ชื่อเรื่อง การพัฒนารูปแบบการเรียนแบบร่วมมือ โดยใช้รูปแบบการสอนแบบ STAD ร่วมกับ TGT หน่วยการเรียนรู้อาเซียนศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
ผู้วิจัย นางสุพัตรา เกษมเรืองวิชชญ์
ปีการศึกษา 2557
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาและองค์ความรู้เกี่ยวกับการเรียนแบบร่วมมือในการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2) เพื่อพัฒนารูปแบบการเรียนแบบร่วมมือ โดยใช้รูปแบบการสอนแบบ STAD ร่วมกับ TGT หน่วยการเรียนรู้อาเซียนศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 3) เพื่อทดลองใช้รูปแบบการเรียนแบบร่วมมือ โดยใช้รูปแบบการสอนแบบ STAD ร่วมกับ TGT หน่วยการเรียนรู้อาเซียนศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และ 4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อการเรียนแบบร่วมมือ โดยใช้รูปแบบการสอนแบบ STAD ร่วมกับ TGT หน่วยการเรียนรู้อาเซียนศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ประชากรที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 10 คน กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 ปีการศึกษา 255 จำนวน 25 คน และ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ในปีการศึกษา 2557 จำนวน 56 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ แบบวิเคราะห์เอกสาร แผนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ แบบประเมินแผนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและค่าประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ ทดสอบค่าเฉลี่ยโดยใช้ค่าที (t-test) และการวิเคราะห์เนื้อหา
สรุปผลการวิจัย
1. ผลการศึกษาสภาพปัญหาและองค์ความรู้ที่เกี่ยวกับการเรียนแบบร่วมมือ
1.1 ผลการศึกษาสภาพปัญหาการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม พบว่า ครูยังคงเน้นการบรรยายเนื้อหาเป็นหลัก ไม่มีรูปแบบการสอน เทคนิควิธีการสอน และกระบวนการจัดการเรียนการสอนที่แปลกใหม่ไม่น่าสนใจ ครูใช้สื่อและเทคโนโลยีในการจัดการเรียนการสอนน้อย สื่อ อุปกรณ์ไม่เพียงพอ เก่าและขาดคุณภาพ ครูขาดการบูรณาการการเรียนการสอนโดยใช้แหล่งเรียนรู้ในชุมชน และครูภูมิปัญญา นักเรียนมีความหลากหลายและแตกต่างกัน แหล่งเรียนรู้ภายในโรงเรียนไม่เพียงพอ นักเรียนไม่ตั้งใจเรียนขาดเรียนบ่อย ขาดความสามารถด้านกระบวนการคิด ไม่กระตือรือร้น ไม่สนใจใฝ่รู้
1.2 องค์ความรู้เกี่ยวกับการจัดการเรียนแบบร่วมมือ พบว่า การเรียนรู้แบบร่วมมือ เป็นวิธีการจัดการเรียนการสอนรูปแบบหนึ่งที่เน้นให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติงานเป็นกลุ่มย่อย โดยมีสมาชิกกลุ่มที่มีความสามารถแตกต่างกัน เพื่อเสริมสร้างสมรรถภาพการเรียนรู้ของแต่ละคนสนับสนุนให้มีการช่วยเหลือซึ่งกันและกันจนบรรลุตามวัตถุประสงค์ สมาชิกแต่ละคนในทีมจะมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันในการเรียนรู้ และจะได้รับการกระตุ้นให้เกิดแรงจูงใจเพื่อที่จะช่วยเหลือและเพิ่มพูนการเรียนรู้ของสมาชิกในทีม
2. ผลการพัฒนารูปแบบการเรียนแบบร่วมมือ โดยใช้รูปแบบการสอนแบบ STAD ร่วมกับ TGT
2.1 ผลการพัฒนารูปแบบการเรียนแบบร่วมมือ โดยใช้รูปแบบการสอนแบบ STAD ร่วมกับ TGT พบว่า มีองค์ประกอบที่สำคัญ คือ รูปแบบวิธีสอนที่คำนึงถึงความต้องการและความสนใจของผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ให้มากที่สุด ได้แก่ การเรียนแบบการประสบความสำเร็จเป็นทีม (STAD) และการเรียนรู้แบบการแข่งขันเป็นทีม (TGT) มีขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 7 ขั้น ได้แก่ ขั้นนำเสนอบทเรียนต่อทั้งชั้น ขั้นศึกษากลุ่มย่อย ขั้นทดสอบย่อยรายบุคคล ขั้นคิดคะแนนพัฒนาการรายบุคคล ขั้นการยกย่องความสำเร็จของกลุ่ม ขั้นการแข่งขันทางวิชาการ และขั้นการกำหนดทีมที่ได้รับการยกย่อง และมีการจัดปัจจัยสนับสนุนการจัดการเรียนรู้อย่างเพียงพอ
2.2 ผลการตรวจสอบคุณภาพรูปแบบการเรียนแบบร่วมมือ โดยใช้รูปแบบการสอนแบบ STAD ร่วมกับ TGT โดยผู้ทรงคุณวุฒิ พบว่า มีความเหมาะสมและมีความเป็นไปได้อยู่ในระดับมากที่สุด ส่วนผลการหาประสิทธิภาพของรูปแบบการเรียนแบบร่วมมือโดยใช้รูปแบบการสอนแบบ STAD ร่วมกับ TGT พบว่า มีค่าประสิทธิภาพ (E1/ E2) เท่ากับ 83.15/84.11 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ที่กำหนดไว้
3. ผลการทดลองใช้รูปแบบการเรียนแบบร่วมมือ โดยใช้รูปแบบการสอนแบบ STAD ร่วมกับ TGT พบว่า ค่าเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
4. ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อการเรียนแบบร่วมมือ โดยใช้รูปแบบการสอนแบบ STAD ร่วมกับ TGT หน่วยการเรียนรู้อาเซียนศึกษา พบว่านักเรียนมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.83 และมีค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ .015