กฏหมายที่ประชาชนควรรู้
..... การโอนลอย...ไม่ใช่เอกสารแสดงกรรมสิทธิ์
ข้อเท็จจริง... ผู้ร้องยื่นคำร้องขอคืนของกลางว่า เป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกหกล้อที่จำเลยนำไปบรรทุกไม้ของกลาง โดยผู้ร้องให้จำเลยเช่าซื้อไป อยู่ในระหว่างเช่าซื้อ ผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด ขอให้ศาลสั่งคืนรถยนต์ของกลางแก่ผู้ร้อง
พนักงานอัยการโจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านว่า ผู้ร้องมิใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์บรรทุกหกล้อของกลาง ทั้งยังรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย เนื่องจากจำเลยเคยใช้รถยนต์บรรทุกหกไปกระทำผิดเช่นนี้มาหลายครั้ง แต่ผู้ร้องไม่เคยบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อแต่อย่างใด และยังคงรับเงินค่าเช่าซื้อจากจำเลยเรื่อยมา ผู้ร้องต้องการแต่เพียงเงินค่าเช่าซื้อเท่านั้น
การที่ผู้ร้องมาร้องขอคืนของกลางเป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ของผู้เช่าซื้อเท่านั้น ถือเป็นผู้ร่วมรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด การร้องขอคืนของกลางของผู้ร้องจึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต สัญญาซื้อขายรถยนต์บรรทุก กระทำขึ้นภายหลังเกิดเหตุคดีนี้ นอกจากนั้นสัญญาเช่าซื้อของผู้ร้องกับจำเลยกระทำขึ้นมาภายหลังเกิดเหตุคดีนี้เช่นกัน ขอให้ยกคำร้อง
คดีมีปัญหาว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกหกล้อของกลาง และมีส่วนรู้เห็นเห็นใจด้วยในการกะทำความผิดกับจำเลยหรือไม่
ข้อเท็จจริงได้ความว่า ผู้ร้องไม่ได้จดทะเบียนเปลี่ยนชื่อเจ้าของรถยนต์มาเป็นของผู้ร้อง คงเพียงแต่ทำหนังสือสัญญาซื้อขายกัน และทำเอกสารชุดโอนลอยของผู้ขายมอบไว้ให้ผู้ร้อง เพื่อไปดำเนินการจดทะเบียนในภายหลัง แม้การจดทะเบียนโอนชื่อเจ้าของรถจะมิใช่หลักฐานการแสดงกรรมสิทธิ์ แต่หากนิติกรรมซื้อขายรถยนต์ทำกันตามปกติและชอบด้วยกฎหมาย การจดทะเบียโอนชื่อเจ้าของรถยนต์ก็เป็นข้อน่าชี้ให้เห็นว่า เจ้าของรถที่แท้จริงได้
การทำเอกสารชุดโอนลอยเก็บไว้ เป็นเรื่องระหว่างผู้ร้องกับผู้ขาย บุคคลทั่วไปไม่สามารถตรวจสอบได้ เมื่อยังไม่ปรากฎชื่อผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ประกอบกับพฤติการณ์ของผู้ร้องปล่อยให้ระยะเวลาผ่านไป นับตั้งแต่วันที่รถยนต์บรรทุกของกลางถูกยึดเป็นเวลานานเกือบ 3 ปี ก็ยังมิได้มีการจดทะเบียนโอนรถยนต์บรรทุกของกลาง ให้ปรากฎชื่อผู้ร้องเป็นเจ้าของ จึงเป็นเรื่องผิดปกติ
การทำสัญญาซื้อขายรถยนต์บรรทุก เป็นเรื่องทำกันขึ้นระหว่างบุคคลโดยราชการมิได้รับรอง กรณีอาจมีการกระทำขึ้นภายหลังก็เป็นได้
นอกจากนี้ การที่จำเลยผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อหลายงวด ผู้ร้องก็มิได้จัดการบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อ พยานหลักฐานของผู้ร้องไม่มีนำหนักเพียงพอแก่การรับฟังว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกของกลาง กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นเรื่องผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำผิดหรือไม่ เพราะไม่ทำให้ผลการวินิจฉัยเปลี่ยนแปลง จึงยกคำร้องของผู้ร้อง(คำพิพากษาฎีกาที่ ๘๑๑๔/๒๕๕๑)
ข้อสังเกตุ การที่ศาลยกคำร้องในครั้งนี้ เพราะผู้ร้องไม่ได้เป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุก ตามกฎหมาย ผู้ที่จะยื่นคำร้องขอคืนของกลางได้ จะต้องมีหลักเกณฑ์ (ป.อาญา มาตรา ๓๖)ดังนี้
๑. เป็นทรัพย์สินที่ศาลสั่งริบตามมาตรา ๓๓ หรือ มาตรา ๓๔
๒. ต้องเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่แท้จริง และมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดในคดี
๓. ทรัพย์สินที่ขอคืนนั้นยังคงมีอยู่ในความครอบครองของเจ้าพนักงาน
๔. เจ้าของทรัพย์สินจะต้องขอคืนต่อศาลภายใน ๑ ปี นับตั้งแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด
คดีนี้ศาลได้พิจารณาในเรื่องของการเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ว่าใครเป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกระหว่างผู้ขาย กับผู้เช่าซื้อ(ผู้ร้อง) เมื่อผู้ร้องพิสูจน์ไม่ได้ว่าตนเป็นเจ้าของที่แท้จริง ก็ต้องแพ้คดีไป
...จึงเป็นข้อเตือนใจแก่ผู้ทำสัญญาเช่าซื้อและผู้เป็นเจ้าของรถยนต์ ไม่ควรให้ผู้อื่นนำไปใช้ง่าย ๆ หากนำไปใช้ในการกระทำความผิด กว่าจะพิสูจน์ต่อศาลได้ก็จะทำให้เสียเวลา เสียทรัพย์สิน และเสียสุขภาพจิตอีกด้วย...ระวัง ! สักนิด ชีวิตจะปลอดภัย...