.....
บทที่ 1
บทนำ
ที่มาและความสำคัญของปัญหา
ภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ประจำ และเป็นมรดกทางวัฒนธรรมอันก่อให้เกิดความเป็นเอกภาพ และเสริมสร้างบุคลิกภาพของคนในชาติให้มีความเป็นไทย ภาษาไทยเป็นเครื่องมือในการสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันอย่างมีคุณธรรม ทำให้สามารถประกอบธุรกิจ การงาน และการดำรงชีวิตร่วมกันในสังคมประชาธิปไตยอย่างมีความสุข นอกจากนี้ยังเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้และประสบการณ์จากแหล่งข้อมูลสารสนเทศต่าง ๆ เพื่อพัฒนาความรู้ ความคิด วิเคราะห์ วิจารณ์ และสร้างสรรค์ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคม และความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตลอดจนนำไปใช้ในการพัฒนาอาชีพให้มั่นคงทางสังคมและเศรษฐกิจ ภาษาไทยยังเป็นสื่อที่แสดงภูมิปัญญาบรรพบุรุษด้านวัฒนธรรม ประเพณี ชีวทัศน์ โลกทัศน์ และสุนทรียภาพ โดยบันทึกเป็นวรรณกรรมและวรรณคดีอันล้ำค่า ภาษาไทยจึงเป็นทรัพย์สินทางปัญญาของชาติที่ควรค่าแก่การเรียนรู้ เพื่ออนุรักษ์และสืบสานให้อยู่คู่ชาติไทยสืบไป
ในการเรียนรู้วิชาภาษาไทย นอกจากการจะได้เรียนรู้และฝึกทักษะการฟัง พูด อ่าน เขียน แล้ว นักเรียนต้องเรียนรู้และฝึกที่จะเป็นผู้ที่มีความสามารถทางการคิดร่วมด้วย เนื่องจากในปัจจุบันความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทางการสื่อสารมีการแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ฉะนั้นในการรับสารต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นความรู้ ความบันเทิง ผู้รับสารต้องรู้จักนำกระบวนการคิดวิเคราะห์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ มาใช้ในการติดสิน ประเมินค่า และวินิจฉัยความจริง หรือความเท็จและอยู่บนพื้นฐานแห่งความเป็นเหตุและผล
และในการดำเนินงานศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง ด้วยกระบวนการเรียนรู้แบบโครงงาน ตามที่ได้รับมอบหมายจากครูผู้สอนรายวิชาภาษาไทยพื้นฐานระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 นั้น กลุ่มผู้จัดทำมีความเห็นตรงกันว่าน่าจะได้จัดทำโครงงานที่ได้ใช้กระบวนการคิดวิเคราะห์เป็นหลักในการจัดทำและดำเนินการศึกษาค้นคว้า ส่วนเนื้อหาที่จะนาใช้เป็นแก่นของการคิดนั้น น่าจะเป็นเรื่องราวที่
ไม่ล้าสมัย อยู่ในความสนใจของบุคคลทั่วไป ตลอดจนเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจในเรื่องดังกล่าวด้วยเช่นกัน ดังนั้นจึงได้ลงความเห็นร่วมกันว่าเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ เป็นเรื่องราวที่ไม่ล้าสมัย และเป็นที่สนใจของบุคคลทั่วไปตลอดเวลา ทั้งนี้เพราะพระองค์ทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งชาติ และสิ่งที่จะเสนอจะต้องเกี่ยวข้องกับภาษาไทยด้วยเช่นกัน ตลอดจนเพื่อเป็นการแสดงความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ และสร้างความตระหนักถึงคุณค่าของภาษาไทย กลุ่มผู้จัดทำโครงงานจึงสรุปว่าน่าจะได้จัดทำโครงงานเรื่อง
ความงามในภาษาจากบทเพลงพระราชนิพนธ์ ขึ้น ด้วยเหตุผลและความสำคัญตามที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น และหวังว่าผลที่ได้จากการดำเนินโครงงานนี้จะเป็นความรู้ใหม่ที่ได้จากกระบวนการคิดวิเคราะห์ของผู้จัดทำโครงงาน อีกทั้งยังเป็นการเผยแพร่พระอัจฉริยภาพทางด้านภาษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้เป็นที่แพร่หลายต่อไป
วัตถุประสงค์ของการจัดทำโครงงาน
เพื่อวิเคราะห์คุณค่าด้านความงามทางภาษาที่ปรากฏในบทเพลงพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
ขอบเขตของการศึกษาค้นคว้า
1. ขอบเขตด้านเวลา
การดำเนินโครงงานเรื่อง ความงามในภาษาจากบทเพลงพระราชนิพนธ์นี้ ใช้
ระยะเวลาในการดำเนินงานระหว่างเดือนสิงหาคม ถึง เดือนกันยายน 2551
2. ขอบเขตด้านเนื้อหา
การดำเนินโครงงานเรื่อง ความงามในภาษาจากบทเพลงพระราชนิพนธ์ กำหนด
เนื้อหาของการดำเนินงาน คือ บทเพลงพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าเอยู่หัวภูมิพล
อดุลยเดช จำนวน 15 เพลง
3. ขอบเขตด้านสถานที่
สถานที่ที่ใช้ในการดำเนินการจัดทำโครงงาน คือ โรงเรียนเทศบาลท่าอิฐ
ตำบลท่าอิฐ อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1. โครงงาน เรื่อง ความงามในภาษาจากบทเพลงพระราชนิพนธ์ เป็นต้นแบบของ
การศึกษาแนวทางการวิเคราะห์คุณค่าของวรรณคดีไทย
2. ผลที่ได้จากการดำเนินโครงงาน เรื่อง ความงามในภาษาจากบทเพลงพระราชนิพนธ์
เป็นองค์ความรู้ใหม่ที่สามารถนำไปใช้ประกอบการเรียนรู้ได้
นิยามศัพท์เฉพาะ
1. ความงามในภาษา หมายถึง ศิลปะในการประพันธ์ การใช้ถ้อยคำ สำนวน โวหารที่มีความไพเราะ ลึกซึ้ง กินใจ ก่อให้เกิดจินตนาการ หรือกระทบความรู้สึกของผู้อ่านหรือผู้ฟัง
2. บทเพลงพระราชนิพนธ์ หมายถึง บทเพลงที่จัดว่าเป็นเพลงที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงพระราชนิพนธ์ขึ้น และเป็นเพลงที่ได้รับความนิยม ตลอดจนผู้ฟังส่วนใหญ่ได้รับฟังอย่างสม่ำเสมอ และเป็นที่คุ้นเคยสำหรับผู้ฟังเพลงทั่วไป จำนวน 15 เพลง
บทที่ 2
การศึกษาเอกสารตำราที่เกี่ยวข้อง
ในการดำเนินงานจัดทำโครงงาน เรื่อง ความงามในภาษาจากบทเพลงพระราชนิพนธ์นี้ กลุ่มผู้จัดทำโครงงานได้กำหนดหัวข้อในการศึกษาค้นคว้าเอกสารและตำราที่เกี่ยวข้อง ตามลำดับดังนี้
1. ศิลปะการประพันธ์
2. พระราชประวัติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
3. พระอัจริยภาพทางด้านต่าง ๆ ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
4. เพลงพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
1. ศิลปะการประพันธ์
1.1 ศิลปะการประพันธ์
ศิลปะในการสร้างสรรค์วรรณคดีให้มีความงาม ความไพเราะ แลมีความหมายเป็นที่
จับใจผู้อ่านนั้นเรียกว่า วรรณศิลป์ เมื่อจะแต่งวรรณศิลป์สักเรื่องหนึ่ง กวีมิได้เพียงแต่คิดเนื้อหาขึ้นมาเท่านั้น แต่จะต้องคิดกลวิธีการประพันธ์ให้ผลงานนั้นออกมาอย่างเหมาะเจาะเพื่อสื่อทั้งความหมายและความไพเราะงดงามด้วย กลวิธีการประพันธ์ที่สำคัญที่จะกล่าวถึง คือ การเล่นเสียง การเล่นคำ และการใช้ภาพพจน์
1.การเล่นเสียง
การเล่นเสียง คือ การสรรคำให้มีเสียงสัมผัสเป็นพิเศษกว่าปกติเพื่อให้เกิดทำนองเสียงที่ไพเราะน่าฟัง และเพื่ออวดฝีมือของกวี มีทั้งการเล่นเสียงพยัญชนะ เล่นเสียงสระและเล่นเสียงวรรณยุกต์ ดังตัวอย่างต่อไปนี้
จิบจับเจาเจ่าเจ้า รังมา
จอกจาบจั่นจรรจา จ่าจ้า
เค้าค้อยค่อยคอยหา เห็นโทษ
ซอนซ่อนซ้อนสริ้วหน้า นิ่งเร้าเอาขวัญ
(โครงอักษรสามหมู่ ของ พระศรีมโหสถ)
1.1 การเล่นเสียงพยัญชนะ คือ การใช้สัมผัสพยัญชนะ หลายพยางค์ติด ๆ กัน คำประพันธ์ร้อยกรอง โดยทั่วไปไม่บังคับสัมผัสพยัญชนะ แต่กวีก็นิยมใช้เสียงสัมผัสพยัญชนะเพื่อให้มีความไพเราะ ปกติมักจะเป็นเสียงสัมผัส 2- 3 เสียง เช่น “ปัญญาตรองตริล้ำลึกหลาย” (โคลงสุภาษิตโสฬสไตรยางค์ พระราชนิพนธ์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) มีเสียงสัมผัสพยัญชนะคือ ตรอง-ตริ , ล้ำ-ลึก-หลาย แต่ในโคลงอักษรสามหมู่ที่ยกมาข้างต้นมีสัมผัสพยัญชนะดังนี้
บาทแรกใช้เสียงพยัญชนะ /จ/ ติดกัน ๕ เสียง คือ จิบ-จับ-เจา-เจ่า-เจ้า
บาทที่ ๒ ใช้เสียงพยัญชนะ /จ/ ติดกันถึง ๗ เสียง คือ จอก-จาบ-จั่น-จรร-จา-จ่า-จ้า
บาทที่ ๓ ใช้เสียงพยัญชนะ /ค/ ติดกัน ๔ เสียง คือ เค้า-ค้อย-ค่อย-คอย
และบาทที่ ๔ ใช้เสียงพยัญชนะ /ซ/ ติดกัน ๔ เสียง คือ ซอน-ซ่อน-ซ้อน-สริ้ว
(อ่านว่า ซิ่ว)
การใช้เสียงสัมผัสลักษณะนี้เรียกว่า การเล่นพยัญชนะ
1.2 การเล่นเสียงสระ คือ การใช้สัมผัสสระ หลายพยางค์ติด ๆ กัน โคลงบทนี้มีสัมผัสสระเป็นสัมผัสนอก ตามข้อบังคับฉันทลักษณ์ของโคลงสี่สุภาพ อยู่แล้ว แต่กวีได้เพิ่มสัมผัสสระในวรรคอีก โดยนำคำที่เล่นเสียงดยัญชนะมาใช้เสียงสัมผัสสระซ้ำ ๆ กันอีก ได้แก่ เจา-เจ่า-เจ้า(เสียงสระเอา) จั่น-จรร (เสียงสระอา) คอย-ค่อย-ค้อย( เสียงสระออ แม่เกย) ซอน-ซ่อน-ซ้อน(เสียงสระออ แม่กน)
การใช้เสียงสัมผัสลักษณะนี้เรียกว่า การเล่นเสียงสระ
1.3 การเล่นเสียงวรรณยุกต์ คือ การใช้คำที่ไล่ระดับเสียง ๒ หรือ ๓ ระดับเป็นชุด ๆ ไป ตัวอย่างจากโครงบทนี้ ได้แก่ เจา-เจ่า-เจ้า(เสียงสามัญ-เอก-โท)จั่น-จรร(เสียงเอก-สามัญ) จา-จ่า-จ้า (เสียงสามัญ-เอก-โท)ค้อย-ค่อย-คอย (เสียงตรี-โท-สามัญ)ซอน-ซ่อน-ซ้อน(เสียงสามัญ-โท-ตรี)
การเล่นเสียงทั้ง ๓ ลักษณะนี้ทำได้ยาก แม้จะมุ่งเน้นเรื่องการใช้คำที่ทำให้เกิดเสียงไพเราะเป็นสำคัญ แต่ก็ต้องคำนำถึงความหมายของบทประพันธ์ด้วย ในโคลงบทข้างต้นนี้กวีบรรยายภาพนกกระจิบซึ่งเกาะจับเจ่าจนกระทั้งนกตัวที่เป็นเจ้าของรังกลับมา ส่วนนกกระจอกและนกกระจาบส่งเสียงร้องเหมือนเจรจากัน นกเค้าที่เฝ้าคอยอยู่นั้นหน้าตาไม่น่าดู ทำหน้านิ่วและซ่อนหน้า แม้จะอยู่นิ่ง ๆ ก็ยังน่ากลัว
ตัวอย่างบทประพันธ์ที่กวีแสดงฝีมือโดยประสานศิลปะในการเล่นเสียงเข้ากับการสื่อความหมายได้อย่างดียิ่ง ได้แก่ กาพย์และโคลงบทต่อไปนี้
ดูหนูสู่รูงู งูสุดสู้หนูสู้งู
หนูงูสู้ดูอยู่ รูปงูทู่หนูมูทู
ดูงูขู่ฝูดฝู้ พรูพรู
หนูสู่รูงูงู สุดสู้
งูสู้หนูหนูสู้ งูอยู่
หนูรู้งูรู้ รูปถู้มูทู
(กาพย์ห่อโคลงประพานธารทองแดง พระนิพนธ์ เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร)
2 .การเล่นคำ
การเล่นคำ คือ การสรรคำมาเรียงร้อยในคำประพันธ์ โดยพลิกแพลงให้เกิดความหมายพิเศษและแปลกออกไปจากที่ใช้กันอยู่ เพื่ออวดฝีมือของกวีเช่นเดียวกับการเล่นเสียง ที่จะกล่าวถึงในที่นี้คือการเล่นคำพ้อง การเล่นคำซ้ำ และการเล่นคำเชิงถาม
2.1 การเล่นคำพ้อง คือ การนำคำพ้องมาใช้คู่กันให้เกิดความหมายที่สัมพันธ์กันเช่น
เบญจวรรณจับวัลย์มาลี เหมือนวันเจ้าวอนที่ให้ตามกวาง
(บทละคร เรื่อง รามเกียรติ์ พระราชนิพนธ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช)
เมื่อทศกัณฐ์ลักนางสีดาไป พระรามออกตามหานาง ขณะที่เดินทางกลางป่าพระรามเห็นนกเบญจวรรณ (นกแก้วชนิดหนึ่ง)เกาะอยู่ที่เถาวัลย์ ทำให้นึกถึงวันที่นางสีดาทูลอ้อนวอนให้พระองค์ออกไปตามกวางทอง กวีเล่นคำที่มีเสียง “วัน” ๓ คำ คือ (เบญจ)วรรณ-วัลย์-วันโดยนำมาใช้ให้มีความหมายสัมพันธ์กันได้อย่างกลมกลืน
การเล่นคำพ้องเป็นกลวิธีการประพันธ์ที่กวีไทยนิยมมาก บางครั้งนอกจากใช้คำพ้องเสียง ดังตัวอย่างข้างต้นแล้ว ยังมีคำพ้องรูป ด้วย เช่น
เห็นรอหักเหมือนหนึ่งรักที่รอรา แต่รอท่ารั้งทุกข์มาตามทาง
(นิราศพระบาท ของ สุนทรภู่)
“รอ”คำแรกหมายถึง หลักปักกันกระแสน้ำ ส่วน “รอ” ในคำว่า “รอรา” หมายถึงหยุด และในคำว่า “รอท่า” หมายถึง คอย
2.2 การเล่นคำซ้ำ คือ การนำคำคำเดียวมาใช้ซ้ำ ๆ ในที่ใกล้ ๆ กัน เพื่อย้ำความหมายของข้อความให้หนักแน่นมากขึ้น ดังตัวอย่างในบทคร่ำครวญของพระนางมัทรีเมื่อตามหาสองกุมาร
ไม่พบ
…แต่แม่เที่ยวเซซังเสาะแสวงทุกแห่งห้องหิมเวศ ทั่วประเทศทุกราวป่า สุดนัยนาที่แม่จะตามไปเล็งแล สุดโสกแล้วที่แม่จะซับทราบฟังสำเนียง สุดสุรเสียงที่แม่จะร่ำเรียกพิไรร้อง สุดฝีเท้าที่แม่จะเยื้องย่องยกย่างลงเหยียบดัน ก็สุดสิ้นสุดปัญญาสุดหาสุดค้นเห็นสุดคิด
(มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี สำนวนของเจ้าพระยาพระคลัง(หน))
กวีเล่นคำว่า “สุด”ซ้ำ ๆ กัน เพื่อสื่อว่าพระนางมัทรีได้พยายามตามหาสองกุมารอย่างเต็มความสามารถแล้วก็ยังไม่พบ เพราะทั้งสองลับสายตาไปแล้ว (สุดนัยนา) ไม่ได้ยินเสียงแล้ว (สุดโสต) พระนางมัทรีได้พร่ำเรียกพระโอรสพระธิดาจนสิ้นเสียง (สุดสุรเสียง)และได้ตามหาจนหมดกำลังเดินไม่ไหวแล้ว (สุดฝีเท้า) บทรำพันนี้จบลงด้วยการซ้ำคำว่า“สุดสิ้นสุดปัญญาสุดค้นเห็น
สุดคิด” เป็นการบอกกล่าวความทอดอาลัยความสิ้นหวังอย่างยิ่งยวดของแม่ผู้ต้องพรากจากลูก
2.3 การเล่นคำเชิงถาม คือ การเรียงถ้อยคำให้เป็นประโยคเชิงถาม แต่เจตนาที่แท้จริง
ไม่ได้ถาม เพราะไม่ต้องการคำตอบ แต่ต้องการเน้นให้ข้อความมีน้ำหนักดึงดูดความสนใจและ
ให้ผู้ฟังคิดตาม บางท่านเรียกกลวีธีการประพันธ์นี้ว่า การใช้ประโยคคำถามเชิงวาทศิลป์ เพราะเป็นวิธีการที่นิยมใช้กันในการพูดต่อประชุมชน เมื่อผู้พูดต้องการสร้างอารมณ์แก่ผู้ฟังให้เกิดผลตามเจตนารมณ์ ในวรรณคดีไทย กวีนิยมใช้กลวิธีนี้กันมากตัวอย่างเช่น
เปลก็ไกวดาบก็แกว่งแข็งหรือไม่ ไม่อวดหยิ่งหญิงไทยมิใช่ชั่ว
ไหนไถถากกรากกรำไหนทำครัว ใช่รู้จักแต่จะยั่วผัวเมื่อไร
(นารีเรืองนาม พระนิพนธ์ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์)
การใช้คำเชิงถามว่า “แข็งหรือไม่” “ใช่...เมื่อไร”เป็นการเล่นคำที่เป็นคำถามเพื่อยั่วให้ผู้อ่านสะดุดคิดว่า ที่จริงนั้นผู้หญิงไทยแข็งแกร่งและมีความสามารถมากกว่าการใช้เสน่ห์ผูกมัดใจสามีอย่างที่มักจะเข้าใจกัน
ในนิราศภูเขาทอง สุนทรภู่รำพันถึงความไม่ยั่งยืนของสรรพสิ่งเมื่อได้เห็นเจดีย์ที่อยู่ในสภาพปรักหักพัง
……………………… …………………………
โอ้เจดีย์ที่สร้างยังร้างรัก เสียดายนักนึกน่าน้ำตากระเด็น
กระนี้หรือชื่อเสียงเกียรติยศ จะมิหมดล่วงหน้าทันตาเห็น
เป็นผู้ดีมีมากแล้วยากเย็น คิดก็เป็นอนิจจังเสียทั้งนั้น
(นิราศภูเขาทอง ของ สุนทรภู่)
การใช้คำเชิงถามว่า “กระนี้หรือ” เป็นการกระตุ้นให้ผู้ผังฉุกคิดว่า เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว
Advertisement