่งธุรกิจของเขาได้งานออกแบบชนิดนี้ในระดับแนวหน้า
แปลนกรุ๊ปย้ายออกจากบ้านแม่ยายของธีรพลมาเช่าอาคารที่สีลม และเมื่อต้นปี 2529 นี้เอง คณะกรรมการได้ตัดสินใจโยกย้ายแผนกงานต่างๆ มาอยู่อาคารสำนักงานที่เพิ่งสร้างเสร็จของตนเองบนเนื้อที่เช่า "เราก็ใช้เงินธนาคารไทยพาณิชย์มาสร้างค่าก่อสร้างประมาณ 8 ล้านบาท" ผู้บริหารคนหนึ่งบอก
หากใครผ่านซอยศึกษาวิทยา บริเวณป่าช้าซึ่งเป็นบริเวณสิ่งแวดล้อมไม่ค่อยจะดีนักจะพบอาคารสถาปัตยกรรมแปลก ๆ นั่นคือสำนักงานใหญ่ของแปลนกรุ๊ปทุกวันนี้ พวกเขาตั้งใจจะทำซัพพลีเมนท์โฆษณาตนเองในหนังสือพิมพ์เหมือน ๆ ธุรกิจอื่น ๆ เช่นกัน
พวกเขาเป็นแบบฉบับของคนหนุ่มสมถะมาก ๆ ทุกคนแทบจะไม่มีใคร "แยกวง" ตั้งธุรกิจต่างหาก ยกเว้นธีรพลซึ่งเป็นที่ปรึกษาบริษัททำ REAL ESTATE แห่งหนึ่งและมีหุ้นในกิจการปั๊มน้ำมันในสหรัฐฯ ส่วนอื่น ๆ ยังรวมกันอยู่ใน "กงสี" นี้โดยทั้ง 7 คนมีเงินเดือนเท่ากันประมาณ 2 หมื่นบาท พวกเขาเป็นศิลปินชอบเดินทางชอบท่องเที่ยวและเล่นกีฬา
ปัญหาธุรกิจของพวกเขาที่สำคัญคือการตลาด อาทิหนังสือรักลูกเคยขาดทุนมาก ๆ ถึง 2 ล้านบาท ต้องพยายามพยุงฐานะจนดีขึ้นในปัจจุบัน ร้านอาหารก็เคยประสบปัญหาขาดทุนเรียบร้อย 2 ล้านต้องเลิกไป
และอุตสาหกรรมของเล่นเด็กซึ่งประสบปัญหาในช่วงแรก ๆ
"เราลงทุนช่วงต้น ๆ 4-5 ล้านบาท มันเป็นของใหม่ และไม่เคยทำเรื่องการตลาดมาก่อนเลย กว่าจะทำให้ยอดขายกระเตื้องขึ้นก็ใช้เวลาถึง 3 ปี สายป่านเกือบหมด" ธีรพลยอมรับ
การแก้ปัญหาต้องระดมความคิดกัน!
คนที่ทำเรื่องการตลาดมากที่สุดเห็นจะได้แก่วิฑูรย์ วิระพรสวรรค์ กรรมการผู้จัดการแปลนทอย
"เรื่องออเดอร์ที่เราผลิตไม่ทัน เราก็ต้องบอกเขาตรง ๆ หรือเราบอกเขาตรง ๆ ว่าตอนนี้ผมจะให้คุณครบ แต่เราไม่มั่นใจว่าจะควบคุมคุณภาพได้หรือไม่ ทำให้เขามั่นใจเรามากขึ้น เราไม่ทำธุรกิจแบบตีหัวเข้าบ้าน เขารู้ว่าเรารับผิดชอบ...เราภูมิใจมากที่สุดที่ขายให้ญี่ปุ่นได้ เพราะญี่ปุ่นขายยากที่สุด" วิฑูรย์ เคยกล่าวถึงยุทธวิธีการตลาดของเขาบางส่วนในนิตยสารรายเดือนฉบับหนึ่ง
ธีรพลกล่าวว่าปัจจุบันแปลนกรุ๊ปมีกิจการแตกออกไปหลายประเภท แนวคิดต่อไปของพวกเขาก็คือสร้างคุณภาพของกิจการ มากกว่าจะขยายกิจการใหม่ ๆ เขาเชื่อว่าถึงแม้กิจการสถาปนิกจะต้องเผชิญปัญหาการแข่งขันมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อต่างประเทศพาเหรดเข้ามา แต่กิจการที่ขยายไปมากวันนี้ลดความเสี่ยงได้มาก
"เราขยายกิจการไปแล้วสร้างคนทำงานไม่ทันเมื่อธุรกิจใหญ่การประสานงานต้องทำมากขึ้น เราพยายามให้ผู้ร่วมงานมีส่วนได้ส่วนเสียกับบริษัทเรามากขึ้น จนถึงวันนี้มีผู้ถือหุ้นเดิมขายให้เพื่อนร่วมงานไปมากแล้ว" ธีรพล นิยมกล่าวตอนท้าย
Advertisement
|