Advertisement
..... ศาสนาของคู่กันกับชีวิต ท่านพุทธทาส ภิกขุ (16,939 views) first post: Thu 3 January 2008 last update: Mon 7 January 2008 ท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลายการบรรยายประจำวันเสาร์แห่งภาคอาสาฬหบูชาในวันนี้อัตตามาจะได้กล่าวในหัวข้อว่าธรรมะคือของคู่กับชีวิตเพื่อประโยชน์แก่ท่านผู้ฟังที่ทำมาเป็นพิเศษธรรมะเป็นของคู่กันกับชีวิตเป็นสิ่งที่จะต้องพิจารณาใคร่ครวญให้เห็นการที่เป็นจริง หน้าที่ 1 - ปัญหาเฉพาะหน้า แล้วปฏิบัติให้มันถูกต้องตามนั้นนี้เป็นของคู่กันกับชีวิตจริงๆก็จะได้รับประโยชน์จากธรรมะเต็มตามความหมายได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับแต่บุคคลโดยมากไม่ค่อยสนใจและยังไม่มีความรู้ชัดเจนว่าธรรมะนั้นคืออะไรขอให้สนใจเป็นพิเศษในข้อนี้ไม่ว่าจะรู้ว่าธรรมะนั้นมันเป็นอย่างไรคำว่าธรรมะธรรมะแปลว่าหน้าที่ที่ถูกต้องแก่ความรอด หน้าที่ที่คนจะต้องประพฤติกระทำให้ถูกต้องแก่ความรอดของตน สิ่งที่จะแบ่งเป็นความรอดนั้นอาจจะแบ่งได้ 2 ชั้น รอดทางร่างกายคือไม่ตายนี้ก็อย่างหนึ่ง แล้วก็รอดทางจิตคือจิตไม่ถูกกิเลสบีบคันให้มีความทุกข์ก็คือรอดจากความทุกข์นี้ชั้นหนึ่งโดยมากสนใจกันแต่เรื่องตายและไม่สนใจจะรอด ไม่สนใจเรื่องรอดจากความทุกข์คือการบีบคันของกิเลสจึงมีการถูกบีบคันอย่างกิเลสที่มีอยู่ทั่วๆไปหรือตลอดเวลาหาความสุขมิได้ยังนอนหลับยาก ยังเป็นโรคประสาท โรคจิต โรคบ้า แล้วก็ตายไปก็มีฆ่าตัวเองตายก็มีนี้ก็ไม่สนใจในเรื่องความรอดในฝ่ายจิตใจ จิตใจถูกบีบคันอยู่ด้วยกิเลสสักเท่าไรนี้เป็นสิ่งที่ควรจะทราบกันไว้มันถูกบีบคันด้วยกิเลสมากเหลือเกินมากยิ่งกว่ามากจึงจะเปรียบโดยอุปมาก็เหมือนอย่างว่าบุคคลก็ถูกโยงขึ้นไปข้างบนด้วยกิเลสประเภทความยาก ความหวัง ความต้องการ หรือความหวังหวังที่ตนจะได้ชอบใจนี่ข้างบนก็ถูกดึงไปอย่างนี้ ข้างล่างก็ถูกดึงอยู่ด้วยความกลัว ความหวาดระแวงว่าตัวจะไม่ได้สิ่งที่ตัวชอบใจ นี่ตรงกลางมันก็ถูกเผารนอยู่ด้วยไฟ คือลาคะ โทสะ เปรียบกันอย่างนี้เพื่อเข้าใจกันง่ายๆว่ามันจะมีความทุกข์ทรมานกันสักเท่าไร ข้อย้ำอีกทีหนึ่งว่าข้างบนมันถูกดึงถูกฉุดให้ไปข้างบนด้วยความหวังๆๆๆว่าจะได้นั้นจะได้นี้ตามที่ตัวต้องการเป็นความหิวกระหายอยู่เสมอนี้ทางหนึ่ง ข้างล่างนี้ก็ดึงด้วยความหวาดกลัว ความระแวงว่าจะไม่ได้สิ่งที่ตัวต้องการหรือสิ่งที่ได้มาแล้วจะสูญหายไปนี้ก็ดึงลงมาข้างล่างขึง พืชเอาไว้แล้วตรงกลางถูกเอาไฟลน ลนด้วยลาคะความกำหนัดยินดี ลนด้วยโทสะความโกรธกัดแค้นเมื่อไม่ได้ที่ตัวต้องการถ้าได้ตามต้องการก็เหล้าร้อนอยู่ด้วยความยินดีความถนัดพอใจเมื่อไม่ได้ตามต้องการก็เหล้าร้อนด้วยโทสะความโกรธความขัดเคียงนี้มันเป็นการทรมานก็จะมองเห็นได้ก็จะเกิดความสนใจในทางที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ขอให้ท่านทั้งหลายมองดูให้ดีๆว่าชีวิตเป็นสิ่งที่เหมือนกับถูกทรมานอยู่ด้วยการอันน่ากลัวอย่างนี้คนแก้ปัญหาอะไรไม่ได้ก็หมดทุกข์เมื่อทนทุกข์หนักเข้าก็เกิดความวิปลิดทางจิตทางใจกระทุ่งว่าเป็นโรคทางจิตกระทั่งว่าต้องตายต้องเป็นบ้าต้องฆ่าตัวตายหรือจะทำอัตตะพาลอยู่ตลอดเวลา นี้ก็ปัญหาปัญหาเฉพาะหน้าของคนทั่วๆไปทีนี้ว่าธรรมะเป็นของคู่มันหมายความว่าต้องประพฤติต้องกระทำให้ถูกต้องขอให้สังเกตดูให้ดีๆในส่วนนี้ว่าธรรมะคำนี้มีความหมายนักที่หมายถึงทั้งหมดทุกสิ่งทุกอย่างและบางอย่างเป็นที่จำเป็นสำหรับประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องธรรมะมีความหมายคำที่หนึ่งหมายถึงตัวธรรมชาติตามธรรมชาติทั่วๆไปความหมายที่สองหมายถึงกฎของธรรมชาติเพื่อต้องประพฤติกระทำให้ถูกต้องความหมายที่สามคือหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิตจะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามธรรมชาตินั้นความหมายสุดท้ายคือผลที่จะต้องได้รับจะต้องรับจากการประพฤติกระทำอันถูกต้อง หรือไม่ถูกต้องก็ตามเป็น 4 ความหมายบทนี้ก็เรียกว่าจบบท แต่ใน 4 ความหมายนี้มีสำคัญที่สุดก็คือความหมายที่ 3 ที่ว่าหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติถูกต้องตามกฎของธรรมชาติอยากให้สังเกตดูให้เห็นว่าตามธรรมชาตินั้นคนเราแต่ละคนก็มีธรรมะ 4 ความหมายนี้อยู่ในตนร่างกายก็ดีจิตใจก็ดีนี้เป็นธรรมชาติมันเป็นธรรมชาติอยู่ที่ตน ร่างกาย และจิตใจ และร่างกายและจิตใจมีกฎของธรรมชาติอยู่ว่าจะต้องเป็นไปอย่างนั้นเป็นไปอย่างนั้น สำหรับเป็นทารกที่เติบโตเป็นหนุ่มสาวผู้ใหญ่เป็นคนแก่คนเฒ่ามีเรื่องต่างๆตามกฎของธรรมชาติหมายความว่าในกฎของธรรมชาตินั้นมีอยู่ในชีวิตที่ว่ามีหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติให้ถูกตามกฎของธรรมชาติ เราจึงต้องทำทุกอย่างให้ถูกตามกฎของธรรมชาติเพื่อรอดชีวิตนับตั้งแต่หาอาหาร กินอาหารปฏิบัติร่างกายให้ถูกต้องหน้าที่ต่างๆทั้งหมดทั้งสิ้นเพื่อความรอดนี้ความหมายที่ 3 สำคัญมากและแล้วก็ได้รับผลที่สมควรที่จะปฏิบัติหน้าที่เมื่อปฏิบัติให้ถูกต้องเพื่อปลอดภัยก็เป็นสุขสบายดีเมื่อปฏิบัติไม่ถูกต้องผลก็เกิดมาเกิดขึ้นมาเป็นผลร้ายเป็นทุกข์ทรมานนี้คือปลอดยู่กับหน้าที่คือผลปฏิบัติหน้าที่ถูกต้องหรือไม่ถูกต้องทั้ง 4 ความหมายนั้น ความหมายที่ 3 คือหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาตินี้แหละเป็นความหมายที่สำคัญที่สุดผู้ใดประพฤติปฏิบัติได้ผู้ใดก็หมดปัญหาจะความทุกข์ทั้งทางร่างกายและทางจิตใจทำให้มีความถูกต้องในความเป็นมนุษย์ตรงนี้บางคนยังไม่เข้าใจ โดยเข้าใจเสียเกิดมาต้องเป็นมนุษย์มันเป็นมนุษย์ในความหมายธรรมดาสักว่าเป็นคนเดี๋ยวนี้อยากจะบอกว่าคนกับมนุษย์นั้นต่างกันมาก ต่างกันลึกลับ ต่างกันเหมือนฟ้ากับดินท่านทั้งหลายก็มองดูฟ้ากับดินมันต่างกันอย่างไรแต่คนกับมนุษย์มันยังต่างกันมากกว่านั้นว่าเป็นคนยังไม่รู้อะไรมันเดินลงมันเดินลงต่ำถ้าเป็นมนุษย์มันรู้ว่าอะไรเดินลงเดินขึ้นสูงคนมันเดินขึ้นสูงก็เดินลงต่ำมันก็ต่างยิ่งกับฟ้ากับดินมันอยู่เฉยๆขอให้สนใจดีว่าถ้าเป็นคนจะดูยิ่งต่ำถ้าเป็นมนุษย์มันจะเดินขึ้นสูงถ้าเดินลงต่ำมันก็พบจะเกิดปัญหาเกิดความทุกข์สูงมันก็เหนือสิ่งเหล่านั้นได้ดีๆอยู่เหนือปัญหาอยู่เหนือความทุกข์โดยประการทั้งปวง ถ้าเป็นคนกับปัญหาต่างๆความทุกข์ต่างๆตรงกับความหมายของคำว่าคนคนอยู่อย่างนี้ระหกระเหินเท่าไรก็ถูกคนแต่เป็นมนุษย์จิตใจมันสูงคือมันรู้สิ่งที่ควรจะรู้พอรู้แล้วก็ไม่เป็นทุกข์เบิกบานแจ่มใสนี้เรียกว่าคนมันเป็นปัญหานาๆชนิด ถ้าเป็นมนุษย์มันก็อยู่เหนือปัญหาเหล่านั้นมันต่างกันมากอย่างนี้ธรรมะเป็นหน้าที่แห่งความรอดมันเลื่อนให้คนเป็นมนุษย์จะให้เป็นเรียกว่าเป็นคนแท้หรือว่าเป็นคนที่ถูกต้องหรือเป็นคนแท้ก่อนก็ได้ถ้าความหมายของชนๆชนะนี้มันเพียงตี่ว่าเป็นคนถ้าเป็นคนนี่คือเป็นคนแท้มันเป็นคนแท้เพราะมันมีธรรมะ ธรรมะทำให้เป็นคนแท้ธรรมะทำให้คนเป็นคนที่แท้จนมาเป็นมนุษย์คือเป็นสัตว์ที่แท้ที่มีใจสูงอยู่เหนือปัญหาทั้งปวงดังที่กล่าวมาแล้วกระทั่งทำให้เป็นยอดมนุษย์ ธรรมะทำให้มนุษย์ธรรมดาไปสู่ยอดของมนุษย์ที่เรียกกันว่าพระอรหันต์ก็แล้วกันยอดของมนุษย์อยู่ที่นั่นมันถูกต้องแล้วเป็นมนุษย์ที่สูงขึ้นไปแล้วเป็นยอดของที่สมมุติเรียกกันว่าพระอรหันต์มีจิตใจชยนิดที่ทำอย่างไรมันก็เป็นทุกข์ไปได้เพราะว่ามันจะมีความเปลี่ยนแปลงอย่างไรจะเกอดแก่เจ็บตายอย่างไรมันก็ไม่เป็นทุกข์มันมีจิตใจพิเศษที่เป็นทุกข์ไม่ได้นั่นก็เพราะเหตุที่มีธรรมะๆเมื่อเมาถึงขั้นนี้แล้วก็จะเห็นได้ว่าคนกลายเป็นธรรมะไปๆ ธรรมะเป็นคนซะเองลองฟังมันจะได้ความอย่างไร คนเป็นธรรมะซะเองคนเป็นธรรมเป็นตัวธรรม นี้ตัวธรรมนั่นแหละเป็นตัวคน หรือจะพูดกันไปว่าคนเป็นธรรมะ ธรรมเป็นตัวคนนี้ก็พูดได้ว่ามันง่ายตามธรรมชาติ ดังที่กล่าวไว้แล้วว่าในตัวคนเป็นธรรมชาติ เป็นกฎของธรรมชาติ หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติมีผลจากการปฏิบัติหน้าที่อย่างที่เราคนคือธรรมะ ธรรมะก็คือคนที่จะเห็นต่อไปว่าคนได้ถึงธรรม ธรรมได้ถึงคน คนถึงธรรมเพราะว่าคนมันมีธรรม แต่ว่าธรรมมันถึงคนเพราะว่าคนมันปฏิบัติธรรมดีหรือไม่ดีแต่คนถึงธรรมและธรรมก็ถึงคนมันหนีไม่พ้นมันต้องเป็นอย่างนี้เสมอมองทีแรกคนครึ่งธรรมะ ธรรมะก็ครึ่งคนคนครึ่งธรรมะอาศัยธรรมะเป็นที่พึ่งก็พ้นจากทุกข์ธรรมะก็พึ่งคนเพื่ออาศัยคนปฏิบัติธรรมะให้เพิ่มขึ้นอยู่ธรรมะจึงมีอยู่ถ้าไม่มีคนปฏิบัติธรรมะ ธรรมะก็ไม่มีคิดดูให้ดีว่าถ้าไม่มีคนธรรมะก็ไม่ปรากฏเพราะไม่มีใครปฏิบัติธรรมะ ธรรมะพึ่งคน คนก็พึ่งธรรมะธรรมะก็พึ่งคนมีคนก็เพราะมีธรรมะมีธรรมะก็เพราะมีคนขอให้คิดดูให้ดีมีคนก็เพราะมีธรรมะคือคนมีธรรมะก็เพราะมีคนผู้ปฎิบัติธรรมะมันใกล้ชิดกันอยู่อย่างนี้อย่างนี้เป็นของคู่กันกับชีวิตดูให้ลึกลงไปอีกว่าธรรมะมันสร้างคนไม่มีธรรมะก็ไม่มีคนจึงกล่าวได้ว่าธรรมนั้นมันมีคนขึ้นมาแล้วโดยทางหนึ่งคนมันเป็นผู้สร้างธรรมะคือปฏิบัติธรรมะให้ธรรมะมันปรากฏออกมา มิฉะนั้นแล้วธรรมะมันไม่ปรากฏออกมาแล้วจะพูดว่าธรรมะสร้างคนก็ถูกคนสร้างธรรมะก็ถูก ธรรมะสร้างคนถ้าไม่มีธรรมะแล้วคนตายคนอยู่ไม่ได้ไม่มีความถูกต้องตามหน้าที่ของธรรมชาติของกฎธรรมชาติมันก็ตายมันก็มีธรรมะความถูกต้องหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติคนก็มีอยู่ธรรมะมันสร้างคนขึ้นมารักษาคนไว้ คนก็สร้างธรรมะคือทำให้ปรากฏออกมาไม่ได้หมายความว่าสร้างคนสร้างสิ่งของทำให้ธรรมะมันปรากฏออกมาในโลกให้เห็นชัดว่ามันมีอยู่ในโลกทีนี้ดูที่มันเกี่ยวข้องกันมากขึ้นไปอีกก็คือว่ามีธรรมะก็มีสุขมีสุขก็มีธรรมะธรรมะก็มีสุขสุขทั้ง 2 อย่างก็คือสุขอย่างที่เป็นโลกายะธรรมดาสามัญหรือสุขทางกายนี้ก็ได้คือสุขโอสุทะระสูงขึ้นไปเป็นฤดูกาลจิตที่สูงขึ้นไปก็ได้สุขทั้ง 2 ประการนี้มันมีมาเพราะมันมีธรรมะมีธรรมะก็มีสุขมีสุขก็มีธรรมะท่านจะต้องการความสุขทั้ง 2 อย่างหรือต้องการเพียงอย่างเดียวก็ตามใจมันก็ดีกว่าไม่ดีซะเลยมีความผาสุกสะดวกสบายทางฝ่ายร่างกายก็เพราะมีเหตุธรรมะมีความสุขสูงขึ้นไปในทางจิตใจอยู่เหนืออิทธิพลของสิ่งใดๆในโลกนี้ก็เพราะว่ามันมีธรรมะก็มีสุขมีสุขก็มีธรรมะคนมีธรรมะอยู่ในตน ทั้ง 4 ความหมายถ้ามองไม่เห็นจะไปโทษใคร ก็มองไม่เห็นมองไม่เห็นขอเตือนอีกทีว่าคนมันเป็นตัวธรรมชาติเนื้อหนังร่างกายจิตใจก็เป็นตัวธรรมชาติธรรมชาตินั้นก็มีอยู่ในคนและในธรรมชาตินั้นก็มีกฎของธรรมชาติควบคุมบังคับธรรมชาติอยู่มันก็มีอยู่ในตัวธรรมชาติเมื่อตัวคนเป็นธรรมชาติตัวคนก็มีกฎของธรรมชาติสิงสถิตอยู่บังคับมันให้ถูกต้องโดยเจตนานารู้สึกก็มีไม่รู้สึกก็มีกฎของธรรมชาติให้มีความเจริญเติบโตเกิดใหม่อย่างนี้ก็เป็นกฎของธรรมชาติร่างกายทุกๆปรมานูนหรือทุกๆเซลล์อย่างนี้มันก็มีกฎของธรรมชาติบังคับให้เป็นไปอย่างถูกต้องเราจึงรอดชีวิตอยู่แต่ว่าคนกลับไม่รู้จักเพราะไม่รู้จักจึงทำผิดทำผิดต่อธรรมชาติได้เจ็บได้ป่วยกันทางกายบ้างทางจิตบ้างมันก็เลยเป็นปัญหาทำไม่ถูกต่อกฎธรรมชาติก็เลยเกิดการขัดแย้งอย่างนั้นอย่างนี้ที่เรียกว่าอาภาคเป็นความเจ็บไข้ได้ป่วยเจ็บไข้โดยประการใดๆก็ตามเมื่อคนทำตามหน้าที่ถูกต้องมีธรรมะมีหน้าที่ถูกต้องคือมีธรรมะธรรมะคือหน้าที่ที่ถูกต้องแก่ความรอดก็มีความเป็นคนที่มีความรอดรอดกายรอดทุกข์บางทีตายก่อนก็ได้ ถ้ามันมีแต่ความทุกข์คนจึงฆ่าตัวตายเพราะความทุกข์นี้ก็มีอยู่บ่อยๆนั้นเราก็เป็นคนที่มีความรอด รอดกายรอดชีวิต รอดทางจิตที่ไม่มีความทุกข์ที่ย้ำยีกิเลสที่บีบคันในลักษณะที่กล่าวมาแล้วว่าข้างต้นว่าข้างบนก็ถูกดึงด้วยความหวังดึงขึ้นไปข้างบนข้างล่างถูกดึงด้วยความหวาดกลัวกลัวระแวงตรงกลางก็ถูกลนเผาโมคะ โทสะบ้างนี่มันทรมานขนาดนี้แต่เขาก็ไม่รู้ว่ามีอะไรแก้ไขไม่ได้ก็ได้แต่ร้องโวยวายทุกข์ไปบ่นแต่ว่าโชคร้ายโชคร้ายอะไรไม่ได้ก็มีแต่จะฆ่าตัวตายนั้นเราจะเห็นคนฆ่าตัวตายกันบ่อยๆก็แก้ปัญหาอะไรไม่ได้นั้นเราจะต้องเป็นคนมีธรรมะไอ้คนที่มีธรรมะฟังน่าฟังสักหน่อยว่าธรรมะชีวีธรรมะชีวีจะจำไว้ดีๆว่าธรรมะชีวีมีชีวิตเป็นธรรมะมีธรรมะเป็นชีวิตชีวิตเป็นธรรมะมีธรรมะเป็นชีวิตอย่างนี้เรียกว่าธรรมะชีวีคนมีธรรมธรรมมีคนคนมีธรรมธรรมมีคนนั่นแหละคือธรรมะชีวีเพราะว่าคนนั้นมันมีธรรมะมีธรรมะเป็นชีวิตธรรมมีคนธรรมะสิงสถิตอยู่ที่คนหรือครอบงำคุ้มครองคนอยู่คนนั้นก็เรียกว่ามีธรรมะเป็นชีวิตขอให้บำเพ็ญตนให้ได้ชื่อว่าเป็นธรรมะชีวีจงด้วยกันทุกๆคนจงมีธรรมะเป็นชีวิตคือมีความถูกต้องแก่ความรอดเป็นชีวิตจิตใจให้มีธรรมะคือทำหน้าที่ที่ถูกต้องต้องแก่ความรอดทุกๆชนิดนี้เรียกว่าธรรมะชีวีมีธรรมะเป็นชีวิต ถ้ามันมีอะไรทุกข์ร้อนรำคาญอะไรอยู่ก็ขอให้รู้เถอะว่ามีในมีอะไรไม่ถูกต้องถ้ามันเดือดร้อนรำคาญอยู่อย่างมากก็ไม่ถูกต้องเป็นอย่างมากมันมากเกินไปมันก็ฆ่าตัวตายถ้ามันมีอะไรเป็นสิ่งที่ไม่พอใจรบกวนอยู่ก็ให้รู้เถอะว่ามันขาดธรรมะขาดธรรมะอย่างใดอย่างหนึ่งถ้าสบายดีก็เรียกว่าถูกต้องรี้ก็ไม่ขาดธรรมะแต่ดูให้ดีว่ามันสบายจึงรึเปล่าที่เราปล่อยไปตามอารมณ์พอใจนั้นนั้นแหละมันเป็นสิ่งสบายรึเปล่าอย่าไปหลงความเพลิดเพลินอันหลอกลวงส่าเป็นความสุขดูให้ดีๆว่าอันนี้มันหลอกลวงหรือไม่มันต้องเป็นความสุขที่แท้จริงไม่ใช่ความเพลิดเพลินที่หลอกลวงคนเรา โดยมากเอาความเพลิดเพลินที่หลอกลวงนั้นมาเป็นความสุขหลงไปข้อนี้มันมีหลักที่จำง่ายๆว่าถ้าสุขก็สะกดตัว กอ สะกด ความสุขนั้นก็เหมือนกับว่าเผาให้สุขต้มให้สุขตีให้สุข ก็สุขอย่างนั้นมันร้อนถ้ามัน ขอ สะกดมันก็คือสุขเย็นมันถูก กอ สะกด หรือถูก ขอ สะกด ระวังกันให้ดีๆถ้าไม่รู้แล้วมันจะสำคัญผิดมันจะไปเอาความสุข กอ นั้นแหละมาเป็นตัวสะกดคือสุขของกิเลสกิเลสนั้นเปรียบเหมือนไฟมันเผาให้ร้อนเมื่อกิเลสมันได้เหยื่อแล้วเป็นความสุขของกิเลสแล้วก็สุข กอ สะกดอย่าไปเอากับมันเลยต่อเมื่อกิเลสมันไม่ได้แสดงบทบาทธรรมะควบคุมไว้ได้มี่มีกิเลสมาวุ่นวายจึงจะเป็นความสุขสงบเย็นนี้มันก็สังเกตได้ไม่ยากเข้าใจได้ไม่ยากนักแต่ที่ยากเพราะว่าบังคับจิตไม่ได้เพราะว่าสุขของกิเลสนั้นมันมีเสน่ห์มากมีความยั่วยวนมากมีความหลอกลวงเหลือประมาณคนจึงตกไปในความหลอกลวงของกิเลสซึ่งมีสิ่งยั่วยวนเหลือที่จะกล่าวมีเสน่ห์ก็ต้องระวังกันให้ดีพิเศษข้อนี้มันก็จะต้องอาศัยสติความระลึกกลัวความระลึกรู้สึกกลัวเป็นเครื่องต่อต้าน ถ้าสติไม่พอมันก็ระลึกไม่ได้มันก็ตกเป็นเหยื่อของกิเลสกิเลสก็เป็นใหญ่ก็ครอบครองชีวิตนี้ให้เป็นไปตามเรื่องของกิเลสมันก็มีปัญหามีความทุกข์ในเรื่องยุ่งยากลำบากหาความสุขไม่ได้จะมีเงินมากก็มีความยุ่งมากมีอำนาจมากก็ยิ่งยุ่งมากยิ่งมีอะไรมากก็ยิ่งเพิ่มความทุกข์ไปยิ่งเท่านั้นก็ว่าเขาไม่มีสติที่จะระงับจิตใจตั้งเริ่มต้นไปไปกระทำผิดก็แล้วมันก็กระทำผิดต่อๆไปเรื่อยๆสตินี้ก็เรียกว่าธรรมะเป็นเครื่องเกิดไม่ใช่เกิดหวาดกลัวแต่ว่าเกิดโดยไม่หลับถ้าไม่มีสติมันก็เหมือนกับคนหลับถ้ามีสติมันก็เหมือนกับคนตื่นดังนั้นเราจึงเป็นคนเกิดอย่างมีสติอยู่เสมอเหมือนกับตื่นอยู่เสมอไม่หลับเพื่อเปิดโอกาสให้กับกิเลสคุ้มกันความผิดพลาดทั้งหลายได้เป็นเครื่องร่างที่แท้จริงที่จะป้องกันสะเหียนจังไรได้แต่คนเขาก็มีเครื่องรางอย่างอื่นไม่สนใจเครื่องรางที่แท้จริงขิงพระพุทธเจ้าคือสติคือสติเป็นเครื่องคุ้มครองป้องกันสะเหียนจังไรเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ได้โดยประการทั้งปวงสตนี้มันจะช่วยกั้นกระแสหรือไม่ให้เกิดกระแสที่จะไหลไปในทางผิดพลาดหรือความทุกข์ไม่ให้เกิดกระแสของกิเลสไม่ให้เกิดกระแสของความทุกข์หรือว่าไม่ให้มันไหลไปในกระแสของกิเลสความทุกข์แต่จิตมันเป็นไปในกระแสความถูกต้องหน้าที่ที่ถูกต้องแก่ความรอดกระแสชีวิตนี้ก็มีเป็นเรื่องเป็นราวโดยละเอียดที่เรียกว่าอิทัปสะยะตาขอให้สนใจศึกษาต่อไปข้างหน้าว่ามีรายละเอียดพอที่จะจำใจความสำคัญได้แต่มันไม่มีสติเมื่อผัสสะเมื่อตากระทบรูป เมื่อหูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส ร่างกายกระทบสิ่งที่มาสัมผัสผิวหนัง ใจได้กระทบความคิดนึกนี่เรียกว่าเป็นการกระทบเกิดวิญญาณรู้แจ้งในการกระทบเป็นความกระทบเพราะเป็นวิญญาณรู้แจ้งแต่เวลานั้นมันขาดสติมันก็เกิดเวทนาที่ไม่มีสติ เวทนาที่โง่เขลา ทำให้หลงรักในที่น่ารัก ทำให้หลงเกลียดในสิ่งที่น่าเกลียด มันเป็นเวทนาโง่นี่มันกระแสเริ่มแล้วเริ่มตั้งต้นแล้วพอมีเวทนาที่โง่อย่างนี้แล้วก็เกิดตัณหาขึ้นความอยากไปตามเวทนานั้น ถ้าเวทนาเป็นสุขก็อยากได้ถ้าเวทนาเป็นทุกข์ก็อยากทำลายเวทนาที่มันไม่แน่นอนก็เกิดความสงสัยวนเวียนอยู่ว่ามันจะเป็นอะไรเรียกว่ามีความอยากอย่างรุนแรงที่มันจะเกิดขึ้นตามเวทนานั้นแล้วแต่ว่ามันจะเป็นเวทนาอะไรเกิดความอยากๆๆๆอยู่ในใจนั้นแอหละมันก็เกิดความคิดขึ้นมาทันทีว่ารู้สึกไปว่ามีตัวกูผู้อยากของให้มีความอยากเถิดว่ามีตัวกูผู้อยากขึ้นมาเองโดยมีความอยากมีมันก็เกหิดกับความรู้สึกตัวกูอยากขึ้นมานี้มันก็เรียกว่ามีตัวกูตัวกูเป็นผู้อยากก็จะเป็นผู้ยึดครองหมดอยากมาเป็นของกูได้มาตามประสงค์ว่าเป็นของกูกูอย่างนี้แล้วเรียกว่ามีปัญหาเต็มที่เอาอะไรมาเป็นของกูเอาอะไรมาเป็นตัวกูเกิดความอยากเกิดความบีบคันทุกข์ทรมานสู่ไม่มีตัวกูไม่ได้เหมือนว่ามีดมันบาดนิ้วมือเจ็บปวดไอ้ความเห็นไม่คิดว่ามีดมันบาดนิ้วมือมันไปมีความคิดว่ามีดมันบาดกูแทนที่จะคิดว่ามีดมันบาดนิ้วหนึ่งตามธรรมดามีดคมแข็งผ่าเข้าไปที่นิ้วก็บาดนิ้ว ถ้ามองเห็นอย่างนี้ก็ไม่บาดหนาถ้ามันมองว่ามีดมันบาดกูกูจะเป็นทุกข์มันก็เป็นทุกข์ไอ้กูมันพึ่งเกิดไม่ได้มีธรรมชาติมันก็มีความอยากความอยากอย่างรุนแรงแล้วก็เกิดอุปาทานยึดมั่นถือมั่นแล้วก็มีตัวกูผู้อยากถ้าเกิดตัวกูชนิดนี้แล้วว่าเป็นทางเกิดทางจิตใจเกิดตัวกูขึ้นมาทางจิตใจตัวกูได้เกิดขึ้นมาแล้วก็เอาอะไรๆมาเป็นของกูหมด ความเกิดก็ของกู ความแก่ก็ของกู ความเจ็บก็ของกู ความตายก็ของกู ความทุกข์ของกู ประสบกับสิ่งที่ไม่รักก็เป็นของกู ประสบกับสิ่งที่รักก็เป็นของกู ปรารถนาอะไรแล้วไม่ได้ก็เป็นเรื่องของกู กูๆๆๆตัวนี้ก็เรียกว่าอุปาทานถ้าไปจับฉวยอยู่สิ่งใดสิ่งนั้นก็เรียกว่าอุปาทานขันธ์เพราะมีความรู้สึกว่ากูนะไปจับเอา จับเอาความเกิดก็เป็นความเกิดก็เป็นความเกิดของกู จับเอาความแก่ก็เป็นความแก่ของกู จับเอาความเจ็บก็เป็นความเจ็บของกู จับเอาความตายก็เป็นความตายของกู ที่แท้มันเป็นของธรรมชาติอย่าเอามาเป็นของกูเลยจะได้ไม่ต้องเป็นทุกข์ ถ้ามันตายก็ตายไปมันไม่ใช่ตายของกู เพราะมันไม่มีตัวกูถ้าไปโง่เอาตัวกูเข้ามาก็มีความตายมาเป็นของกูมันเลยเป็นความทุกข์อย่างยิ่งมันก็เป็นความกลัวทั้งนั้นถ้าอย่ามีตัวกูมันก็ไม่มีตัวกูขึ้นมาที่ตายมันก็ไม่ต้องกลัวตายก็ไม่มีตัวกูที่จะตายพุทธศาสนาของเราลึกซึ้งขนาดนี้ใครจะปฏิบัติได้ก็ตามใจเถิดว่ามันลึกซึ้งมันมีอยู่อย่างนี้คือถอนความโง่ความหลงว่าตัวกูก็ได้ว่าของกูก็ได้ว่ามีตัวกูของกูจิตนี้ก็สบายไม่มีอะไรไปกดทับให้เป็นของหนักเป็นของหนักจนเดือดร้อนอย่างก้อนหินที่ว่างเกรียนไปหมดนี้ไม่หนักอะไรแก่เราแต่พอลองไปเอามาแบกดูซิยกก้อนหินขึ้นมามันก็กล้ายเป็นของหนักขึ้นมาทันทีนี้เห็นได้ว่าความหนักเกิดขึ้นเพราะเราไปเอามาแบกมาถือไว้ทีนี้สิ่งต่างๆในโลกทั้งหมดทั้งสิ่งนี้ถ้าไม่แบกไม่ถือไว้ว่าเป็นของกูมันก็ไม่หนักแก่จิตใจพอเอามาถือไว้ในจิตใจมันก็หนักอกหนักใจหนักไปเสียทุกอย่างมีความทุกข์ที่ถือไว้ว่าเป็นตัวกูว่าเป็นของกูสิ่งนั้นมันไม่ได้เป็นของกูมันก็มานั่งคิดว่ามันเป็นทุกข์มันสมน้ำหน้าว่ามันโง่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งของรักของพอใจเป็นของตามธรรมชาติเอามาคิดเป็นของกูของสิ่งหนักอกหนักใจยกตัวอย่างเหมือนว่าเรามีลูกพอลูกตายมันก็เป็นทุกข์เหลือประมาณถ้าว่าเราสำคัญผิดไม่ใช่ลูกเอาลูกของคนอื่นเขามาสับเปลี่ยนตั้งแต่เมื่อคลอดเราก็ยังคิดว่าลูกของกูยังมีความทุกข์ที่ไม่ใช่ลูกของกูไม่ใช่ลูกแท้ๆของกูว่าเป็นลูกไม่แท้ของกูมาตายอยู่ตรงนี้มันก็ไม่เป็นทุกข์เพราะมันไม่มีความยึดถือว่าของกูใคร่ครวญให้ดีนะเป็นตัวอย่างที่ดีมากพูดอีกทีหนึ่งก็ได้ว่ามันไม่ใช่ลูกของคนนั้นแต่มันถูกกระทำให้เป็นลูกของคนนั้นคือว่าถูกสับเปลี่ยนเมื่อคลอดมันก็ยึดถือว่าเป็นลูกของกูพอเจ็บไข้หรือตายมันก็ไม่เป็นทุกข์ทั้งที่ไม่ใช่ลูกของกูไม่ใช่ลูกตัวตนคนนั้นที่แท้จริงแม้เป็นลูกคนนั้นที่แท้จริงมันก็ไม่รู้มันก็ไม่เป็นทุกข์ก็แล้วกัน ถ้าเป็นลูกที่แท้จริงบังเอิญถูกขโมยไปหรือเอาไปทางไหนเสียก็ไม่รู้ที่สุดมันมาเจ็บไข้ตายลงข้างหน้ามันก็ไม่เป็นทุกข์เพราะมันไม่รู้ว่าเป็นลูกจริงๆนี่ความทุกข์จะเกิดขึ้นหรือไม่ก็เพราะความยึดถือถ้าความยึดถือมีเมื่อไรก็ต้องเกิดทุกข์ถ้าความทุกข์ 100 อย่างกี่ 1000 อย่าง เรียกว่าเกิดจากความยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของตนก็เรียกว่าอุปาทานขันธ์คือสิ่งที่ยึดมั่นด้วยอุปาทานด้วยตนก็จะเป็นทุกข์หมด ความเกิดเอามาเป็นของตนว่าเป็นทุกข์ ความแก่เอามาเป็นของตนว่าเป็นทุกข์ ความเจ็บเอามาเป็นของตนว่าเป็นทุกข์ ความตายเอามาเป็นของตนว่าเป็นทุกข์ ถ้าอย่าเอามาเป็นของตนก็ไม่เป็นทุกข์เพราะจิตใจสว่างถึงที่สุดแล้วท่านก็แก่เหมือนกัน ท่านก็เจ็บไข้เหมือนกัน แล้วท่านก็ต้องตายโดยร่างกายเหมือนกันแต่ไม่เป็นทุกข์เพราะอรหันต์ไม่ได้มีความคิดถึงสิ่งเหล่านี้ว่ามาเป็นของตนแต่บุคคลคนธรรมดามันเป็นของตนทั้งนั้น ความแก่ก็ของตน ความเจ็บก็ของตน ความตายก็ของตน ของตนทั้งนั้นเมื่อสิ่งเหล่านั้นมันเปลี่ยนแปลงไปมันก็เป็นทุกข์อยู่ดีหลีกเลี่ยงไม่ได้นี่ขอให้เข้าใจไว้ว่าไอ้ความทุกข์มันเกิดจากความยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวกูก็ได้ว่าเป็นของๆกูก็ได้แล้วมันเป็นธรรมดา ถ้ามันยึดถือเป็นของกูแล้วมันก็ยึดถือว่าเป็นตัวกูแล้วมันก็เป็นของกูขึ้นมาเองนั่นตัวตนนี่ยึดถือว่าเป็นตัวตนขึ้นมาก็เป็นตัวตนของตนขึ้นมาทันทีตัวตนคนเดียวกันนั้นก็กลายเป็นของตนขึ้นมาทันทีมีตัวกูของกูขึ้นมาทันทีของภายนอกทรัพย์สมบัติ เครื่องของ อำนาจ วาสนา อะไรก็ตามก็มีตัวกูก็รู้สึกว่ามันมาเป็นของกูอย่างนี้เขาเรียกในภาษาธรรมะว่าแบกของหนักแบกของหนักก็เป็นทุกข์เอาร่างกายเป็นของผูกก็วิตกกังวลว่าร่างกายนี้ก็เป็นของหนักก็เป็นทุกข์ร่างกายของคนอื่นของบุตรภรรยาสามีเป็นของกูมันก็เป็นทุกข์ ทรัพย์สมบัติเงินทองเป็นของกูมันก็เป็นทุกข์ แม้แต่จะหยุดที่บุญกุศลที่สร้างขึ้นก็สำคัญว่าเป็นของกูก็เป็นทุกข์ว่าเป็นของหนักแม้แต่บุญมันก็กลายเป็นของหนักเป็นหมดแล้วเพราะว่ามีการถือมีการแบกถ้าอย่ามีการถือมีการแบกมันก็ไม่เป็นทุกข์มันแบกบุญก็มันมีการถือของหนักไปตามแบบบุญ แบกบาปก็มันมีการถือของหนักไปตามแบบบาป พวกเทวดาสวรรค์ก็เป็นทุกข์เพราะแบกสวรรค์ มนุษย์ในโลกนี้เป็นทุกข์เพราะมันแบกโลกนี้ไว้เป็นของกู นี่จิตใจมันเป็นทุกข์เพราะมีอะไรมากด กด กด ทับเอาไว้คือการแบกถือไว้ด้วยความโง่ก็เรียกว่าอุปาทาน สิ่งต่างๆทุกสิ่งเราเรียกได้ว่าขันธ์ ขันธ์แปลว่ากลุ่มหรือกอง คือสิ่งเหล่านั้นที่ถูกถือเอามายึดถือในใจว่าเป็นตัวตนเป็นของตนอย่างนี้เรียกว่าอุปาทานขันธ์หมด จะเป็นร่างกายก็ดี จะเป็นความรู้สึกเจตนาก็ดี จะเป็นความรู้สึกสัญญามั่นหมายอย่างนั้นย่างนี้ก็ดี จะเป็นสังขารคิดนั้นคิดเล็กอย่างนั้นก็ดี จะเป็นเครื่องรู้แจ้งทางตาหู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ดีมันเป็นขันธ์ขันธ์ ขันธ์ ทั้งนั้นแหละก็ยึดถือว่าเป็นของกูหมดอะไรมันเป็นของหนักแก่บุคคลนั้นเปลี่ยนแปลงไปตามเรื่องของมันก็ทรมานบุคคลนั้นนี่ความทุกข์ทรมานเกิดขึ้นเพราะไปยึดถือสิ่งต่างๆเหล่านั้นเป็นของตนแต่สิ่งเหล่านั้นมันไม่ฟังเสียง สิ่งเหล่านั้นมันจะเปลี่ยนไปตามเหตุตามปัจจัยของมันเช่นเราไปยึดถือเงินทองว่าของกู เรื่องเงินทองก็ต้องเปลี่ยนไปตามเหตุตามปัจจัยของมันเราก็ต้องเป็นทุกข์ เป็นทุกข์เพราะความเปลี่ยนแปลงของมันนั้นเองแล้วไม่มีอะไรไปต่อต้านได้นั่นแหละคือเป็นอนัตตามันไม่ใช่ตัวตนถ้ามันเป็นตัวตนมันต้องต่อต้านได้เดี๋ยวนี้มันต่อต้านไม่ได้ก็เป็นอนัตตา ข้อแรกมันไม่เที่ยงมันเปลี่ยนไปตามธรรมชาติของสังขารทั้งปวงคือนี่เราจะให้มันเที่ยงถือเป็นของเราถ้าเราให้มันเที่ยงกับเรามันก็เป็นทุกข์เพราะมันไม่ฟังเสียงไม่เที่ยงมันก็ไม่มีอะไรมาต่อต้านกับมันได้มันก็เป็นอนัตตาท่านทั้งหลายคนหนุ่มคนสาวอย่าได้หัวเราะคำพูดว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อย่าได้ฟังว่าเป็นเรื่องพูดเพ่อพะงมงายอย่างไรมันเป็นเรื่องจริงที่สุดในชีวิตจิตใจว่ามันไม่เที่ยงแล้วก็รู้สึกเป็นทุกข์เพราะมันไม่เที่ยงเพราะอยากให้มันเที่ยงแล้วก็ต่อต้านไม่ได้บังคับไม่ได้มันก็เป็นอนัตตา ขอให้ท่านทั้งหลายรู้จัก อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ซึ่งเป็นคำสอนสูงสุดในพระพุทธศาสนารู้เท่าทันแล้วมันก็จะว่างจิตใจไว้ในลักษณะที่ยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดในความเป็นตัวตนของตนหรือมันเป็นเช่นนั้นเองจะต่อต้านแก้ไขไปโดยไม่ต้องเป็นทุกข์สมมติว่าเจ็บไข้ขึ้นมาก็อย่าเป็นทุกข์เลยมันเป็นเช่นนั้นเองก็รักษารักษาเยี่ยวยาแก้ไขให้ดีที่สุดให้มันหายปันก็ไม่ต้องเป็นทุกข์เป็นทุกข์ทำไมให้ป่วยการหายก็เป็นทุกข์ไม่หายก็เป็นทุกข์อย่างนี้มันก็ป่วยการไม่เป็นทุกข์ดีกว่าเดี๋ยวนี้มันเป็นทุกข์เสียที่ว่าตามปกติมันก็เป็นทุกข์กลั้วมันจะเจ็บไข้ เจ็บไข้ลงไปมันก็เป็นทุกข์เพราะมันเป็นการเจ็บไข้และมันยังไม่หายมันจะตายเป็นทุกข์ได้นี้เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในสิ่งทั้งหลายทั้งปวงแล้วก็จะไม่ต้องเป็นทุกข์ชีวิตเงินทองก็ดี ทรัพย์สมบัติสิ่งของ สามีบุตรภรรยาก็ดี ชื่อเสียงเกียรติยศ อำนาจวาสนาก็ดีทุกสิ่งทุกอย่างมันก็เป็นไปตามปัจจัยเราระมัดระวังดีมันก็จะเป็นไปในทางที่ไม่ร้ายกาดถ้าระวังรักษาไม่ดีก็ไปในทางที่ผิดหวังร้ายกาดเป็นทุกข์มาก แต่ถึงอย่างไรอย่างนั้นอย่าไปเป็นทุกข์กับมันเลยย่าไปหลงว่ามันเป็นบวกหอว่าดีใจ อย่าไปคิดว่าลบแล้วเสียใจก็หัวเราะทั้งบวกทั้งลบ ทั้งได้และทั้งเสีย ทั้งแพ้และชนะ ทั้งได้เปรียบและเสียเปรียบ อย่าไปเป็นทุกข์กับมันแก้ไขมันให้ถูกอย่างที่เราต้องการแล้วก็ไม่ต้องเป็นทุกข์นี่ประโยชน์ของธรรมะที่ทำให้ไม่ต้องเป็นทุกข์ให้รอดจากความทุกข์ที่เบียดเบียนอย่างนี้เรียกว่าเรารู้จักใช้สติ สติระลึกทันฟันควบคุมแผลแห่งการปรุงแต่งของจิตใจไว้ได้สติเป็นเครื่องกั้นกระแสไม่ให้เกิดขึ้นหรือกั้นกระแสที่มันจะไหลไปผิดให้มันไหลไปในทางถูกจงถือสติเป็นคู่ชีวิตเป็นธรรมะที่จะต่อสู้ความทุกข์มีสติคนที่มีสติ มีสติเป็นประจำนี่แหละสำคัญที่สุดซึ่งจะบอกวิธีว่าจะทำอะไร จะเคลื่อนไหวอะไร จะเปลี่ยนกิริยาบทอะไร ก็ขอให้มีสติมีสติกำหนดอยู่ที่สิ่งนั้นและเพื่อให้มันถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง แล้วก็ได้พอใจ พอใจ มันฝึกได้ทั่วไปทุกหนทุกแห่งไม่ต้องมาอยู่ป่าก็ได้ไม่ต้องมาที่วัดก็ได้ไม่ว่าที่ไหนมีสติก็ฝึกสติได้ที่นั้นว่าท่านตื่นขึ้นมาจะล้างหน้าจะถูฟันท่านก็ไม่มีสตินิ สติไปอยู่ที่ไหนโกรธใครไปพลาง ด่าใครไปพลางล้างหน้าถูฟันไปพลางนั้นแหละมันไม่มีสติ ทีนี้เราเปลี่ยนให้มีสติล้างหน้าอย่างถูกต้องที่สุดถูฟันอย่างที่สุดคือมีสติอยู่ที่แปรงันถูฟันหรือที่น้ำมันล้างหน้ามีสติอยู่ที่นั่นละให้มันถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง พอมันถูกต้อง ถูกต้อง หรือรู้สึกว่ามันจะพอใจ พอใจ มันก็จะเกิดความรู้สึกว่าถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง พอใจ พอใจ อยู่อย่างนั้นอยู่ตลอดเวลาที่ล้างหน้าที่ถูฟันดีหรือไม่ดีหรือว่าปล่อยจิตใจมันให้เลื่อนลอยหรือว่าไม่รู้โกรธแค้นใครก็ได้หลงใหลอะไรก็ได้ที่มีสติก็เลยไม่มีความถูกต้องพอใจตลอดเวลาที่เราล้างหน้าและถูฟันถ้าเรามีสติล้างหน้าและถูฟันมันก็มีความถูกต้องและก็จะพอใจ พอใจ อ้าวที่นี้จะไปอาบน้ำมีสติจะไปอาบน้ำตั้งแต่ว่าจะเข้าไปในห้องน้ำจะทำอะไรก็ตามจะเปลี่ยนผ้า ตักน้ำหรือจะเปิดก๊อกตลอดเวลาที่น้ำกระทบผิวหนังถูกตัวก็มีสติ สติ ถูขี้ใครไปก็มีสติ มีสติ อยู่ที่ขี้ใครอยู่ที่มือทุกอย่างจะเสร็จจะนุ่งผ้าออกมาก็สติก็มีทุกกิริยาบทซึ่งทำให้รู้สึกว่าถูกต้อง พอใจ ถูกต้อง พอใจ เลยมีความสุขตลอดเวลาที่อาบน้ำ จะไปถ่ายปัสสาวะอุจจาระนี่ยิ่งแล้วใหญ่เลยไม่มีใครจะมีสติหรือจะทำให้ดีถ้าเป็นนักธรรมะจะต้องตั้งใจระมัดระวังให้ถูกต้อง ถูกต้อง พอใจ ให้ถูกต้องพอใจอยู่ตลอดเวลาที่ถ่ายปัสสาวะอุจจาระทำอย่างไรทำอย่างไรทุกกิริยาบทเกิดความถูกต้องและพอใจโดยเป็นสุขทุกนาทีทีถ่ายอุจจาระปัสสาวะแล้วจะไปกินอาหารมีสติอยู่ที่การกินนับตั้งแต่ห้องอาหารก็มีสติอยู่ จานมาก็มีสติตักข้าวใส่ มีสติตักใส่ปาก มีสติเคี่ยว มีสติกลืน มีสติเพื่อให้มันถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง แล้วยินดีว่าถูกต้อง แล้วพอใจว่าเป็นสุขแล้วยินดีได้ว่าถูกต้องมันก็เลยมีความสุขตลอดเวลาที่รับประทานอาหารและมีสติด้วยเดี๋ยวนี้กินข้าวไปพลางจิตใจอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้วิตกกังวลในเรื่องบ้างอย่างกลืนไม่ลง ดีใจเกินไปก็กินข้าวไม่ลงเสียใจเกินไปก็กลืนข้าวไม่ลงมาหาความพอใจถูกต้องไม่ได้มีสติให้มันถูกต้องและพอใจจิตปกติทันทีไม่ดีใจไม่เสียใจทำทุกอย่างถูกต้องพอใจเลยมีความสุขตลอดเวลาที่รับประทานอาหาร อ้าวทีนี้มาดูว่าจะล้างถ้วย จะล้างจาน จะกวาดบ้าน จะถูเรือน จะล้างส้วม ถ้าจะล้างถ้วยล้างจานมีสติอยู่สกปรกที่มันติดอยู่ที่จานมันเป็นอารมณ์ของสมาธินั้นมันล้างออกไปอย่างไรเห็นชัดอยู่ล้างถ้วยล้างจานและจะกวาดบ้านสติมันอยู่ที่ปลายไม้กวาดที่มันลากอยู่กับพื้นมีฝุ่นละอองจะทำให้ถูกต้องที่สุดก็เป็นสุขพอใจ พอใจ จะถูเรือนแปรงอยู่ที่ถูเรือนถูกต้อง ถูกต้อง พอใจ พอใจ ถูกต้อง ปลอดภัยไปทาง ถูกกันไปพลางหรือทะเลอะกับสิ่งนั้นทะเลอะกับสิ่งที่เราทำนั้นกินข้าวก็ทะเลอะกับแกง กับข้าวบ้าง กินอร่อยบ้างไม่อร่อยบ้าง ด่าคนทำบ้าง ว่าคนทำบ้าง มันก็เป็นเรื่องตกนรกทั้งเป็นมันเป็นเรื่องถูกต้อง ถูกต้อง กวาดบ้านถูเรือนมีโอกาสที่จะถูกต้อง ถูกต้อง พอใจ พอใจ จะล้างส้วมที่สกปรกให้ดีที่มีอารมณ์ใหญ่แรงมีสติทำให้ถูกต้อง พอใจ ความสุข ล้างส้วมเดี๋ยวนี้มีคนใช้ล้างส้วมก็ไม่ต้องล้างไม่ค่อยรู้เรื่องนี้มันไปทำซะเองบ้าง กวาดบ้าน ถูเรือน ล้างส้วม เพื่อจะฝึกจะฝึกมีสติ มีสติ ทำอะไรนี่ทำงานบริหารชีวิตที่มีความถูกต้องนั้นงานที่จะไปทำให้ได้เงินมาจะทำการหาเลี้ยงชีพไว้ทำนา ทำนา ทำสวน ทำสวน ข้าราชการ ทำราชการอย่างนี้ ทุกข์ก็สะกิดนิ้วให้อยู่ในสิ่งที่ทำให้ถูกต้องและพอใจจะเขียนหนังสือสักตัวหนึ่งให้ถูกต้อง ถูกต้อง พอใจ ทุกข์ตัวและถูกต้อง พอใจ จะทำอะไรจะออกงานอะไรปฏิบัติอะไรก็ให้มันมีสติถูกต้องและพอใจ ถูกต้องและพอใจมันเลยเป็นสุขตลอดเวลาที่ทำหน้าที่การงานเพื่อได้ทรัพย์สมบัติมาเลี้ยงชีพการทำการเลี้ยงชีพก็เป็นการที่ทำให้เป็นสุขการบริหารร่างกายเป็นประจำตลอดเวลาก็เป็นสุขการคบหาสมาคมกับใครด้วยถูกต้อง ถูกต้อง สติเป็นสุข คบหากับคนอื่นก็เรียกว่าตามสังคมนั้นแหละทิศเบื้องหน้ามีบิดามารดา และปฏิบัติให้ถูกต้อง ทิศเบื้องหลังบุตรภรรยาสามีปฏิบัติให้ถูกต้อง ทิศเบื้องซ้ายมิตรสหายปฏิบัติให้ถูกต้อง ทิศเบื้องขวาครูบาอาจารย์ปฏิบัติให้ถูกต้อง ทิศเบื้องบนผู้บังคับบันชาผู้อยู่เหนือ ทิศเบื้องล่างผู้อยู่ใต้ผู้บังคับบันชาผู้ต่ำ นี้ทั้ง 6 ทิศปฏิบัติให้ถูกต้อง ด้วยสติสัมปะชันยะให้มันถูกต้องไม่ว่าเราจะเป็นผู้บังคับบันชาหรือจะให้เป็นผู้อยู่ใต้ผู้บังคับบันชามีสติทำให้ถูกต้อง ถูกต้อง และพอใจ พอใจ เลยเป็นสุขไปหมดอดไม่ได้มันมีแต่ความสุขไปหมดถูกต้องและพอใจ อย่างนี้สิ่งที่เรียกว่า สติ สติ พระพุทธเจ้าตรัสว่าสตินี้เป็นสิ่งที่จะต้องเอามาใช้ในทุกๆกรณีไม่ว่าจะทำอะไรมันจะมีกี่ 100 เรื่อง กี่ 1000 เรื่อง มันก็แล้วแต่ทุกข์ในโลกนี้แล้วแต่สุดแท้ทุกกรณีและทุกเรื่องต้องทำด้วยสติที่นี้เพื่อให้มันสมบูรณ์เป็นรสติที่สมบูรณ์ก็อย่างจะให้ขยายให้ชัดอธิยาบให้เห็นชัดว่าสติสมบูรณ์นั้นมันยังเกี่ยวเนื่องกับบางอย่างบางประการคือปัญญาสัมปะชันยะสมาธิขอเพียง 4 คำเท่านั้นแหละ อย่าเห็นว่ามากมายขี้เกลียดจะทำไม่มากนะ 4 คำเท่านั้นแหละสติมันระลึกได้มันระลึกอยู่อย่างนี้เรียกว่าสติตอนนี้มันมีปัญหาอะไรมาสะเทือนมีปัญญาเข้ามามีอะไร อะไร อะไรก็ต้องทำอย่างไรความรู้ที่เราได้เรียนมานี่ก็ปัญญาเกิดอะไรขึ้นมาเกิดปัญหาขึ้นมาสติไปเอาปัญญามาใช้ปัญญาส่วนที่เฉพาะนั้นมาควบคุมปัญหาที่มันกำลังเกิดอยู่อย่างนี้เรียกว่าสัมปะชันยะปัญญามีมากมายหลาย 10 อย่าง หลาย 100 อย่าง แต่ถ้าเอาปัญญาข้อไหนมาควบคุมที่มีปัญหาอยู่ปัญญานั้นเปลี่ยนชื่อเรียกว่าสัมปะชัญญะ สัมปะชันยะปัญญามีมากมายหลาย 10 อย่าง หลาย 100 อย่าง พอจะใช้จริงๆมันมีเรื่องเดียวเท่านั้นเรื่องที่มันกำลังเกิดอยู่เท่านั้นแหละจะเอาปัญญาเฉพาะนั้นมาใช้มันปัญญาก็เปลี่ยนชื่อเป็นสัมปะชันยะกับความรู้สึกตัวเพียบพร้อม รู้สึกตัวเพียบพร้อมเฉพาะกรณีนั้นยกตัวอย่างของใช้เครื่องใช้มีหลายอย่างเกิดเรื่องก็จริงก็ใช้แค่อย่างเดียวเท่านั้นแหละไม่ใช่มีแค่ใช้ไม้สอยกี่ 10 อย่าง กี่ 100 อย่างเท่านั้นแหละเกิดเรื่องอย่างเดียวมันใช้เท่านั้นแหละหรือว่ายาที่เราเอาไว้รักษาโรคที่มีกี่ 100 อย่าง กี่ 1000อย่าง เต็มตู้พอมันเกิดเรื่องขึ้นมามันกินแค่อย่างเดียวเท่านั้นแหละคำว่าปัญญาก็เหมือนกันมันมีครบทุกอย่างที่ศึกษาเล่าเรียนไว้แต่พอจะเอามาใช้มันใช้แค่อย่างเดียวเรื่องเดียวอย่าแก้ตัวออกมาควบคุมสถานการณ์ที่เป็นปัญหาอยู่นั้นอย่างนี้เรียกว่า สัมปะชัญญะ ที่นี่ก็มีอยู่ว่ากำลังใจในการกระทำนั้นจะมากพอหรือไม่ถ้าไม่พอต้องใช้สมาธิ สมาธิกำลังใจที่มากที่เข้มข้นระดมลงไปให้ปัญญามันทำหน้าที่ ให้ปัญญาที่เป็นสัมปะชันยะทำหน้าที่ ทำหน้าที่ โดยรู้เรื่องไปได้ดีเลยมีธรรมะ 4 ชื่อ ที่จะสมบูรณ์ในเรื่องที่เรียกว่าสติ ข้อ 1 มันคือสติที่ระลึกได้ว่ามันเกิดขึ้นแล้วมันระลึกถึงอะไรระลึกถึงปัญญาความรู้ที่เคยเล่าเรียนไว้อย่างนี้ก็มีปัญญา แล้วปัญญาเอามาเป็นสัมปะชันยะเฉพาะเรื่อง เฉพาะเรื่องที่มีสัมปะชัญญะ ถ้ากำลังใจมันอ่อนใช้สมาธิถ้าครบ 4 อย่าง 4 เกลอนี้แล้ว เรื่องนั้นจะรู้เรื่อง มันจะหมดปัญหาขอให้ไปพิสูจน์เอาเองว่าการที่จะควบคุมอะไรได้ แก้ปัญหาอะไรได้ ต้องมีธรรมะ 4 เกลอ สติระลึกเอามา ปัญญาเอามา มาเป็นสัมปะชันยะแล้วเพิ่มสมาธิให้ สติ ปัญญา สัมปะชัญญะ สมาธิ ก็จะเรียงลำดับตามเหตุการณ์ที่จะต้องใช้จะต้องเรียงอย่างนี้ว่า สติมีปัญญาแล้วสัมปะชัญญะ ะแล้วก็สมาธิฝึกไว้ให้มากฝึกไว้ให้พอถ้าเป็นอยู่อย่างที่ว่าทำอะไรก็มีสติทุกกิริยาบทแล้วสติมันก็มากเอง จะรับประทานอาหาร จะอาบน้ำ จะอุจจาระ จะปัสสาวะ จะล้างถ้วยล้างจาน กวาดบ้าน ถูเรือน ฝึกอย่างที่ว่าอยู่อย่างนี้สติจะมากพอ ปัญญาก็จะเพิ่มขึ้น สัมปะชันยะก็จะคล่องแคล้วขึ้นสมาธิก็จะมีมากขึ้น ถ้าไม่พอก็ฝึกเป็นพิเศษเลย ถ้าเราเป็นคนใจอ่อนแอ ก็ต้องฝึกสมาธิอยู่ไปบางที่เรียกว่า อานาตาสะปติพิเศษฝึกแล้วจะมีบททั้งสติ ทั้งสัมปะชัญญะ ทั้งสมาธิ สนใจเรื่องนี้กันบ้างและก็ฝึกตามโอกาสตามความสมควรจะเป็นผู้มีสติ ปัญญา สัมปะชัญญะ สมาธิ ที่เพียงพอจะรอดตัวแล้วมีอาวุธมีเครื่องมือสำหรับต่อสู้กับข้าศึกศัตรู ประเภทกิเลสทั้งหลายมาให้รักก็ไม่รัก มาให้โกรธก็ไม่โกรธ มาให้เกลียดก็ไม่เกลียด มาให้กลัวก็ไม่กลัว มาให้ตื่นเต้นก็ไม่ตื่นเต้น มาให้วิตกกังวลอาลัยอาวอนก็ไม่วิตกกังวลอาลัยอาวอนไม่อิษฉาริษยาไม่หึงไม่หวงไม่อะไรทุกๆอย่าง ไม่ทำผิดแม้แต่อย่างเดียว เพราะว่ามีธรรมะมีหน้าที่ที่ถูกต้องแก่ความรอด หน้าที่ที่ถูกต้องแก่ความรอด และทางกายและทางจิตอย่างนี้เรียกว่ามีธรรมะ 4 เกลอ ธรรมะ 4 เกลอ ใช้ในการแก้ปัญหาทั้งปวงเพื่อใครได้รับความสุขที่ถูกต้อง อย่าไปความเพลิดเพลินที่หลอกลวงมาเป็นความสุขที่แท้จริง ขออภัยเรื่องพูดว่าเป็นอันมาก คนเป็นอันมากไปหลงความเพลิดเพลินที่หลอกลวงว่าเป็นความสุขที่แท้จริง ในความเพลิดเพลินที่หลอกลวงนั้นมันก็เป็นแค่ความเพลิดเพลินแล้วก็หลอกลวงด้วย ความสุขที่แท้จริงมันไม่หลอกลวง ไอ้ความเพลิดเพลินหลอกลวงนั้นมันมีเสน่ห์มาก แต่ว่าก็มีเสน่ห์ที่จะหลอกลวงคนโง่ เสน่ห์นั้นก็อาจจะหลอกลวงคนที่มีสติ ปัญญา ไอ้ความเพลิดเพลินอาจไม่หลอกลวงคนที่มีสติ ปัญญา แต่มันจะหลอกลวงคนโง่ มันเห็นว่าเป็นของดี ของวิเศษ มันจึงแสวงหาแต่สิ่งเพลิดเพลินโดยไม่ต้องดูว่าอะไรมันจะเกิดขึ้น ได้ประโยชน์คุ้มค่าไหมอย่างนี้ก็ไม่สนใจขอให้ได้ความเพลิดเพลินก็แล้วกันนี้ปากทางแห่งอบายมุขแล้วก็มีอบายมุขซึ่งไม่ควรจะทำก็ไปหลงอันความเพลิดเพลินหลอกลวงว่าเป็นความสุขที่แท้จริงแล้วมันก็น่าหวงว่าเป็นความเพลิดเพลินที่จ่ายเงินมาก ความสุขที่แท้จริงเท่าไรยิ่งจ่ายเงินน้อยแล้วมันทำได้โดยไม่ต้องจ่ายเงินแล้วมันก็รู้สึกอยู่ที่ว่า เป็นสุข เป็นสุข รู้สึกที่ว่าเราสามารถทำได้มันก็หาความสุขจากเรื่องนี้เราสามารถจะทำได้เพราะมันเป็นเรื่องยากเอาความสุขของงานที่ได้เป็นเงินเป็นทองให้ความสำคัญอะไรกันนักไม่ยินดีก็พอใจยินดีว่าเราสามารถทำได้หน้าที่นี้ยากที่จะทำได้แต่แล้วเราก็ทำได้สำเร็จก็พอใจเป็นสุขเพราะทำได้สำเร็จสุขที่แท้จริงพอใจในข้อที่เราทำได้ฉันทำได้สิ่งที่คนอื่นทำไม่ได้นี่ฉันทำได้ยิ่งพอใจยิ่งเป็นสุขขอให้มุ่งไปความสุขว่าฉันทำได้ผลของงานเกียจติยศชื่อเสียงก็อย่าไปหลงมันมากมันเปลี่ยนแปลงได้เป็นมายาพอใจที่เราสามารถทำหน้าที่อันนี้ได้ดีกว่าและเป็นความสุขอันแท้จริงซึ่งไม่ต้องซื้อหาด้วยซ้ำไปและนำผลอย่างอื่นมาเป็นเงินเป็นทองความสุขที่แท้จริงไม่ต้องใช้เงินและไม่ต้องใช้อะไรมากไม่กัดเจ้าของส่วนความเพลิดเพลินที่หลอกลวงมันใช้เงินมากเหน็ดเหนื่อยมากใช้เงินมากและแว้งกัดเจ้าของความเป็นมายานั้นเปลี่ยนเลื่อยติดตามกันไม่ไหวรักษากันลำบากเพราะมันเป็นมายาที่หลอกลวงนั้นอย่าไปเอามายาที่หลอกลวงมาเป็นความสุขที่แท้จริงแล้วก็เกิดปัญหาที่เวทนาที่น่าสงสานของคนเหล่านี้เต็มไปหมดไปบูชาความเพลิดเพลินที่หลอกลวง โดยเข้าใจว่าเป็นความสุขพูดถึงความสุขที่แท้จริงกันหน่อยว่ามันมีอยู่พอที่จะสังเกตได้ความสุขความตายล้วนๆแต่ร่างกายปกติดีไม่มีความสุขความสุขทางจิตคือจิตสงบระงับดีเป็นสมาธิได้ตามที่ต้องการเมื่อต้องการจะนอนหลับก็หลับเมื่อต้องการจะไม่หลับก็ไม่หลับจิเตอยู่ในภาวะปกติก็เป็นความสุขทางจิต ทีนี้ความสุขทางวิญญาณทางสติปัญญามันก็มีความถูกต้องไปเสียทุกอย่างความสุขทางสติปัญญาเมื่อสูงขึ้นไปเขาเรียกความสุขไม่มีอุปธิเพราะวิญญาณ และจิตไม่แบกของหนักไม่มีอะไรมาแบกไว้เป็นตัวกูของกูไม่มีของหนักคืออุปธิภาษาธรรมะก็เรียกกายะวิเวกกายเป็นอิสระไม่มีอะไรเบียดเบียนจิตตะวิเวกจิตไม่มีอะไรเบียดเบียน อุปธิไม่มีของหนักอะไรมากดทับอีกนี่ว่าปราศจากของหนัก โรคภัยทางกาย ทางจิต ทางสติปัญญาความโง่ที่ไปยึดมั่นถือมั่นไม่มีปราศจากความยึดมั่นถือมั่นอย่างนี้เป็นความสุขจริงไม่หลอกไม่ต้องใช้เงินมากเหมือนอายันตะนะความเอร็ดอร่อยนึกสนาน โดยเฉพาะทางกามมารมย์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจที่สนุกสนานเอร็ดอร่อยไปทางกามมารมย์มีอวิชชาความไม่รู้เป็นเหตุให้หลงใหลบูชาเอาความบ้าวูบเดียวมาเป็นความสูงสุดทางกามมารมย์อย่างนี้ดูให้ดีถ้ามันเป็นเรื่องทางกามมารมย์มันเหยื่อล่อหลอกให้หลงเป็นความบ้าวูบเท่านี้แหละมันก็แพงมาก เหนื่อยมาก ลำบากมาก ไปมากแต่ก็ไปบูชานั้นมันเป็นความเข้าใจผิดอย่าไปเข้าธาตุของอายันตะนะมาเป็นความสุขต้องเอาความเป็นนายเหนืออายันตะนะคือเป็นนายเหนือตา หู จมูก ลิ้น กาย อย่าเป็นขี้ข้าของตา หู จมูก ลิ้น กาย ระวังให้ดีถ้าเป็นธาตุของตา หู จมูก ลิ้น กาย มันจะใช้เงินมากใช้เท่าไรมันก็ไม่พอ เท่าไรก็ไม่พอต้องคด ต้องโกง ต้องคอลับชัน พวกคอลับชันทั้งหลายก็เป็นธาตุของอายันตะนะมากเกินไปถ้าเป็นนายเหนืออายันตะนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันจะไม่ต้องใช้เงินอะไรเลยมันก็มีความสุขความพอใจได้นี่เราเรียกว่าความสุขที่แท้จริงมันเป็นอย่างนี้ไม่เป็นเหยื่อล่อหลอกอะไรความเพลิดเพลินแล้วมันก็เป็นเหยื่อล่อหลอกรวมความว่าความถูกต้องที่ทำให้เกิดความรอดนั้นแหละคือธรรมะนั้นแหละคือธรรมะ ขอให้ท่านทั้งหลายสนใจ สนใจความถูกต้องที่ทำให้เกิดความรอดเป็นหน้าที่ที่ทุกคนจะต้องทำหน้าที่นั้นเรียกว่าธรรมะ เราจงมีธรรมะนี้เป็นคู่ชีวิตมีคนเป็นธรรมะ มีธรรมะเป็นคน ให้คนถึงธรรมะ ให้ธรรมะถึงคน ให้คนพึ่งธรรมะ ให้ธรรมะพึ่งคน แล้วเราก็จะมีสุขที่แท้จริงไม่ใช่ไปบูชาความเพลิดเพลินอันหลอกลวงนี่เรียกว่าได้เกิดมาเป็นมนุษย์ได้พบสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้คือสิ่งที่ทำให้เกิดความสงบสุข สงบเย็นตลอดกาลตลอดเวลา แชละไม่ต้องใช้เงินใช้ทองอะไรมากมายนักเพราะมันมีความถูกต้องตั้งจิตมันให้ถูกต้องเท่านั้นแหละ ปัญหามันก็หมดไปต้องศึกษาเราตั้งไว้ให้ถูกต้องในความมีสติในทุกๆกิริยาบทที่เราจะทำอะไร ทำอะไรตั้งแต่เรื่องเล็กๆน้อยๆทำให้ถูกต้องในที่สุดว่าจะรับประทานอาหาร จะอาบน้ำ จะถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ ก็ให้ถูกต้องมีความสุขความพอใจอยู่ตลอดเวลาเหล่านั้นไม่ว่าที่ไหนไม่ว่าเมื่อไรนี่เรียกว่าเรามีธรรมะที่แท้จริงตามหลักแห่งพระพุทธศาสนาสมกับคำที่พูดว่าธรรมะเป็นสิ่งที่ต้องคู่กับชีวิตธรรมะเป็นสิ่งที่ต้องคู่กับชีวิตธรรมะเป็นสิ่งที่ต้องคู่กับชีวิตพอพัดคู่เมื่อไรก็มีปัญหาเมื่อนั้นจะทุกข์ยากลำบากจะต้องน้ำตาไหลจะต้องทุกข์ทรมาน ถ้าธรรมะมีความถูกต้องอยู่ชีวิตนี้จะต้องไม่เป็นความทุกข์จะเป็นปกติสุขจะเป็นความสงบเย็นที่ไหนเป็นชีวิตที่พึงปรารถนาที่นั้นเป็นที่ถูกต้องมิฉะนั้นจะเป็นชีวิตที่ไม่ถูกต้องจะเป็นไปด้วยปัญหานั้นขอให้มีมันให้ใช้มันให้ถูกต้องด้วยการมีธรรมะ มันมีความสุขตลอดเวลาที่เราจะหล่อเลี้ยงชีวิตจะรักษาชีวิต จะทำงานทำงานเลี้ยงชีพก็ให้มันมีความสุขในการทำงานนั้นแหละทำงาน ทำงาน ตัวการงาน ทำด้วยความถูกต้องเป็นความสุขในการงานไม่ต้องเล็งถึงผลงานผลงานนั้นว่าแค่นั้นเองแต่ที่ทำยากที่ว่าทำงานโดยไม่ต้องเป็นทุกข์ เดี๋ยวนี้ทำงานเป็นทุกข์กันไปเสียหมดทำการงานเดี๋ยวนี้ก็มีความทุกข์มีปัญหามีเรื่องหวาดเรื่องกลัวอะไรไปเสียหมดการงานก็ไม่ได้เป็นความทุกข์ขอให้ตั้งต้นเสียใหม่อย่าให้การงานเป็นทุกข์เป็นของสนุกทำสนุก เป็นสุขเมื่อกำลังทำการงานทำหน้าที่การงาน ชาวนาทำนาสนุก ชาวสวนทำสวนสนุก พ่อค้าค้าขายสนุก ข้าราชการทำข้าราชการสนุก กรรมากรทำกรรมาสนุก ศิลปินทำศิลปินสนุก ขอทานก็นั่งขอทานอย่างเป็นสุขและสนุกธาตุก็มีธรรมะก็ตั้งจิตไว้ถูกต้องนี่ธรรมะสามารถเป็นของคู่กันกับชีวิตของคนในโลกรวมทั้งเทวดาด้วยก็ได้ถ้ามันมีถ้ามีธรรมะแล้วมันจะไม่มีความทุกข์เพราะว่าธรรมะคือความถูกต้องเพื่อความอยู่รอด ถ้าถูกต้องก็เป็นไปด้วยความรอดถ้าไม่ถูกต้องรอดจากชีวิตรอดจากความทุกข์การเบียดเบียนของกิเลสเป็นความทุกข์ให้รอดจากอำนาจของกิเลสให้รอดจากอำนาจของความตายอย่าให้ความตายมาเป็นของน่ากลัวขู่เข็นเราให้น่ากลัวให้เป็นของธรรมดาไปอย่างนี้ก็รอดจากการขู่เข็นของความตาย ทางกายก็จัดการให้ถูกต้องให้พอดีอย่าให้มันมากอย่าให้มันน้อยให้มันมีความพอดีบูชาความกินอยู่พอดีอย่าไปหลงใหลความอยู่ดีกินดีนักจะไม่มีคอบเขตจะเตลิดเปิดเปิงถ้ากินดีอยู่ดีมันมากเกินไปถ้ากินอยู่พอดีไม่เหลิงและไม่เกินขอให้กินอยู่แต่พอดีอย่าให้มีสิ่งที่ไม่จำเป็นเข้ามาเลยความทุกข์ความยากลำบากจะไม่เกิดขึ้นอย่าไปทำสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องทำเลยคือมันมากเกินไปสิ่งที่มากเกินไปไม่ใช่ของดีเป็นของผิดมีอะไรมากเกินไปไม่ดีมีแต่พอดีดีกว่าเดี๋ยวนี้มันมากเกินไปมีเงินมากเกินไปยุ่งยากเท่าที่สามารถบังคับได้มีเท่าไรก็สามารถบังคับได้ไม่ต้องมีบ้านหลายหลัง ไม่ต้องมีรถยนต์หลายคันไม่ต้องมีอะไรเยอะแยะเกินจำเป็นมีแต่ที่พอดีเรียกว่าความถูกต้อง ขอให้ท่านทั้งหลายรู้จักธรรมะว่าหน้าที่ที่ถูกต้องแก่ความรอดแล้วบังคับความถูกต้องไว้ด้วยสิ่งที่เรียกว่าสติ สติจะสมบูรณ์แม้ต้องสัมปชัญญะ ต้องมีปัญญา ต้องมีสมาธิแล้วก็ใช้มันให้ถูกต้องมันจะแก้ปัญหาทุกอย่างแก้ปัญหาที่มันต้องทำปัญหาก็เว้นไม่ได้ทำก็แก้ได้ปัญหาที่ทำเสียทำได้แก้ปัญหาได้ทุกชนิดแหละไอ้ 4 เกลอนี้คือ สติ ปัญญา สัมปะชัญญะ สมาธิ สติระลึกได้เร็วมัน ปัญญาไอ้ความรอบรู้ที่จะศึกษามาเลือกเอามาสักอย่างว่าเป็นสัมปะชัญญะเป็นได้ก็ปัญหาเพิ่มให้ได้ก็เป็นสมาธิกับสัมปะชัญญะ แล้วแก้ปัญหาเหล่านั้นได้นี้เรียกว่า 4 เกลอ ธรรมะ 4 เกลอเป็นคู่กับชีวิตจิตใจที่แท้จริงหวังว่าท่านทั้งหลายคงมีความเข้าใจดังที่กล่าวมานี้ขอให้ไปนึกคิดใคร่ครวญศึกษายังไม่ต้องเชื่อทันทีก็ได้แต่ขอว่าอย่าทิ้ง ที่นี้เอาไป เอาไป ได้เอาไปศึกษาใคร่ครวญพิจารณาให้เกิดความรู้ความเข้าใจแล้วใช้ให้ได้เหมือนกับเรามีเครื่องมือเครื่องใช้ไม้สอยอะไรเราใช้ได้คล่องมือ แล้วเรามีรถยนต์เราขับรถยนต์ได้คล่องมือตามใจเรา เรามีธรรมะชนิดที่ว่าใช้ได้ตามใจเราอย่างคล่องปาก คล่องมือ คล่องกาย คล่องใจคล่องไปหมดมีธรรมะอย่างนี้เถิดปัญหาก็จะหมดไปแล้วเราก็จะไม่เสียทีที่พบพระพุทธศาสนาซึ่งมีสิ่งที่ดีที่สุดให้เราคือแก้ปัญหาทั้งหลายทั้งปวงได้ขออย่าเสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนาเลยการบรรยายธรรมะนี้ก็พอสมควรแก่เวลาแล้วจะได้ยกโอกาสให้พระคุณเจ้าทั้งหลายสวดบทพระธรรมคณะสาทะยายเตือนใจท่านทั้งหลายให้เกิดความเข้มแข็งกล้าหาญ ความเชื่อความเพียรในการที่จะปฏิบัติธรรมะที่เป็นหน้าที่ของตนที่สมบูรณ์ต่อไปในการระบัดนี้