นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์เรานั้น ปรากฏเป็นรูปธรรมติดอยู่ในสมอง เรียกว่า โครงสร้างสมอง สมองเมื่อไม่ได้ถูกกระตุ้นแล้วนำมาใช้ นานวันเข้าก็จะด้อยลงไปเรื่อยๆ และไม่ทำงาน คือไม่สามารถดึงศักยภาพของตนเองที่มีอยู่ขึ้นมาใช้ ต่อให้เราได้รับกรรมพันธุ์ที่มีความฉลาด มีไอคิวสูงระดับใดก็ตาม ถ้าเราไม่ใช้สมองคิดแก้ไขปัญหา และไม่ลับสมองของเราอยู่เสมอ ก็จะกลายเป็นคนที่คิดอะไรไม่เป็น จะทำให้เป็นคนไม่มีความสามารถไปได้เช่นกัน ตรงกันข้ามหากเราใช้มากเกินไป โดยคิดในเรื่องร้ายและในแง่ลบ ก็จะกลายเป็นคนมีนิสัยอารมณ์แปรปรวนได้ ในปัจจุบัน มีการค้นพบว่า สมอง สามารถจัดแบ่งออกเป็น 4 ซีก ใหญ่ๆ คือ
ซีกที่หนึ่ง อยู่บริเวณ ซีกซ้ายด้านหน้าของสมอง อันเป็นส่วนของ ความนึกคิดที่เป็นเหตุ เป็นผล เป็นตรรกะ
ซีกที่สอง อยู่บริเวณ ซีกซ้ายด้านหลังของสมอง อันเป็นส่วนของ ความนึกคิดที่เป็นเรื่องของรายละเอียดปลีกย่อย เป็นระบบ เป็นขั้นตอน
ซีกที่สาม อยู่บริเวณ ด้านขวาหลังของสมอง ซึ่งลึกลงไปถึงระดับบริเวณสายตา เป็นส่วนของ อารมณ์ ความรู้สึก ความสัมพันธ์ ผูกพัน
ซีกที่สี่ อยู่แถบบริเวณ สมองซีกขวาด้านหน้า เป็นส่วนของ การรับรู้สิ่งใหม่ๆเป็นองค์รวม เป็นจินตนาการ ในการศึกษาหากเราเข้าใจโครงสร้างของสมอง เราก็จะรู้จักกระตุ้นหรือหมั่นฝึกพฤติกรรม ถ้าใช้สมองของเราแต่ละซีกเป็น จิตเราก็จะดี แต่ถ้าเราใช้ไม่เป็น จิตเราก็เสื่อมได้
โรคทางจิตจึงเกิดขึ้นได้ถ้าใช้สมองในแต่ละซีกให้เด่นไปในด้านร้าย ๆ นั่นเอง ตัวอย่าง เช่น
ซีกที่หนึ่ง เป็นลักษณะของหัวคิด มีเหตุมีผล เป็นคนฉลาด แต่ถ้าใช้มากไปหรือใช้ไปในด้านลบหนักเข้าก็อาจเป็น โรคหวาดระแวง(Paranoid) ได้
ซีกที่สอง ซึ่งมีลักษณะหัวเก่า คือการคิดอย่างเป็นระบบระเบียบ มีความอดทน ถ้าใช้มากไปใช้ผิดหลักก็อาจเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ (Obsessive Compulsive)
ซีกที่สาม เป็นศูนย์รวมของอารมณ์ ความรู้สึก ความรู้ตัว เป็นลักษณะของหัวใจ เชิงเอาแต่ใจ เอาแต่อารมณ์เป็นใหญ่ ถ้าใช้ไม่ถูกหลัก ใช้มันอย่างแปรปรวนก็อาจเป็น โรคคึก โรคคลั่งไคล้ หรือโรคซึมเศร้า (Manic-Depressive) ได้
ซีกที่สี่ เป็นลักษณะของคนหัวไว ที่จะทำอะไรแบบกล้าเสี่ยง กล้าลอง จากสัญชาตญาณตัวเอง เหมือนสมองเด็ก ๆ ที่อยากรู้อยากเห็น อยากสัมผัส อยากเสี่ยงทำ เป็นความรู้สึกไว ถ้าใช้มันเรื่อยเปื่อยเกิดกลัวอะไรขึ้นมาก็อาจเป็น โรคตื่นตระหนก (Panic) และเกิดประสาทหลอนได้
เราจะต้องหมั่นใช้สมองทั้ง 4 ซีก ในด้านบวกเสมอ จะทำให้เราเป็นคนมี ศีล สมาธิ สติ และปัญญา ซึ่งจะทำให้เราเป็นคน อัจฉริยะ กล้าหาญ เฉลียวฉลาด ปรีชาสามารถไปทุกด้าน แต่ถ้าเราใช้ไม่เป็นอาจทำให้เราเกิดปัญหาทางกาย ทางจิต ทางสังคม ทำให้สุขภาพจิตเสื่อม สุขภาพกายไม่ดี และส่งผลกระทบต่อสังคม ทำให้การพัฒนาคุณภาพชีวิตไม่ดีไปด้วยนั่นเอง
นอกไปจากนั้น จากการอ่านศึกษาพิ่มเติมจากในบทความต่างๆพบว่า เราควรที่จะฝึกสมองของเรา เพื่อที่จะทำให้มีความสามารถในการคิดในเชิงระบบได้ ในที่นี้วิธีการในการที่ฝึกพัฒนาสมองให้มีการคิดอย่างเป็นระบบได้วิธีหนึ่งก็คือ “ โยนิโสมนสิการ”
โยนิโสมนสิการ
1. คิดแบบแยกแยะส่วนประกอบ
2. คิดแบบสืบสาวเหตุและปัจจัย
3. คิดแบบอยู่กับปัจจุบัน
4. คิดแบบวิภัชชวาท
5. คิดแบบเร้าคุณธรรม
6. คิดแบบรู้คุณค่าแท้ คุณค่าเทียม
7. คิดแบบเห็นคุณโทษและทางออก
8. คิดแบบอรรถธรรมสัมพันธ์
9. คิดแบบสามัญลักษณ์
10. คิดแบบอริยสัจจ์ดังนั้นเมื่อศึกษาให้ลึกซึ้งและฝึกปฏิบัติอย่างถูกต้องและต่อเนื่อง จะทำให้เราสามารถที่จะใช้ศักยภาพของสมองได้อย่างดีและมีประสิทธิภาพ
ที่มา : www.siamhrm