บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อพัฒนาบทเรียนสำเร็จรูป โดยใช้เทคนิคการสอนแบบตั้งคำถามตามแนวของบลูม (Blooming Worksheets) กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม สาระพระพุทธศาสนา ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80
2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ก่อนและหลังเรียนด้วยบทเรียนสำเร็จรูป โดยใช้เทคนิคการสอนแบบตั้งคำถามตามแนวของบลูม (Blooming Worksheets) และ 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อบทเรียนสำเร็จรูป โดยใช้เทคนิคการสอนแบบตั้งคำถามตามแนวของบลูม (Blooming Worksheets)
กลุ่มประชากร ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 30 คน ภาคเรียนที่ 2
ปีการศึกษา 2557 โรงเรียนวัดห้วยนาง (วันครู 2501) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตรัง เขต 2 จังหวัดตรัง จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) บทเรียนสำเร็จรูป กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม สาระพระพุทธศาสนา ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 9 เล่ม 2) แผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้เทคนิคการสอนแบบตั้งคำถามตามแนวของบลูม (Blooming Worksheets) จำนวน 18 แผน 20 ชั่วโมง 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม สาระพระพุทธศาสนา ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 30 ข้อ และ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจสำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 แบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ของลิเคิร์ท จำนวน 10 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า 1) บทเรียนสำเร็จรูป กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมที่สร้างขึ้น มีประสิทธิภาพเท่ากับ 82.33/82.90 2) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่เรียนด้วยบทเรียนสำเร็จรูป โดยใช้เทคนิคการสอนแบบตั้งคำถามตามแนวของบลูม (Blooming Worksheets) มีคะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ 3) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อบทเรียนสำเร็จรูป โดยใช้เทคนิคการสอนแบบตั้งคำถามตามแนวของบลูม (Blooming Worksheets) โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (ค่าเฉลี่ย = 4.52, ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน = 0.48)
จากการทดลองในครั้งนี้ พบว่า การจัดการเรียนรู้ด้วยบทเรียนสำเร็จรูป โดยใช้เทคนิคการสอนแบบตั้งคำถามตามแนวของบลูม (Blooming Worksheets) ทำให้นักเรียนตอบสนองต่อบทเรียนสำเร็จรูป โดยการใช้คำถามและทราบผลย้อนกลับทันที นักเรียนได้ศึกษาหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับปัญหาและลองคาดเดาคำตอบ ยกตัวอย่าง หรือแนะนำแหล่งเรียนรู้ นักเรียนได้แสวงหาวิธีการในการหาคำตอบหลากหลายวิธี ทำให้รู้จักประเมินและตัดสินใจเลือกวิธีที่เหมาะสม เพื่อให้ได้มาซึ่งคำตอบ ฝึกให้นักเรียนรู้จักวางแผนและทำงานเป็นขั้นตอน เป็นการเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการเรียน ทำให้เกิดความเข้าใจเนื้อหาของบทเรียนสำเร็จรูปยิ่งขึ้น ส่งผลให้มีคะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอีกทั้ง ยังส่งเสริมให้นักเรียนมีความรับผิดชอบต่อตนเอง เกิดความมั่นใจในการเรียนรู้ด้วยตนเอง นอกจากนี้ ยังฝึกให้นักเรียนมีความซื่อสัตย์ต่อตนเอง ซึ่งเป็นคุณธรรมที่สำคัญในการดำรงชีวิตอีกด้วย