บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อการพัฒนารูปแบบการจัดการความรู้ในการบริหารงานวิชาการโดยกระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมโรงเรียนเนินยางประชาสามัคคี อำเภอคำม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยใช้แนวคิดของเคมมิสและแม็กแทกการ์ท ผู้ให้ข้อมูลหลัก ได้แก่ หัวหน้ากลุ่มงานวิชาการ1 คน ทีมครูจัดการความรู้งานวิชาการ จำนวน 8 คน กลุ่มผู้ให้ข้อมูลเพิ่มเติม ได้แก่ กรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของโรงเรียนเนินยางประชาสามัคคี อำเภอคำม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์จำนวน 5 คนซึ่งได้มาโดยการเจาะจง (Purposive Sampling)การเก็บรวบรวมข้อมูลใช้วิธีการวิเคราะห์เอกสาร การสังเกตและสัมภาษณ์เชิงลึก การสังเกตแบบมีส่วนร่วม และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้วิธีวิเคราะห์เชิงปรากฏการณ์วิทยา
ผลการวิจัย พบว่า รูปแบบการจัดการความรู้ในการบริหารงานวิชาการ เป็นรูปแบบการจัดการความรู้เชิงกระบวนการ ซึ่งเป็นรูปแบบที่เหมาะสมกับโรงเรียนเนินยางประชาสามัคคี มี 2 กระบวนการหลัก คือ 1) ด้านการบริหารงานวิชาการ ประกอบด้วยกิจกรรม การจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ตามสาระและหน่วยการเรียนรู้ การจัดกระบวนการเรียนรู้ และการนิเทศการสอน 2) ด้านกระบวนการจัดการความรู้ ประกอบด้วย
ด้านการบริหารงานวิชาการ การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ ประกอบด้วย กิจกรรมการจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ตามสาระและหน่วยการเรียนรู้ โดยส่งเสริมให้ครูจัดทำแผนการเรียนรู้ ตามสาระและหน่วยการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ การจัดกระบวนการเรียนรู้ส่งเสริมสนับสนุนให้ครูจัดกระบวนการเรียนรู้ จัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมฝึกทักษะ กระบวนการคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ที่สอดคล้องกับเนื้อหาสาระกิจกรรม จัดบรรยากาศและสิ่งแวดล้อม และแหล่งเรียนรู้ให้เอื้อต่อการจัดกระบวนการเรียนรู้
ด้านกระบวนการจัดการความรู้ มีการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ ประกอบด้วย การระบุความรู้ การแสวงหาความรู้ การสร้างความรู้ การจัดเก็บความรู้ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และการนำความรู้ไปใช้
การระบุความรู้ ให้ความสำคัญกับการพิจารณาว่า องค์กรมีวิสัยทัศน์ พันธกิจ ยุทธศาสตร์ เป้าหมายคืออะไร และเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย เราจำเป็นต้องใช้อะไร ขณะนี้เรามีความรู้อะไรบ้าง อยู่ในรูปแบบใด อยู่ที่ใครและต้องการให้เกิดความรู้ในตนเองและองค์กร เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของ การพัฒนา
การแสวงหาความรู้ เน้นกระบวนการสร้างและแสวงหาความรู้ เช่น การสร้างความรู้ใหม่ แสวงหาความรู้จากภายนอกรักษาความรู้เก่า กำจัดความรู้ที่ใช้ไม่ได้แล้ว เพิ่มความรู้ทักษะทัศนคติความสามารถของบุคคลในการปฏิบัติงานทั้งในปัจจุบัน และแนวโน้มในอนาคตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในองค์กรโดยที่คณะบุคคลมีความเจริญก้าวหน้าขึ้นด้วย
การสร้างความรู้ เป็นการนำความรู้ใหม่ที่ได้รับจากการศึกษาความรู้ด้วยตนเองจากบุคคลอื่น และจากประสบการณ์การทำงาน มาหลอมรวมเป็นองค์ความรู้ใหม่ เพื่อนำไปใช้ในการจัดการเรียน การสอน คือ 1) นำความรู้ที่มีอยู่เดิมของตนเองนำมาเขียนในลักษณะเป็นเทคนิควิธีการ หรือขั้นตอนในการจัดการเรียนการสอน 2) เทียบเคียงความรู้ของตนเองกับความรู้ใหม่ที่ได้รับ 3) สังเคราะห์เป็นความรู้ใหม่ของตนเองเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงปรับเปลี่ยนกระบวนการเรียนการสอน รู้จักพัฒนาตนเองยอมรับความคิดเห็นของคนอื่น มีความคิดสร้างสรรค์ ใฝ่เรียนรู้ รู้จักวิธีการเรียนลัดและต่อยอดความรู้เพิ่มขึ้นโดยการสอนงาน
การจัดเก็บความรู้ เป็นการรวบรวมองค์ความรู้ที่มีอยู่ในองค์กร ซึ่งกระจัดกระจายอยู่ในตัวบุคคลหรือเอกสารมาพัฒนาให้เป็นระบบ เพื่อให้ทุกคนในองค์กรสามารถเข้าถึงความรู้และพัฒนาตนเองให้เป็นผู้รู้ รวมทั้งปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อันจะส่งผลให้องค์กรมีความสามารถในเชิงแข่งขันสูงสุด โดยดำเนินการพัฒนา/สร้างความรู้ ในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ จัดทำทะเบียนแหล่งเรียนรู้ รายชื่อผู้รู้ในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ ให้อยู่ในรูปสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น CD, VCD, DVD เป็นต้น มาเก็บให้เป็นระบบเป็นการทำให้ผู้ใช้ความรู้เข้าถึงความรู้ที่ต้องการได้ง่ายและสะดวก
การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เป็นการแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้ที่มีอยู่ในแต่ละคนให้คณะได้รับความรู้ด้วยกัน ดำเนินการโดยจัดให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในการประชุมย่อย ประชุมประจำเดือน มีการนิเทศแบบเพื่อนช่วยเพื่อนในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้และจัดตลาดนัดความรู้ในแต่ละกลุ่มสาระ การเรียนรู้ รวมถึงการจัดนิทรรศการผลงานทางวิชาการ
นำความรู้ไปใช้ เป็นการที่ครูได้รับความรู้จากการศึกษาตำรา การแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากประสบการณ์การทำงาน จนเกิดการพัฒนาเป็นองค์ความรู้ทักษะแนวคิดส่งผลถึงเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นพฤติกรรมใหม่ และนำความรู้ที่ได้ไปใช้จัดกิจกรรมการเรียนการสอนอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล