บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนากิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ตามแนวคิด ทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ ที่เน้นกระบวนการแก้ปัญหาของ Polya เรื่อง โจทย์ปัญหาการบวก การลบ การคูณ และการหารเศษส่วน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 2) เพื่อศึกษาทักษะ การแก้ปัญหา เรื่อง โจทย์ปัญหาการบวก การลบ การคูณ และการหารเศษส่วนของนักเรียน และ 3) เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง โจทย์ปัญหาการบวก การลบ การคูณ และการหารเศษส่วน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ให้นักเรียนไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนร้อยละ 75 ขึ้นไป
กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนที่กำลังศึกษาอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ปีการศึกษา 2560 โรงเรียนตลาดนัดบาซาเอ อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปัตตานี เขต 2 จำนวน 28 คน
รูปแบบการวิจัย เชิงปฏิบัติการ ประกอบด้วยขั้นตอน 4 ขั้นตอน ได้แก่ 1) ขั้นวางแผน 2) ขั้นปฏิบัติการ 3) ขั้นสังเกตการณ์ และ 4) ขั้นสะท้อนผลการปฏิบัติ
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) เครื่องมือที่ใช้ในการทดลองปฏิบัติ ได้แก่ แผนการจัด การเรียนรู้คณิตศาสตร์ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ ที่เน้นกระบวนการแก้ปัญหาของ Polya เรื่อง โจทย์ปัญหาการบวก การลบ การคูณ และการหารเศษส่วน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 12 แผน 2) เครื่องมือที่ใช้ในการสะท้อนผลการปฏิบัติ ได้แก่ แบบสังเกตพฤติกรรมการเรียนของนักเรียน แบบบันทึกผลการใช้แผนการจัดการเรียนรู้ แบบสัมภาษณ์นักเรียน ใบกิจกรรม การแก้ปัญหารายบุคคลและระดับกลุ่มย่อย แบบฝึกทักษะ และแบบทดสอบท้ายวงจร 3) เครื่องมือในการประเมินประสิทธิภาพการจัดการเรียนรู้ ได้แก่ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง โจทย์ปัญหาการบวก การลบ การคูณ และการหารเศษส่วน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
ผลการวิจัยพบว่า
1. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ ที่เน้นกระบวนการแก้ปัญหาของ Polya เรื่อง โจทย์ปัญหาการบวก การลบ การคูณ และการหารเศษส่วน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เป็นรูปแบบการจัดกิจกรรมที่ประกอบด้วยขั้นตอน 5 ขั้น ได้แก่ 1) ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน เป็นการแจ้งจุดประสงค์การเรียนให้นักเรียนทราบและทบทวนความรู้เดิมเพื่อเตรียมความพร้อมของนักเรียนโดยครูจะต้องค้นหาถึงความรู้และประสบการณ์เดิมของนักเรียน ซึ่งในขั้นนี้จะเกิดการคิดเชื่อมโยง แยกแยะ จัดหมวดหมู่ของความรู้ที่มีอยู่เดิม 2) ขั้นสอน ประกอบด้วยขั้นตอนย่อย ๆ ได้แก่ (1) ขั้นเผชิญสถานการณ์ปัญหาและแก้ปัญหาเป็นรายบุคคล เป็นการสร้าง ความขัดแย้งทางปัญญา ครูเสนอสถานการณ์ที่เป็นปัญหาที่จะนำไปสู่การสร้างโครงสร้างใหม่ทางปัญญา ให้นักเรียนคิดแก้ปัญหาเป็นรายบุคคลตามขั้นตอนการแก้ปัญหาของ Polya มีขั้นตอน 4 ขั้น คือ
ขั้นที่ 1 ขั้นทำความเข้าใจปัญหา เป็นขั้นตอนที่นักเรียนอ่านโจทย์เพื่อทำความเข้าใจปัญหา คิดวิเคราะห์ถึงเป้าหมายของสถานการณ์ปัญหาโดยสามารถคิดแยกแยะได้ว่าโจทย์ปัญหาเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร โจทย์กำหนดอะไรให้บ้าง โจทย์ให้หาอะไร ขั้นที่ 2 ขั้นวางแผน การแก้ปัญหา เป็นขั้นที่นักเรียนหายุทธวิธี หรือแนวคิดที่จะสามารถนำมาใช้ในการแก้ปัญหา โดยนักเรียนต้องคิดเชื่อมโยงความรู้เดิมที่มีกับข้อมูลที่โจทย์กำหนด ในการวางแผนแก้ปัญหาอย่างมีเหตุผลโดยเขียนรายละเอียดว่าจะดำเนินการตามขั้นตอนอย่างไร ขั้นที่ 3 ขั้นดำเนินการตามแผน เป็นขั้นที่นักเรียนได้เขียนอธิบายการหาคำตอบตามแผนที่วางไว้อย่างเป็นขั้นตอน ซึ่งในขั้นนี้นักเรียนจะเกิดทักษะในการแก้ปัญหาโดยนักเรียนต้องหาคำตอบได้อย่างถูกต้อง พร้อมทั้งแสดงวิธีหาคำตอบอย่างชัดเจน ขั้นที่ 4 ขั้นมองย้อนกลับเป็นขั้นที่นักเรียนต้องตรวจสอบคำตอบที่ได้ว่ามี ความถูกต้องสมเหตุสมผล และเขียนแสดงวิธีการตรวจสอบคำตอบได้อย่างถูกต้อง โดยการเขียนภาพประกอบเพื่อให้เกิด ความเข้าใจและแสดงให้เห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้น สามารถคิดประยุกต์ใช้ ในสถานการณ์อื่น ๆ ได้ (2)ขั้นไตร่ตรองระดับกลุ่มย่อย เป็นขั้นที่นักเรียนเข้ากลุ่มย่อยแบบคละความสามารถกลุ่มละ 4 คน นักเรียนแต่ละคนเสนอวิธีการและคำตอบต่อกลุ่มของตน สมาชิกในกลุ่มช่วยกันตรวจสอบวิธีการและคำตอบ ของสมาชิกในกลุ่มโดยการอภิปรายแลกเปลี่ยน ความคิดเห็นซึ่งกันและกันตามขั้นตอนการแก้ปัญหาของ Polya หลังจากนั้นสมาชิกในกลุ่มตกลงเลือก วิธีทำที่เป็นที่ยอมรับได้ของสมาชิกและช่วยกันทำให้สมาชิกในกลุ่มมีความพร้อมที่จะเป็นตัวแทนในการนำเสนอผลงานของกลุ่ม ตอบข้อซักถามและชี้แจงเหตุผลต่อกลุ่มใหญ่ได้ (3) ขั้นไตร่ตรองระดับชั้นเรียน สุ่มตัวแทนกลุ่มย่อยแต่ละกลุ่ม นำเสนอแนวทางแก้ปัญหาของกลุ่มต่อ ชั้นเรียน และสุ่มตัวแทนนักเรียนนำเสนอแนวทางแก้ปัญหาของตนเองต่อชั้นเรียน เพื่อให้เพื่อนในชั้นเรียน ได้อภิปรายและแสดงความคิดเห็นตรวจสอบความถูกต้อง และกลุ่มอื่น ๆ หรือนักเรียนคนอื่น ๆ นำเสนอวิธีคิดที่แตกต่างต่อชั้นเรียน แล้วนักเรียนร่วมกันอภิปรายและแสดงความคิดเห็นตรวจสอบความถูกต้อง ของแนวทางแก้ปัญหาแต่ละวิธีที่นักเรียนได้นำเสนอไว้ 3) ขั้นสรุป นักเรียนร่วมกันสรุปแนวคิด หลักการ และกระบวนการแก้ปัญหาในเรื่องที่เรียน ครูช่วยสรุปเพิ่มเติมเพื่อให้นักเรียนได้ความคิดรวบยอดและหลักการที่ถูกต้อง 4) ขั้นฝึกทักษะ เป็นขั้น ที่นักเรียนทำแบบฝึกทักษะในการแก้โจทย์ปัญหาที่คล้ายกับเรื่องที่เรียนในชั่วโมงและมีความหลากหลาย 5) ขั้นประเมินผลเป็นขั้นที่ครูประเมินจากการสังเกตพฤติกรรม ใบกิจกรรมและแบบฝึกทักษะ แบบทดสอบท้ายวงจร และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
2. นักเรียนมีคะแนนทักษะการแก้ปัญหา ดังนี้ วงจรที่ 1 นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ย 15.57 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 77.86 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 2.94 ในวงจรที่ 2 นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ย 17.39 คะแนน ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 86.96 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 2.23 ในวงจรที่ 3 นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 17.71 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 88.57 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 2.24 และจากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบอัตนัย นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 17.39 คะแนน ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 86.96 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 2.36 ส่วนคะแนนรวมของแบบทดสอบแบบอัตนัยเพื่อวัดทักษะการแก้ปัญหา นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 68.07 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 85.09 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 9.31
3. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยร้อยละ 82.29 และมีนักเรียนผ่านเกณฑ์จำนวน 22 คน คิดเป็นร้อยละ 78.57 ของจำนวนนักเรียนทั้งหมด ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ คือ ให้นักเรียนไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนร้อยละ 75 ขึ้นไป