ดร.สกุลรัตน์ กมุทมาศ เป็นคนอีสานโดยกำเนิด บ้านเกิดคือ จ.อุบลราชธานี บิดามีศักดิ์เป็นหลวงราษฎรบริหาร (สุด กมุทมาศ) มารดาเป็นอดีตนางงามแห่งเมืองอุบล ชื่อ นกแก้ว มีพี่น้องหลายคน คือ อุทัย, วินัย, วิรัช, สกุลรัตน์, พวงรัตน์ และสุดารัตน์ ปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่เหลืออยู่เพียงสามคน คือ วินัย, สกุลรัตน์ และพวงรัตน์
แม้บิดาจะรับราชการเป็นถึงนายอำเภอ แต่ตระกูล กมุทมาศ มิได้ร่ำรวยมหาศาล เนื่องจากเป็นข้าราชการทำงานอย่างตรงไปตรงมาเพื่อสนองคุณแผ่นดิน มิได้หวังอามิสสินจ้างที่จะสร้างตระกูลให้มีฐานะร่ำรวย ประกอบกับมีลูกหลานหลายคน ฐานะความเป็นอยู่จึงเพียงแค่ดำรงชีวิตอยู่แบบไม่เดือดร้อนเท่านั้นเอง
หลวงราษฎรบริหาร ผู้เป็นบิดาจะพยายามบอกเล่าให้บรรดาลูก ๆ ตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษาเล่าเรียน โดยตั้งปรัชญาชีวิตให้ลูก ๆ ท่องจำเอาไว้ว่า "ความรู้คู่ชีวิต" ทรัพย์สมบัติแม้จะมีค่ามากมายมหาศาล ถ้าต้องการไม่ตายก็หาได้ แต่ความรู้นั้นเราจำเป็นต้องศึกษาเล่าเรียน เพราะมันจะอยู่ติดตัวเราไปจนตาย
ด้วยเหตุนี้ลูก ๆ ในตระกูลกมุทมาศ จึงตั้งหน้าตั้งตาเล่าเรียนหนังสือกันอย่างจริงจัง ซึ่งทุกคนสามารถเรียนจบปริญญา ส่วนผู้ที่พิเศษกว่าพี่น้องคนอื่น ก็จะมีวิรัช และ สกุลรัตน์ ที่ได้ ดอกเตอร์ ส่วนพวงรัตน์ ได้สองปริญญา จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หนึ่ง และจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อีกหนึ่ง
ชีวิตของ ดร.สกุลรัตน์ ค่อนข้างที่จะโดดเด่นมากกว่าพี่น้องคนอื่น ๆ ทุกคน ทั้งนี้เพราะเธอตั้งเป้าหมายชีวิตไว้ว่าจะต้องเรียนให้มากที่สุดในชีวิต แม้จะต้องลำบาายากเข็ญอย่างไร ขอเพียงให้เธอได้เรียนตามปรัชญาชีวิตของผู้เป็นบิดา
สุดท้ายเธอคือผู้ที่ก้าวเข้าไปสู่ความสำเร็จทางการศึกษาด้วยการได้รับปริญญาโทถึง 5 สถาบัน และได้รับปริญญาเอกอีก 2 สถาบัน
ชีวิตของการเล่าเรียนของ ดร.สกุลรัตน์ เรียนจบระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียนนารีนุกูล จ.อุบลราชธานี ด้วยผลการเรียนที่นำหน้าเพื่อน ๆ ทุกคน หลังจากที่เธอเรียนจบแล้ว เธอก็ขอแม่มุ่งเข้าสู่กรุงเทพมหานครเพื่อเรียนต่อ โดยมีคุณแม่ติดตามมาส่งเธอถึงกรุงเทพ ฯ
ดร.สกุลรัตน์ จำได้ดีว่า ในวันที่ออกจาก จ.อุบลราชธานีมากับคุณแม่นั้น เธอมีเพียงชะลอมเสื้อเผ้าเพียงหนึ่งใบเท่านั้น เมื่อมาถึงกรุงเทพ ฯ คุณแม่ก็ได้นำไปฝากไว้กับคุณลุงที่อยู่ข้างวัดเบญจมบพิตร โดยเธอมีโอกาสได้เข้าเรียนต่อระดับ ม. 7 และ ม. 8 ที่โรงเรียน
สตรีวิทยา เธอสอบได้ในอันดับเกือบสุดท้าย เพราะความที่เป็นเด็กบ้านนอก แม้จะเก่งมาจากอุบล แต่เมื่อมาเจอกับเด็กเมืองหลวงเข้า ดูเหมือนว่า วิชาการของเด็กในเมืองหลวงจะล้ำหน้ากว่าเด็กบ้านนอกมากโขทีเดียว
ดร.สกุลรัตน์จึงจำเป็นที่จะต้องขวนขวายช่วยเหลือตัวเองด้วยการหมั่นท่องตำราอย่างจริงจัง แม้จะลำบากอย่างไรก็ต้องอดทน มิฉะนั้นจะไม่สามารถเรียนได้ทันเพื่อน ๆ
การเล่าเรียนของ ดร.สกุลรัตน์ ในสมัยเรียนอยู่ในระดับมัธยมปีที่แปดนั้น เธอมิได้อาศัยเพียงเรียนในโรงเรียนเท่านั้น แต่เธอจะขวนขวายหาวามรู้จากนอกสถาบันอยู่เสมอ ๆ เพื่อเธอจะได้นำเอาความรู้ไปสอบแข่งขันเข้าเรียนต่อในรดับมหาวิทยาลัยต่อไป
เมื่อวันสำคัญในชีวิตของนักเรียนมาถึง คือวันสอบเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย ดร.สกุลรัตน์ เข้าเรียนใน โรงเรียน ป.ม. เตีรยมจุฬา (วิทยาลัยวิชาการศึกษาปทุมวัน) ทั้ง ๆ ที่เธอจะเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ก็ได้ เพราะสอบได้เช่นเดียวกัน แต่เธอมีความต้องการที่จะเรียนจบออกมาเป็นครู จึงตัดสินใจเข้าเรียนทางสายครู ประกอบกับการเรียนในสายครูนี้ มีค่าเล่าเรียนต่ำกว่าสาย มหาวิทยาลัย สามารถจบออกมาหางานได้ง่าย และเป็นงานที่ถูกใจตัวเองด้วย ชีวิตในช่วงนี้ของ ดร.สกุลรัตน์ จึงหมดไปกับการเรียนอย่างแท้จริง เพราะเธอไม่มีช่วงชีวิตเพื่อความสนุกสนานตามสถานภาพวัยรุ่นที่ต้องการความสนุกสนานเลย เธอต้องทำงานบ้าน เสร็จการทำงานบ้านก็จะหยิบหนังสือมาอ่าน เป็นเช่นนี้ตลอดช่วงที่เรียนในระดับอุดมศึกษา
ในช่วงระยะเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่บิดาเสียชีวิตแล้ว มีเพียงมารดาที่ต้องมีภาระในการดูแลลูก ๆ และต้องส่งเสียลูกเข้าเรียนหนังสือ ดร.สกุลรัตน์ จึงตัดสินใจเรียนไปทำงานไป เพื่อหาเงินมาช่วยเหลือมารดา เป็นการแบ่งเบาภาระด้านการเงินของมารดาที่ต้องส่งลูก ๆ
เรียนหนังสือ
ดร.สกุลรัตน์ ตอนนั้นมีอายุเพียง 18 ปี เท่านั้น เธอตัดสินใจสมัครเข้าทำงานเป็นครูพิเศษที่โรงเรียนเพชรบุรีวิทยาลงกรณ์ เพื่อจะนำเงินไปให้มารดาเป็นค่าใช้จ่ายในการส่งพี่น้องคนอื่นเรียนหนังสือ ประกอบกับในตอนนั้นเธอเล็งเห็นว่า น่าที่จะอพยพมารดาและพี่น้อง
เข้ากรุเงทพฯ ดีกว่าจะปักหลักอยู่ที่อุบล ฯ ดังนั้นเงินที่เธอหาได้ถึงเก็บส่วนหนึ่งเอาไว้เพื่อเป็นทุนในการอพยพครอบครัวเข้ากรุงเทพ ฯ ด้วย เธอจึงหางานเพิ่มด้วยการรับเป็นครูสอนพิเศษให้กับนักเรียนอื่น ๆ ด้วย
ในช่วงนี้เองที่ชะตาชีวิตของ ดร.สกุลรัตน์ จะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับคู่ชีวิต พ.ต.ประสิทธิ์ พูลสวัสดิ์ อดีตรองผู้ว่าราชการ จ.เพชรบูรณ์ (ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว) ได้ส่งผู้ใหญ่มาหมั้นหมาย โดยอ้างว่าได้ดูใจเธอมานานแล้ว ตั้งแต่เธอยังเรียนอยู่ที่โรงเรียนสตรีวิทยา และมั่นหมายว่าหากเธอเรียนจบในระดับมหาวิทยาลัยจะขอเธอแต่งงานด้วย ทั้งนี้ฝ่ายชายประทับใจว่า เธอเป็นผู้หญิงที่ดี ขยันขันแข็ง และที่สำคัญกตัญญูรู้คุณ เลี้ยงดูบุพการีมาอย่างมิได้ขาด
เมื่อเธอเรียนจบปริญญาตรี ทั้งคู่จึงเข้าพิธีสมรส จากนั้นมีบุตรด้วยกัน 2 คน คือ กิตติวัฒน์ และ กิติเวช พูลสวัสดิ์ ปัจจุบันเป็นวิศวกรอยู่ในประเทศอเมริกา
ชีวิตของ ดร.สกุลรัตน์เมื่อมีครอบครัว เธอก็มิได้ทอดทิ้งการเล่าเรียน ทุกเวลา ทุกนาที เธอยังใฝ่ฝันที่จะเรียนต่อไปเรื่อย ๆ ยิ่งผู้เป็นสามีให้การสนับสนุนอีกแรงหนึ่ง เธอยิ่งมีความสุขในการเล่าเรียนมากขึ้น พ.ต.ประสิทธิ์ ผู้เป็นสามี ได้ให้การสนับสนุนเธอเข้าเรียนต่อในระดับปริญญาโท ที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร โดยในตอนนั้นสถาบันแห่งนี้ยังเป็นวิทยาลัยการศึกษาประสานมิตร สอนในระดับปริญญาตรี และการเข้าไปเรียนในระดับปริญญาโทของดร.สกุลรัตน์ ครั้งนี้ถือเป็นรุ่นแรกของสถาบันแห่งนี้ที่เพิ่งเปิดขึ้นมา
ในช่วงที่เรียนระดับปริญญาโทอยู่นี้ ดร.สกุลรัตน์ ก็ยังคงขยันขันแข็งทั้งด้านการเรียนและการหางานพิเศษเพื่อเก็บเงินไว้เป็นทุนในการเรียนต่อไปอีก
ตอนนั้นเธอเริ่มมองเห็นแล้วว่า การศึกษาไม่ใช่จำกัดขอบเขตแต่เพียงในประเทศเท่านั้น นอกประเทศยังมีแหล่งการศึกษาอีกมากหมายที่จะรอให้ผู้ไขว่คว้าหาความรู้ได้ไปเก็บเกี่ยว ดังนั้นเธอจึงเริ่มที่จะวางช่องทางต่อการที่จะไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ แต่การที่จะไปศึกษาต่างประเทศนั้น จำเป็นต้องใช้เงินสูง แม้เธอจะหาเงินอยู่ตลอดเวลานั่นมิได้หมายความว่ามันจะเพียงพอต่อการจะส่งตัวเองไปเรียนต่อยังต่างประเทศได้ หนทางที่มองเห็นมีอยู่ทางเดียว คือ สมัครเข้าชิงทุนรัฐบาลเพื่อจะด้ไปเรียนต่อ ปรากฏว่า การสอบแข่งขันเพื่อจะได้รับทุนไปเรียนต่อของ ดร.สกุลรัตน์ พ่ายแพ้ต่อผู้สมัครคนอื่น ๆ เธอจึงตั้งเป้าหมายใหม่ที่จะใช้เงินของตัวเองไปศึกษา เธอจึงเริ่มที่จะทำงานหนักมากขึ้น เพื่อเก็บเงิน จวบจนเมื่อเธอเรียนจบปริญญาโทจากประสานมิตรแล้ว เธอจึงตัดสินใจเรียนต่อยังประเทศสหรัฐอเมริกา โดยให้สามีดูแลลูกทั้งสองคนอยู่ในประเทศไทย
ด้วยแรงสนับสนุนของผู้เป็นสามีอีกแรงหนึ่ง ดร.สกุลรัตน์ จึงมีโอกาสเดินทางออกจากประเทศไทยไปศึกษาต่อยังประเทศอเมริกา การไปศึกษาต่อในอเมริกา ไม่ง่ายเหมือนที่คิด เพราะแม้เธอจะเรียนจบในระดับปริญญาโทเมืองไทยแล้ว แต่โดยสภาพที่แท้จริงการใช้ภาษาอังกฤษของเธอยังไม่แข็ง ดังนั้นพอเธอไปถึงอเมริกาเธอจึงสมัครเข้าเรียนต่อในระดับปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยมิชซูรี
ก่อน เพื่อฝึกฝนการใช้ภาษา และในช่วงที่กำลังเรียนอยู่ก็ใช้เวลาว่างทำงานเพื่อหาเงินเป็นค่าเล่าเรียน เพื่อฝึกฝนการใช้ภาษาให้ดียิ่งขึ้นด้วย การทำงานในอเมริกาเมื่อ 40 ปีที่ผ่านมา ค่าแรงงานคิดเป็นชั่วโมง ชั่วโมงละ 3 เหรียญ 50 เซ็นต์ เธอทำงานวันละ 3 แห่ง ตื่นตั้งแต่ตีสี่ เข้าทำงานตีห้า ออกจากงานเข้าเรียนตอน 9 โมงเช้า เลิกเรียน 5 โมงเย็น เข้าทำงานต่อจนถึง 2 ทุ่ม เสาร์ - อาทิตย์ ทำงานเต็มวัน
อีกแห่ง อาทิตย์หนึ่ง ๆ เธอจึงมีเงินเหลือเฟือ สามารถส่งเงินมายังเมืองไทย ซื้อบ้านได้หนึ่งหลังภายในเวลาเพียงปีเดียว
หลังจากใช้ชีวิตเรียนอยู่ในมิชซูรี 2 ปี เธอก็ได้ย้ายเข้าไปยังมหานครนิวยอร์ก ไปพักอยู่กับเพื่อนรุ่นน้อง 3 คน ในห้องแคบ ๆ เป็นการประหยัดเงิน
ที่มหานครนิวยอร์ก ดร.สกุลรัตน์ ได้เข้าทำงานเป็นพนักงานต้อนรับในห้องอาหารระดับวีไอพี ในห้องอาหารออสการ์ ของโรงแรมวอลดอร์ฟออสเตรเลีย ซึ่งตั้งอยู่กลางมหานครนิวยอร์ก เป็นโรงแรมระดับหนึ่งของโลก มีรายได้ชั่วโมงละ 7 เหรียญ (ในยุคเมื่อ 40 ปีนั้น) และมีสวัสดิการทุกอย่างเหมือนกับพนักงานทุกคน
ดร.สกุลรัตน์ ทำงานที่นี่วันละ 8 ชั่วโมง โดยเข้าทำงานตี 5 เลิกบ่าย 2 โมง ตอนกลางคืนไปเป็นพนักงานเสิร์ฟที่ห้องอาหารอีกแห่งหนึ่ง ได้ทั้งเงินค่าจ้าง และเงินทิป ทำให้เธอมีฐานะการเงินที่ดี จนสามารถเข้าศึกษาต่อได้อย่างสะดวก และในช่วงเวลานี้เองที่เธอเข้าศึกษาต่อในระดับดอกเตอร์ และเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาโทสาขาอื่นควบคู่กันไปด้วย
ผลจากการเรียนในยุคที่เธอมีกำลังเงินฟู่ฟ่านี่เอง ทำให้เธอสำเร็จการศึกษาได้รับปริญญาโท และปริญญาเอก ทางด้านการบริหารการศึกษาจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย นิวยอร์ก
ชีวิตของ ดร.สกุลรัตน์ ในยามนี้แม้เธอจะมีเงินมาก แต่เธอก็ต้องอดทนและเหนื่อยต่อการทำงานไม่น้อย แต่ถึงอย่างไรเธอก็ไม่เคยท้อถอยเพราะเธอคิดว่า ชีวิตคือการต่อสู้ อุปสรรคของชีวิตคือแรงบันดาลใจให้คนมีความมานะพยายาม เธอยังคงใช้เวลาในการร่ำเรียนเก็บเกี่ยวปริญญาอย่างต่อเนื่อง จนเมื่อโอกาสเปิดให้เธอมีสิทธิ์ที่จะนำเอาลูกมาเรียนต่อในอเมริกาได้ เธอก็หยิบยื่นโอกาสนั้นให้แก่ลูกชายทั้งสองโดยทันที
หลังจากที่เธอคว้าปริญญาโทในอเมริกามาได้อีก 4 ใบ และปริญญาเอกอีก 1 ใบ รวมทั้งหมดเธอได้ปริญญาโท 5 ใบ ปริญญาเอก 2 ใบ เธอก็ตัดสินใจที่จะนำลูกเข้ามาเรียนต่อในอเมริกา
ลูกทั้งสองของเธอในตอนนั้น คนโตจบชั้น ม.3 และคนเล็ก จบชั้น ม.2 จากเมืองไทย เธอก็นำเอาลูกชายไปเรียนต่อในอเมริกาทันที โดยอาศัยกรีนการ์ดเข้าเมืองทั้งคู่ บุตรทั้งสองมีสิทธิ์เข้าเรียนในเกณฑ์บังคับโดยไม่ต้องสอบ มีหนังสือให้เรียนฟรี มีอาหารกลางวันให้รับประทานฟรี รวมทั้งในค่าเดินทางไปโรงเรียนอีกด้วย
เมื่อลูกชายทั้งสองเรียนจบเกรด 12 แล้ว ทั้งคู่ก็เข้าเรียนต่อวิชาวิศวกรรมศาสตร์เพื่อจะได้จบออกมาทำงานเป็นหลักฐานที่มั่นคง ในช่วงที่ลูกทั้งสองกำลังเรียนอยู่ในระดับมหาวิทยาลัยนั้น คุณพ่อ คือ พ.ต.ประสิทธิ์ ที่รับราชการอยู่ต่างจังหวัดในประเทศไทยเสียชีวิต ลูกทั้งสองก็ไม่ท้อถอยพยายามเรียนต่อไปจนจบ และปักรกรากทำงานมีครอบครัวอยู่ในอเมริกามาจนถึงทุกวันนี้
แม้ชีวิตของ ดร.สกุลรัตน์ กมุทมาศ จะพบกับความสำเร็จทางการศึกษา ด้วยปริญญาเอก 2 ใบ สองสาขา และ ปริญญาโท 5 ใบ ห้าสาขาวิชา และมีชีวิตอยู่อย่างเป็นสุขกับลูกชายทั้งสองในมหานครนิวยอร์ก แต่ ดร.สกุลรัตน์ ก็ยังไม่เคยลืมประเทศไทย เมืองพ่อเมืองแม่ เธอได้หอบความรู้ที่เก็บเกี่ยวเอาไว้ทั้งหมด มาพัฒนาประเทศไทยเมื่อมีโอกาส ทำกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือส่งเสริมด้านการศึกษาในเมืองไทย ของ ดร.สกุลรัตน์ จะเริ่มไปที่การเสริมสร้างความรู้ให้แก่บุคลากรที่จะนำเอาความรู้ไปพัฒนาประเทศด้วยการรับอบรมครูอาจารย์เพื่อนำวิชาไปสอนนักเรียน โดยไม่คิดมูลค่า ทั้งนี้เธอคิดแค่เพียงว่าเป็นการบำเพ็ญประโยชน์แก่สังคม และเป็นการแบ่งปันความรู้ที่เธอร่ำเรียนมาใหแก่สังคมเพื่อถ่ายทอดกันออกไป ซึ่งใครที่ต้องการจะให้เธอไปบรรยายเกี่ยวกับวิชาการ สามารถติดต่อเธอได้ที่ โทร 0-9896-7047 และ 0-1566-8234 โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น
นอกจากจะเป็นวิทยากรอบรมฟรีแล้ว ดร.สกุลรัตน์ ยังได้แต่งตำราเรียนขึ้นมากกว่า 200 เล่ม โดยเฉพาะในวิชาภาษาอังกฤษ ซึ่งจัดว่าเป็นตำราเรียนภาษาอังกฤษที่ดีที่สุด เพราะเธอดัดแปลง และใช้ความรู้จากประสบการณ์ที่เรียนอยู่ในอเมริกาประยุกต์ขึ้นให้เป็นตำราที่ง่ายต่อการเรียน สะดวกต่อความเข้าใจ นอกจากนี้เธอยังเขียนหนังสือวิธีป้องกันปัญหายาเสพติด และการประกอบอาชีพ หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ ให้กับสำนักพิมพ์ประสานมิตร เพื่อจำหน่ายออกไปให้เป็นประโยชน์ต่อสังคมอีกด้วย
วันนี้ ดร.สกุลรัตน์ จัดตั้งชมรมอาวุโสสัมพันธ์ รวมผู้อาวุโสทำประโยชน์เพื่อเยาวชน, เป็นประธานมูลนิธิพัฒนาอาชีพไทย เพื่อให้งานหัตถกรรม หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ขยายสู่ตลาดโลก, ตั้งมูลนิธิช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาส จัดหาทุนการศึกษาให้เด็กด้อยโอกาสทางการศึกษาและร่วมงานสังคมสงเคราะห์อื่น ๆ อีกหลายแห่ง
ตลอดระยะเวลา 37 ปีที่ ดร.สกุลรัตน์ ใช้ชีวิตร่ำเรียนและทำงานอยู่ในอเมริกา ทุกปีเธอจะกลับมายังประเทศไทยเพื่อนำทุนการศึกษามามอบให้กับเด็กไทยที่เรียนดีทางภาคอีสานและภาคอื่น ๆ อย่างสม่ำเสมอมิได้ขาด ทั้งนี้เธอได้ร่วมกับคนไทยในนิวยอร์ก โดยเฉพาะกับ คุณกองทัพ จันทรศรีสุริยวงศ์ อดีตนักกีฬาเยาวชนทีมชาติ สายเลือดอีสาน ชาวอุดรฯ ก่อตั้ง มูลนิธิพัฒนาอาชีพ นำเงินที่ได้รับการบริจาคจากคนไทยในอเมริกา และคนอเมริกามามอบให้กับเยาวชนในประเทศไทย
วันนี้แม้งานทางด้านการเล่าเรียนของ ดร.สกุลรัตน์ จะสิ้นสุดลงในภาคสถาบัน แต่การศึกษาในเรื่องราวของชีวิตคนไทยยังไม่จบสิ้นลง เพราะเธอยังตั้งปณิธานต่อไปในชีวิตวัยเกือบจะ 70 ปีของเธอว่า เธอจะใช้ความรู้ความสามารถที่มีอยู่มาพัฒนาประเทศชาติ และส่งเสริมเยาวชนไทยให้ก้าวไปข้างหน้า ให้พวกเขาพบโอกาสดี ๆ ดังเช่นที่เธอเคยพบมา
บทสัมภาษณ์โดย ชนิตร ภู่กาญจน์
ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์แนวหน้า หน้าการศึกษา ประจำวันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน พ.ศ.2547
|