ศูนย์รวมความคิด ความรู้ ประสบการณ์ ของคุณครู สมาชิกเว็บไซต์ ครูบ้านนอก.คอม ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านที่ตั้งใจทำเพื่อสังคมครับ |
เจ้าของโพสต์นี้ นางนันทา รักษาสกุล จากจังหวัด พระนครศรีอยุธยา |
|
บทคัดย่อ |
โพสต์เมื่อวันที่ : 14 ส.ค. 2552 IP : เปิดอ่าน : 7045 ครั้ง คะแนนของ BLOG นี้ (78.26%-23 ผู้โหวต)
☰แชร์เลย > |
|
|
ไม่พลาดข่าวการศึกษา
ครูบ้านนอก Line Official
กดเพิ่มเพื่อนเลย
|
|
Advertisement
|
บทคัดย่อ
ชื่อเรื่อง การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่องมาตราตัวสะกด คำควบกล้ำ คำยาก
สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
ปีที่ศึกษา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2551
กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย
ผู้ศึกษา นางนันทา รักษาสกุล
การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเรื่องมาตราตัวสะกด คำควบกล้ำ คำยาก สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่องมาตราตัวสะกด คำควบกล้ำ คำยาก สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเรื่อง มาตราตัวสะกด คำควบกล้ำ คำยาก และศึกษาความคงทนในการเรียนรู้ เรื่องมาตราตัวสะกด คำควบกล้ำ คำยาก ของนักเรียนที่เรียนโดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่องมาตราตัวสะกด คำควบกล้ำ คำยาก
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการพัฒนา เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/1 โรงเรียนชุมชนป้อมเพชร
สังกัดเทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2551 จำนวน 29 คน ซึ่งได้มาด้วยการเลือกแบบเจาะจงเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลประกอบด้วย บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเรื่อง มาตราตัวสะกด คำควบกล้ำ คำยาก และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง มาตราตัวสะกด คำควบกล้ำ คำยาก ดำเนินการทดลองแบบกลุ่มเดี่ยววัดก่อนและหลัง โดยเพิ่มการวัดหลังการทดลอง ครั้งที่ 2 เพื่อศึกษาความคงทนในการเรียนรู้ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสถิติ t ? test แบบ Dependent t-test
ผลการพัฒนาพบว่า 1) บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเรื่อง มาตราตัวสะกด คำควบกล้ำ คำยาก มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 86.30/86.60 2) นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง มาตราตัวสะกด คำควบกล้ำ คำยาก หลังเรียน สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3) นักเรียนมีความคงทนในการเรียนรู้ และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน ไม่มีความแตกต่างกันที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .01
.....
Advertisement
|