ชื่อเรื่องรายงานผลการเรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และความสามารถในการคิด
สร้างสรรค์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสืบสวน
สอบสวนกับการจัดการเรียนรู้แบบใช้แผนที่ความคิด
ชื่อผู้วิจัยนางสุรัสวดี ญาณศิริ
ปีที่วิจัย2558
.............................................................................................................................................................
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายดังนี้ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ก่อนและหลังได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสืบสวนสอบสวน 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ก่อนและหลังได้รับการจัดการเรียนรู้แบบใช้แผนที่ความคิด 3) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หลังได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสืบสวนสอบสวนและแบบใช้แผนที่ความคิด 4) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการคิดสร้างสรรค์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ก่อนและหลังได้รับการจัดการเรียนรู้แบบใช้สืบสวนสอบสวน 5) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการคิดสร้างสรรค์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ก่อนและหลังได้รับการจัดการเรียนรู้แบบใช้แผนที่ความคิด และ 6) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการคิดสร้างสรรค์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หลังได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสืบสวนสอบสวนและแบบใช้แผนที่ความคิด กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนเทศบาลท่าโขลง ๑ สังกัดกองการศึกษาเทศบาลเมืองท่าโขลง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2558 จำนวน 2 ห้องเรียน ห้องเรียนละ 25 คน รวม 50 คน ซึ่งได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยในการสุ่ม และจับสลากเป็นกลุ่มทดลอง 2 กลุ่ม ดังนี้ 1) กลุ่มทดลองที่ 1 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/1 จำนวน 25 คน ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสืบสวนสอบสวน 2) กลุ่มทดลองที่ 2 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/2 จำนวน 25 คน ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบใช้แผนที่ความคิด เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนการสอนแบบสืบสวนสอบสวน ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น แบ่งเป็น 4 แผนใช้เวลา 12 ชั่วโมง 2) แผนการจัดการเรียนการสอนแบบใช้แผนที่ความคิดที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น แบ่งเป็น 4 แผน ใช้เวลา 12 ชั่วโมง 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเป็นแบบเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 40 ข้อ ค่าความยากง่าย (p) ระหว่าง 0.57 0.75 ค่าอำนาจจำแนก (r) ระหว่าง 0.20 0.50 และความความเชื่อมั่น 0.89 และ 4) แบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดสร้างสรรค์ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเป็นแบบอัตนัย จำนวน 20 ข้อ ค่าวามความยากง่าย (p) ระหว่าง 0.62 0.75 ค่าอำนาจจำแนก (r) ระหว่าง 0.25 0.50 และค่าความเชื่อมั่น 0.77 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ t test for Dependent Sample, t test for Independent Sample ในรูป Difference Score และ Analysis of Covariance : ANCOVA
ผลการวิจัยพบว่า
1. นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนแบบสืบสวนสอบสวน มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
2. นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนแบบใช้แผนที่ความคิด มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
3. นักเรียนได้รับการจัดการเรียนการสอนแบบสืบสวนสอบสวนกับนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนแบบใช้แผนที่ความคิด มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไม่แตกต่างกัน
4. นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนแบบสืบสวนสอบสวนมีความสามารถในการคิดสร้างสรรค์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
5. นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนแบบใช้แผนที่ความคิด มีความสามารถในการคิดสร้างสรรค์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
6. นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนแบบสืบสวนสอบสวนกับนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนแบบใช้แผนที่ความคิด มีความสามารถในการคิดสร้างสรรค์ไม่แตกต่างกัน