ศูนย์รวมความคิด ความรู้ ประสบการณ์ ของคุณครู สมาชิกเว็บไซต์ ครูบ้านนอก.คอม ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านที่ตั้งใจทำเพื่อสังคมครับ |
เจ้าของโพสต์นี้ นางพิชยาดา ใจภักดี จากจังหวัด มหาสารคาม |
|
พิชยาดา ใจภักดี : การพัฒนาการอ่านคำควบกล้ำ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย |
โพสต์เมื่อวันที่ : 30 ก.ค. 2552 IP : เปิดอ่าน : 7049 ครั้ง คะแนนของ BLOG นี้ (33.33%-39 ผู้โหวต)
☰แชร์เลย > |
|
|
ไม่พลาดข่าวการศึกษา
ครูบ้านนอก Line Official
กดเพิ่มเพื่อนเลย
|
|
Advertisement
|
พิชยาดา ใจภักดี : การพัฒนาการอ่านคำควบกล้ำ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านกุดน้ำใส อำเภอนาเชือก
จังหวัดมหาสารคาม
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้ เพื่อพัฒนาให้นักเรียนอ่านคำควบกล้ำได้อย่างถูกต้องร้อยละ 70 เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ของการพัฒนาการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำ ก่อนและหลังการใช้แบบฝึกเสริมทักษะการ อ่านกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่อง คำควบกล้ำ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านกุดน้ำใส อำเภอนาเชือก จังหวัดมหาสารคาม และเพื่อศึกษาประสิทธิภาพของแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่อง คำควบกล้ำที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ตามเกณฑ์ประสิทธิภาพ E1/E2 (ตั้งไว้ที่ 70/70) การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง (experimental research) ใช้ประชากรทั้งหมดเป็นกลุ่มตัวอย่างโดยใช้การสุ่มเฉพาะเจาะจงเนื่องจากประชากรมีอยู่จำกัด และต้องการพัฒนาเรื่องการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำของนักเรียนทั้งหมด จึงใช้ประชากรเป็นกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านกุดน้ำใส อำเภอนาเชือก จังหวัดมหาสารคาม จำนวน 18 คน เครื่องมือที่ใช้ 1) แบบทดสอบก่อนและหลังการใช้แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านคำควบกล้ำระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ใช้ประเมินก่อนและหลังเรียน (Pretest - Posttest) แบบทดสอบก่อนและหลังการใช้แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่อง คำควบกล้ำ ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ใช้ประเมินก่อนเรียนและหลังเรียน (Pretest ? Posttest) ซึ่งเป็นชุดเดียวกัน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ แบ่งเป็น 3 ตอน ดังนี้ ตอนที่ 1 เป็นแบบทดสอบการอ่านคำทั้งหมด 50 คำ (50 คะแนน) ตอนที่ 2 เป็นแบบทดสอบการอ่านคำในบทร้อยกรอง จำนวน 35 คำ (35 คะแนน) ตอนที่ 3 เป็นแบบทดสอบการอ่านจับใจความสำคัญจากเรื่องจำนวน 1 เรื่อง ทำแบบทดสอบ 10 ข้อ 10 คะแนน 2) แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านคำควบกล้ำ ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 เป็นแบบฝึกที่สร้างขึ้นจากการศึกษาเอกสารที่เกี่ยวกับการอ่านคำควบกล้ำ หลายเล่มและดัดแปลงให้เหมาะสมกับความสามารถของเด็กนักเรียน จำนวนทั้งหมด 16 แบบฝึก แต่ละแบบฝึกมีแบบฝึกหัด คะแนนเต็ม 20 คะแนน ยกเว้น แบบฝึกที่ 16
สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ใช้ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบที(t ? test) โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่นที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
ผลการวิจัยพบว่า จากการใช้แบบทดสอบก่อนและหลังการใช้แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่องคำควบกล้ำ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 พบว่า คะแนนผลสัมฤทธิ์ก่อนการใช้
แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านคำควบกล้ำเฉลี่ย 52.94 คิดเป็นร้อยละ 55.73 มีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) เท่ากับ 8.85 คะแนนผลสัมฤทธิ์หลังการใช้แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านคำควบกล้ำ เฉลี่ย 81.28 คิดเป็นร้อยละ 85.56 มีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) 4.24 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนมีระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 นั่นก็แสดงให้เห็นว่า นักเรียนสามารถอ่านคำควบกล้ำได้เพิ่มขึ้นเมื่อใช้แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่องคำควบกล้ำ ประถมศึกษาปีที่ 2 ที่ผู้วิจัยสร้างและพัฒนาขึ้น และมีผลสัมฤทธิ์สูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ คือมีผลสัมฤทธิ์หลังเรียนร้อยละ 85.56 สูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ ร้อยละ 70 ถึงร้อยละ 15.56
จากการใช้แบบทดสอบก่อนและหลังการใช้แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่อง คำควบกล้ำ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 พบว่าแสดงให้เห็นว่า คะแนนผลสัมฤทธิ์ก่อนการใช้แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านคำควบกล้ำเฉลี่ย 52.94 คิดเป็นร้อยละ 55.73 มีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) เท่ากับ 8.85 คะแนนผลสัมฤทธิ์หลังการใช้แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านคำควบกล้ำ เฉลี่ย 81.28 คิดเป็นร้อยละ 85.56 มีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) 4.24 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนมีระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 นั่นก็แสดงให้เห็นว่า นักเรียนสามารถอ่านคำควบกล้ำได้เพิ่มขึ้นเมื่อใช้แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่องคำควบกล้ำ ประถมศึกษาปีที่ 2 ที่ผู้วิจัยสร้างและพัฒนาขึ้น และมีผลสัมฤทธิ์สูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ คือมีผลสัมฤทธิ์หลังเรียนร้อยละ 85.56 สูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ ร้อยละ 70 ถึงร้อยละ 15.56
เมื่อนำคะแนนวัดผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังการใช้แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่องคำควบกล้ำไปทดสอบความแตกต่างทางสถิติ โดยใช้การทดสอบค่าที(t-test ) แบบ t ? pair (Dependent) จากการคำนวณแสดงให้เห็นว่าชั้นแห่งความอิสระ กรณีกลุ่มตัวอย่างไม่เป็นอิสระแก่กันมีค่าเท่ากับ N ? 1 เมื่อ N คือ จำนวนกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งค่าเท่ากับ 18 เพราะฉะนั้น ชั้นแห่งความอิสระ มีค่าเท่ากับ 18 ? 1 = 17 จากตารางแจกแจงความถี่ในภาคผนวก ที่ชั้นแห่งความอิสระ17 ระดับนัยสำคัญ .05 มีค่าที เท่ากับ 1.740 ค่าอัตราส่วนที ที่คำนวณได้เท่ากับ 13.86 มีค่ามากกว่าค่าที ที่ระดับ .05 หมายความว่า ค่าเฉลี่ยคะแนนแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์หลังเรียนและก่อนเรียนแตกต่างกันอย่างมีระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .05
จากการหาประสิทธิภาพแบบฝึกซ่อมเสริมการอ่านวิชาภาษาไทย ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่ผู้วิจัยสร้างและพัฒนาขึ้น มีประสิทธิภาพ (E1 / E2) มีค่าเท่ากับ 91.77/82.33 ซึ่ง สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ คือ70/70แสดงให้เห็นว่าแบบฝึกซ่อมเสริมการอ่านวิชาภาษาไทยระดับชั้นประถมศึกษา
ง
ปีที่ 2 ที่ผู้วิจัยสร้างและพัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 70/70 และนักเรียนเกิดการเรียนรู้และเกิดทักษะ มีการพัฒนาการอ่านคำในภาษาไทยตามจุดประสงค์ของการวิจัยที่ตั้งไว้
สรุปได้ว่าจากการใช้แบบฝึกซ่อมเสริมการอ่านวิชาภาษาไทย ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่ผู้วิจัยสร้างและพัฒนาขึ้น ไปใช้กับกลุ่มตัวอย่าง พบว่าคะแนนหลังการใช้สูงกว่าก่อนใช้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 นั่นแสดงให้เห็นว่า นักเรียนสามารถพัฒนาการอ่านคำในภาษาไทยและมีพัฒนาการการอ่านคำในภาษาไทยเพิ่มขึ้น เนื่องมาจากการพัฒนานักเรียนได้ตรงจุด และใช้แบบฝึกที่ตรงกับเนื้อหาที่ต้องการพัฒนาจึงทำให้นักเรียนสามารถพัฒนาการอ่านออกเสียงคำในภาษาไทยเพิ่มขึ้น
.....
Advertisement
|