บทคัดย่อ
รายงานการพัฒนาเอกสารประกอบการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี เรื่องงานประดิษฐ์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีวัตถุประสงค์การศึกษาดังนี้ 1) เพื่อพัฒนาเอกสารประกอบการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี เรื่องงานประดิษฐ์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ระหว่างก่อนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/1 ที่เรียนด้วยเอกสารประกอบการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี เรื่องงานประดิษฐ์ 3) เพื่อหาค่าดัชนีประสิทธิผลของเอกสารประกอบการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี เรื่องงานประดิษฐ์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มตัวอย่างได้แก่ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/1 โรงเรียนฝั่งแดงวิทยาสรรค์สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 19 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2559 จำนวน 28 คน ได้มาโดยการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) เครื่องมือ ที่ใช้ในการศึกษาได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่องงานประดิษฐ์ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 9 แผน ค่าความเหมาะสมเท่ากับ 4.51 2) เอกสารประกอบการเรียน เรื่องงานประดิษฐ์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 9 เล่ม ค่าความเหมาะสมเท่ากับ 4.46 3) แบบทด
สอบย่อยระหว่างเรียนด้วยเอกสารประกอบการเรียน เรื่องงานประดิษฐ์ ชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 3 เป็นแบบชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 9 ชุด ๆ ละ 10 ข้อ รวม 90 ข้อ ค่าอำนาจจำแนกเท่ากับ .20-.80 ค่าความยากง่ายเท่ากับ .23-.80 และค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.87 4) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน (Pre-test) และหลังเรียน (Post-test) เรื่องงานประดิษฐ์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เป็นแบบเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ ค่าอำนาจจำแนกเท่ากับ .23-.80 ค่าความยากง่ายเท่ากับ .20-.80 และค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.92 รวบรวมข้อมูลโดยการใช้แบบแผนการทดลองแบบ
One Group Pre-test Post-test Design ทดสอบกลุ่มตัวอย่างก่อนเรียน (Pre-test)
ทำการสอนตามแผนที่ออกแบบไว้ ทดสอบย่อยระหว่างเรียน และทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนหลังเรียน (Post-test) วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ E1/ E2 หาประสิทธิภาพ
ของเอกสารประกอบการเรียน ใช้ t - test ทดสอบสมมติฐานเปรียบเทียบคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียน ใช้ E.I. วิเคราะห์ค่าดัชนีประสิทธิผลของเอกสารประกอบการเรียน ใช้ IOC วิเคราะห์ค่าความสอดคล้องของแบบทดสอบ ใช้สถิติหาค่าอำนาจจำแนก (B) ค่าความยากง่าย (p) ความเชื่อมั่นของแบบทดสอบทั้งฉบับ (rcc) และใช้สถิติพื้นฐานวิเคราะห์ค่าเฉลี่ย
( X-bar) ร้อยละ (P) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ผลการศึกษาพบว่า
1.ประสิทธิภาพของเอกสารประกอบการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพ และเทคโนโลยี เรื่องงานประดิษฐ์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีค่าเท่ากับ 82.34/81.78
ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้
2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่เรียนด้วยเอกสารประกอบการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี เรื่องงานประดิษฐ์
หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้
3. ดัชนีประสิทธิผลเอกสารประกอบการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพ
และเทคโนโลยี เรื่องงานประดิษฐ์เท่ากับ 0.6667 แสดงว่าเอกสารประกอบการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี เรื่องงานประดิษฐ์ ชุดนี้ทำให้นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีความก้าวหน้าในการเรียนเพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 66.67 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ยอมรับได้